xs
xsm
sm
md
lg

“ม.อ.ปัตตานี” เผยผลสำรวจประชาชนชายแดนใต้กว่า 1 ใน 3 ได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจมากสุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปัตตานี - “ม.อ.ปัตตานี” เผยผลสำรวจประชาชนชายแดนใต้กว่า 1 ใน 3 ได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจมากสุด เกือบร้อยละ 20 ยังเข้าไม่ถึงสวัสดิการของรัฐ แต่ยังรับสภาพอยู่ได้อีก 1 เดือน

สถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) แถลงผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้านผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา และมาตรการของรัฐ พบว่าประชาชนกว่าร้อยละ 75 ได้รับผลกระทบด้านการประกอบอาชีพ ร้อยละ 83.6 ระบุมีรายได้ลดลง และบางส่วนร้อยละ 18.2 ยังเข้าไม่ถึงสวัสดิการ และการช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐ แต่ยังพออยู่ได้ด้วยการช่วยเหลือกันในชุมชน โดยส่วนใหญ่ร้อยละ 47.8 เห็นว่า ระยะเวลาที่เหมาะสมที่พอจะรับสถานการณ์ได้ คือประมาณ 1-4 สัปดาห์ พร้อมให้คะแนนความพึงพอใจต่อการแก้ปัญหาของรัฐบาล 6.39 เต็ม 10

โดยวันนี้ 11 มิถุนายน 2563 ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้มีการแถลงผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนด้านผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา และมาตรการของรัฐ ซึ่งดำเนินการโดยสถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยมี ผศ.ดร.บุษบง ชัยเจริญวัฒนะ ผู้อำนวยการสถาบันสันติศึกษา ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี หัวหน้าโครงการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนด้านผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา และมาตรการของรัฐ ผศ.ดร.กุสุมา กูใหญ่ ผู้อำนวยการสถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ร่วมแถลง โดยมี ผศ.ดร.อรุณีวรรณ บัวเนี่ยว ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ วิทยาเขตปัตตานี เป็นประธานในพิธีเปิด ทั้งนี้ การสำรวจในครั้งนี้เป็นความเห็นของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 820 ตัวอย่าง จาก 164 ชุมชนใน จ.ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ อ.จะนะ เทพา นาทวี และ อ.สะบ้าย้อย ระหว่างวันที่ 21 พ.ค.ถึง 5 มิ.ย.2563

ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี หัวหน้าโครงการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนด้านผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา และมาตรการของรัฐ และนักวิจัยสถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้กล่าวถึงผลการสำรวจ โดยเฉพาะผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และมาตรการของรัฐต่อประชาชนที่เห็นได้ชัดเจน คือด้านเศรษฐกิจ ซึ่งประชาชนในพื้นที่โดยส่วนใหญ่มีรายได้น้อย อัตราความยากจนสูงถึงร้อยละ 34 ของประชากร เมื่อต้องเผชิญต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 การประกอบอาชีพ และรายได้ของประชาชนจึงได้รับผลกระทบอย่างสูง และขยายวงกว้าง โดยร้อยละ 75.6 ได้รับผลกระทบด้านอาชีพ และร้อยละ 83.6 ระบุว่า มีรายได้ลดลง ในขณะที่ร้อยละ 49.9 ระบุว่า มีรายจ่ายของครอบครัวเพิ่มมากขึ้น

สำหรับลักษณะของผลกระทบด้านการประกอบอาชีพจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พบว่าร้อยละ 18.8 ไม่สามารถออกไปทำเกษตรหรือประมงได้ ส่วนร้อยละ 14.3 ถูกพักงานชั่วคราว ร้อยละ 12.8 ไม่มีใครจ้างงาน และร้อยละ 9.9 จำเป็นต้องเลิกค้าขาย ในด้านการดำเนินชีวิตประจำวัน พบว่าประชาชนได้รับผลกระทบด้านการศึกษาของตัวเอง หรือบุตรหลานมาก รวมไปถึงด้านการเดินทางออกนอกพื้นที่ การเดินทางไปประกอบอาชีพหรือทำเกษตร การไปจับจ่ายซื้อของในชีวิตประจำวัน และการปฏิบัติศาสนกิจ

