เพียงแค่ 2 วัน ในพื้นที่ จ.ปัตตานี ก็มีเหตุลอบวางระเบิดไปแล้วติดๆ กัน 2 ครั้ง รอบแรกที่บ้านละโพ๊ะ หมู่ที่ 3 ต.ป่าไร่ อ.แม่ลาน เมื่อวันที่ 14 ก.ค. ครั้งนี้ มีทหารพรานเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ 1 ราย คือ อส.ทพ.มุจรินท์ ศรีแก้ว สังกัด ร้อย ทพ.2209 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 22 ปัตตานี
ถัดมาเพียงวันเดียว 15 ก.ค. เกิดระเบิดขึ้นอีกครั้ง ริมถนนสายปะนาเระ-สายบุรี บ้านนาพร้าว หมู่ที่ 1 ต.ปะนาเระ อ.ปะนาเระ มีทหารและชาวบ้านบาดเจ็บรวม 12 คน ประกอบด้วย (1) ส.ท.สุพจน์ เจริญสุข (2) อส.ทพ.อุมา ฮาแว (3) อส.ทพ.สุชาติ โกยหลำ (4) อส.ทพ.สิทธิโชค คงแก้ว (5) อส.ทพ.วุธิชัย บุตรรักษ์ (6) อส.ทพ.เจ๊ะอาลี มะลี
(7) นายมะรอฮีม เจะเฮง อายุ 25 ปี (8) น.ส.ซูนีตา เวาะเย็ง อายุ 23 ปี (9) ด.ช.อิคลาส เจะเฮง อายุ 2 ขวบ (10) ด.ญ.อัญญาดา ดาโอะ อายุ 1 ขวบ 10 เดือน (11) ด.ญ.ฮิดายู แวสากอ อายุ 12 ขวบ และ (12) น.ส.โรสซีร่าวาตี แวสากอ อายุ 17 ปี
แม้หลายคน โดยเฉพาะชาวบ้านนั้น แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว แต่ปัญหายังไม่จบแค่นั้น เมื่อผู้บาดเจ็บที่เป็นชาวบ้าน โดยเฉพาะเด็กทั้ง 3 คน มีสุขภาพจิตใจที่ยังหวาดกลัว หวาดผวาต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ขณะที่เจ้าหน้าที่รับผิดชอบในพื้นที่ รวมถึงผู้นำท้องถิ่นไม่มีใครลงพื้นที่เยี่ยมและให้กำลังใจ ไม่มีหรือแม้แต่ภาคประชาชน จึงทำให้ทั้ง 2 ครอบครัวอดที่จะน้อยใจไม่ได้ พวกเขาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งน้ำตาคลอที่เบ้าตา
น.ส.ซูนีตา เวาะเย็ง แม่ของ ด.ช.คลาส เจะเฮง ที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ทั้ง 2 แม่ลูก บอกว่า เวลาผ่านไปหลายวันแล้ว มีแค่อิหม่ามในชุมชนเท่านั้นที่มาถามข่าวคราวที่เกิดขึ้น ยังอดน้อยใจไม่ได้เลย ผู้ใหญ่บ้านยังมาไม่ถึง ส่วนเจ้าหน้าที่อำเภอหรือหน่วยอื่นๆ ก็ไม่มี หรือเพราะเราไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก
“เราไม่ได้ต้องการอะไร เราแค่ต้องการกำลังใจ ตัวเองผวาตลอด กลัว ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก แถมยังมาเจอกับพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติเสมือนว่าเราเป็นคนร้ายที่ก่อเหตุ ทั้งที่เราก็เจ็บ ลูกก็เจ็บ จากที่รถล้มขณะที่ระเบิด โชคดีเพราะเราอยู่คนละฝั่งถนนทำให้ไม่ถูกสะเก็ดระเบิด”
น.ส.ซูนีตา เล่าอีกว่า ตอนเกิดเหตุกำลังนั่งรถกับสามี ลูก และหลาน จะไปซื้อกับข้าวที่ตลาดปะนาเระ พอมาถึงจุดเกิดเหตุ ระเบิดดังขึ้นรถจักรยายนต์ทหารพุ่งมาทางรถจักรยานยนต์ของเรา ขณะที่เราล้มอยู่ เขากระเด็นไกลพอสมควรจากจุดระเบิด จากนั้น เรารีบเอาโทรศัพท์มือถือโทร.บอกพี่สาวว่า รถล้มในเหตุการณ์ระเบิด พี่สาวบอกว่าให้ก้มลง
“ตอนนั้นมีทั้งควัน ทั้งเสียงปืน ลูกชายและหลานสาวร้องไห้ตกใจ ระหว่างหลบริมทางไม่นาน ก็คุยกับแฟนว่า เราพาลูกหนีไปบ้านยาย ที่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 200 เมตรดีกว่า อยู่ที่นี่ ไม่รู้อีกนานแค่ไหน ลูกจะยิ่งตกใจ เพราะเสียงปืนดังนานมาก”
“พอไปถึงบ้านยายไม่นาน ทหารก็มาเคาะประตูเรียกให้ออก เราก็ออก พอออกมา ทหารก็พาเราไปอยู่ที่เกิดเหตุ ขอพาลูกไปโรงพยาบาล เขาก็ไม่ให้ไป แต่พอผู้การทหารมาและนายอำเภอมา เขาก็ให้ไป ตอนนั้นตกใจ ลูกกับหลานก็ร้องเกาะเราแน่นตลอดจนถึงโรงพยาบาล”