ในด้านความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ ผลการสำรวจยังพบอีกว่า ประชาชนวิตกกังวลมากที่สุด คือเรื่องการเดินทางที่ลำบากมากขึ้น ร้อยละ 82.9 รองลงมา คือไม่สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้ตามปกติที่มัสยิด หรือวัด และกังวลว่าจะถูกกักตัวเพื่อเฝ้าระวังการติดโรค แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้จะยังมีอยู่แต่ระดับความกังวลไม่มากเท่ากับความกังวลด้านผลกระทบจากมาตรการควบคุมโรค ประชาชนสนับสนุนมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด แต่ต้องไม่กระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน โดยที่ประชาชนเห็นด้วยกับมาตรการเป็นอันดับแรก คือการสวมหน้ากากอนามัย รองลงมาคือการให้เงินชดเชย และสวัสดิการแก่ประชาชนที่เดือดร้อนจากมาตรการควบคุมโรค การห้ามซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การปิดหมู่บ้านที่มีผู้ติดเชื้อ และการห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เป็นลำดับ

ในขณะที่มาตรการที่ประชาชนไม่เห็นด้วยมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ การให้โรงเรียนจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์/ทางไกลในปีการศึกษาใหม่ การปิดบริการขนส่งมวลชนสาธารณะทุกประเภท การงดละหมาดที่มัสยิด การห้ามขายอาหารในร้าน และการห้ามออกจากบ้านระหว่างเวลา 22.00-4.00 น.

ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนว่า การมีสวัสดิการจากรัฐ และการช่วยเหลือกันของคนในชุมชน เปรียบเสมือนตาข่ายนิรภัยรองรับความเจ็บป่วยทางสังคม เศรษฐกิจ และจิตใจ ซึ่งผลการสำรวจพบว่า สวัสดิการที่ประชาชนได้รับ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นสิ่งที่ประชาชนจำนวนมากถึงร้อยละ 73.1 ได้รับ รวมไปถึงสวัสดิการด้านสุขภาพจากหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่มีผู้ได้รับสิทธิร้อยละ 57.1 และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุร้อยละ 34.9

นอกจากนี้ ในส่วนของการได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาเดือนละ 5,000 บาท อันเป็นมาตรการเยียวยาในช่วงวิกฤตโควิด-19 พบว่าร้อยละ 60.2 สมัครและได้รับเงินช่วยเหลือแล้ว แต่อีกร้อยละ 18.2 สมัครแล้วแต่ยังไม่ได้รับเงิน คนกลุ่มนี้จำเป็นจะต้องมีการติดตาม และช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม ในด้านความช่วยเหลือของคนในชุมชน พบว่าร้อยละ 69.9 ได้รับของบริจาคหรือถุงยังชีพ ซึ่งอาจจะได้รับจากหน่วยงานของรัฐ และการช่วยเหลือบริจาคจากประชาชนด้วยกันเอง และกลุ่มองค์กรการกุศล ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะพิเศษของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีต้นทุนทางสังคม และชี้ให้เห็นฐานของความยึดเหนี่ยวกันทางสังคมที่ดำรงอยู่แต่เดิม ระยะเวลาที่ประชาชนต้องทนรับสภาพสถานการณ์ต่อไปได้นั้นค่อนข้างจำกัด ผลการศึกษาพบว่าร้อยละ 57.1 ประชาชนยังคงรับได้หากสถานการณ์การแพร่ระบาด และมาตรการควบคุมโรคยังคงอยู่ต่อไปอีก 1 เดือน ในขณะที่ร้อยละ 42.9 ไม่สามารถทนรับสถานการณ์ได้ต่อไปอีก 1 เดือน ประชาชนมีความพอใจกับการดำเนินงานการแก้ปัญหาของหน่วยงานสาธารณสุข และ อสม.มากที่สุด รองลงมาผู้นำชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ อบต.


กำลังโหลดความคิดเห็น