“จนถึงตอนนี้ ลูกจะสะดุ้งและร้องไห้ตลอดเวลานอน ตื่นมากลางดึกร้องไห้กอดเราแน่น บอกว่ากลัว ก็นึกในใจตัวเองว่า เรายังผวาขนาดนี้ ยังหลอนอีกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แถมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติและพูดจาเหมือนกับเราเป็นคนวางระเบิดเลย แล้วลูกยังเล็ก ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะนอนสะดุ้งและร้องไห้”
“ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่คิดว่าเราเป็นคนวางระเบิดหรือเปล่า ถึงไม่มีใครมาเยี่ยมเรา มาถามเหตุการณ์ เราอยากได้กำลังใจ พ่อแม่เราก็ตายแล้ว เราไม่รู้จะไปปรึกษาใคร ไม่รู้จะคุยกับใครนอกจากคนในบ้าน ซึ่งเป็นเด็กๆ หมด ผู้นำในพื้นที่ก็ไม่มีใครมาสักคน”
ด้าน น.ส.โรสซีร่าวาตี แวสากอ อายุ 17 ปี กล่าวว่า ตอนนี้ปวดหัวมาก หูไม่ค่อยได้ยิน เจ็บแขน เหนื่อยหมดแรง และรู้สึกหลอนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก แต่ไม่อยากไปหาหมอแล้ว ถูกหมอด่าว่าจนอาย หมอเขาด่าแรงมากเสียงดังด้วย และไม่ได้ปิดประตูห้องตรวจ คนข้างนอกห้องรู้หมดว่าหมอด่าเรา หมอถามเยอะมาก แต่เราไม่มีแรงตอบ ก็ตวาดใส่ เราก็เลยอายที่จะไปหาหมอ ทั้งที่เจ็บ อยากนอนพักนิ่งๆ ที่โรงพยาบาล แต่หมอให้กลับบ้าน เพราะวันแรก อาการ ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่พอหลังจากกลับมา ก็เจ็บหมด จึงไปหาหมอรอบสอง หมอได้วินิจฉัยให้มีการรักษาต่อเนื่อง
“วันเกิดเหตุ น้องสาว ด.ญ.ฮิดายู แวสากอ เป็นคนขี่รถจักรยานยนต์ เรากำลังจะไปหาแม่ที่ตลาด ขณะที่กำลังจะแซงขึ้นก็เกิดระเบิด รถล้มข้างทาง มีเสียงดัง ทั้งเสียงระเบิดและเสียงปืนนานมาก ควันเต็มไปหมด คิดทันทีว่า เรากำลังอยู่ในเหตุการณ์ระเบิด นานมากกว่าเสียงจะสงบ”
“ตอนนั้นก็หันไปเห็นบ้านของชาวบ้าน จึงรีบวิ่งไปที่บ้านของชาวบ้านกับน้อง และชาวบ้านบอกว่า มีทางไปตลอดได้ จึงรีบไปหาแม่ที่ตลาด ก่อนที่แม่จะพาไปหาหมอ ตอนนี้ นอนสะดุ้งผวากลัวมาก ก็บอกไม่ถูกกลัวอะไร แต่บอกได้ว่ารู้สึกกลัวมาก”
ด.ญ.ฮิดายู แวสากอ อายุ 12 ขวบ กล่าวว่า ตอนนี้ยังกลัวมาก ไม่อยากผ่านไปจุดเกิดเหตุเลย แต่ต้องผ่านไปโรงเรียนทุกวัน แม่ต้องขับรถตามหลังไปส่ง ถึงจะไปโรงเรียนได้ ตอนนี้อยู่บ้านก็ไม่กล้าอยู่คนเดียว รู้สึกกลัว ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นยังติดตามันน่ากลัวมาก
นางเจะปารีด๊ะ ดือแระ อายุ 46 ปี แม่ของ ด.ญ.ฮิดายู และ น.ส.โรสซีร่าวาตี กล่าวว่า แม้โรสซีร่าวาตี กับฮิดายู ไม่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิด แต่เขาอยู่ในเหตุการณ์ระเบิดครั้งนี้ สิ่งที่เขาได้รับ สุขภาพจิตของเขาทั้ง 2 คนแย่มาก
“พวกเขาหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แถมยังต้องมาถูกหมอด่าเขาแรงๆ อีก สงสารลูก อีกอย่าง ตอนนี้เขาไม่อยากไปหาหมอที่โรงพยาบาลเลยทั้งที่ตัวเองปวดหัว ปวดหู ปวดแขน แต่เขาไม่ยอมไปหาหมอ เขาบอกอาย”
“ลูกขอไปคลินิก ก็บอกลูกว่า แม่ไม่มีเงิน ทำงานคนเดียว ขายของที่ตลาดได้วัน 300 บาท ใช้จ่ายแต่ละวันให้ลูกๆ ทั้ง 4 และหลานอีก 1 คน ก็หมดแล้ว บ้านที่อยู่ทุกวันนี้ก็โชคดี เจ้าของไปอยู่ที่อื่น เราก็ขอเข้าไปอาศัยอยู่ ไม่ต้องคิดเลยเรื่องเงินเก็บ โชคดีที่ลูกก็เข้าใจ ก็ยังรู้สึกงงไม่หาย ทำไมหมอต้องมาด่าลูกสาวแบบนั้นทั้งที่เขาเจ็บ”