xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อไหร่รัฐไทยจะ “สำเหนียก” อันตรายจากบรรดา “ฝรั่งหัวแดง” พี่เลี้ยง BRN กันซะที?!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ / โดย… ไชยยงค์ มณีพิลึก


ผ่านไปแล้วสำหรับ “เดือนรอนฎอน” ในห้วงปี 2563 ซึ่งถือเป็นหนแรกในรอบ 16 ปีแห่ง “ไฟใต้ระลอกใหม่” ที่ไม่มีเสียงระเบิดแสวงเครื่อง ไม่มีคาร์บอมบ์ ไม่มีการบาดเจ็บและเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐ และโดยเฉพาะกับประชาชนผู้บริสุทธิ์

มีเพียง “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐปิดล้อมและวิสามัญไป 3 ศพในบ้านหลังหนึ่งที่ ต.ตุยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งจากการตรวจสอบยังพบด้วยว่าเคยก่อคดีสำคัญๆ ทั้งการปล้นรถยนต์จากเต็นท์รถมือ 2 ที่ อ.นาทวี จ.สงขลา เพื่อนำไปใช้ทำคาร์บอมบ์ และร่วมก่อเหตุสะเทือนขวัญฆ่า ชรบ.รวม 15 ศพที่ ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา เมื่อเดือน พ.ย.2563 หรือปลายปีที่ผ่านมา

ส่วนการสูญเสียของฝ่าย กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มีเพียงทหารพรานที่เสียชีวิตจากการซุ่มยิง 1 นาย และบาดเจ็บอีก 1 นาย ขณะที่เดินทางอยู่ในพื้นที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี แต่ทว่าหลังเกิดเหตุโฆษกของฝ่าย “บีอาร์เอ็น” ได้ออกมายืนยันหนักแน่นว่า ไม่ใช่ปฏิบัติการของขบวนการ เพราะได้ “แถลงการณ์หยุดยิง” ไปก่อนนี้เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ช่วยกันแก้ปัญหาโรคโควิด-19 ระบาดและยังยึดมั่นปฏิบัติตามอยู่

แน่นอนอาจจะเป็นข้อแก้ตัวของบีอาร์เอ็นเพื่อสร้างความสับสนให้แก่คนในพื้นที่ หรืออาจจะเป็นฝีมือของคู่แค้นของฝ่ายเจ้าหน้าที่เหล่านั้นเอง เพราะว่ากันว่ามีจำนวนไม่น้อยช่วงก่อนจะเข้าไปสมัครเป็นทหารพรานต่างมีคู่อริที่มาจากเรื่องส่วนตัวมาก่อน รวมทั้งสำนวนการสอบสวนของตำรวจก็ไม่มีหลักฐานที่ระบุได้แน่ชัดว่า เป็นฝีมือของแนวร่วมขบวนการบีอาร์เอ็นหรือไม่

โดยสภาพรวมแล้ว เดือนรอมฎอนปี 2563 นี้ไม่มีการสูญเสียเหมือนทุกๆ ปีที่ผ่านมา ฝ่ายบีอาร์เอ็นเองก็ไม่มีการปลุกเร้าให้แนวร่วมฆ่าคนในช่วงเดือนรอมฎอนให้ได้บุญเพิ่ม 10 เท่าเหมือนที่เกิดขึ้นทุกปี แต่หลังจากสิ้นสุดเดือนรอมฎอนแล้วสถานการณ์จะมีความรุนแรงหรือไม่ อย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป

แต่จาก “ข่าววงใน” ของบีอาร์เอ็นที่หลุดรอดออกมานั่นคือ ห้วงเวลานี้จะเน้น “งานการเมือง” เป็นด้านหลัก “งานการทหาร” หรือปฏิบัติการก่อการร้ายเป็นด้านรอง โดยจะก่อการร้ายเฉพาะเมื่อมี “เงื่อนไขในพื้นที่” และเป็น “เงื่อนไขทางการเมือง” หรือมีการใช้ความรุนแรงกับคนมลายูในพื้นที่ เพื่อสนองตอบความเดือดร้อนหรือความต้องการของมวลชน

ทว่า มีแผนอันร้ายกาจของบีอาร์เอ็นคือ บีอาร์เอ็นจะเข้าร่วมต่อต้านการขับเคลื่อนผลักดันให้เกิด “เมืองต้นแบบที่ 4” บนแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือการพัฒนาในรูปแบบ “เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ” โดยมีการตั้ง “เมืองอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” ขึ้นในพื้นที่ อ.จะนะ จ.สงขลา หรือการหนุนกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ด้านปิโตรเคมีให้ตั้งนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อันเป็นแบบเดียวกับการเกิดขึ้นของ “ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” หรือ “EEC” ที่มีการผลักดันจนสำเร็จกันมาแล้ว

ถ้าข่าวที่ได้มานี้เป็นจริงก็ไม่น่าจะต้องแปลกใจอะไร เพราะการที่บีอาร์เอ็นเลือกเป้าหมายวางระเบิดคาร์บอมบ์ลูกล่าสุดเมื่อวันที่ 17 มี.ค.2563 ที่ผ่านมา ที่บริเวณหน้าศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) แม้สาเหตุสำคัญของการวางระเบิดคือ ต้องการตอบโต้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ในการปิดล้อมและวิสามัญแนวร่วมบีอาร์เอ็น 3 ศพที่ในพื้นที่ ต.ตาเซะ อ.เมือง จ.ยะลา รอยต่อกับ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี

แต่การที่ได้เลือกเป้าหมายปฏิบัติการไว้บริเวณหน้า ศอ.บต.ในวันที่มีการระดมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากทั้ง 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาร่วมประชุมเพื่อแก้ปัญหาโรคโควิด-19 ระบาดกัน นั่นก็คือการส่งสัญญาณให้ “ผู้บริหาร ศอ.บต.” ได้รับรู้ว่า บีอาร์เอ็นไม่พอใจในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ ศอ.บต.ที่เกี่ยวข้องกับแผนปลุกปั้น “จะนะเมืองอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” ด้วยนั่นเอง

เพราะบีอาร์เอ็นรู้ดีว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ ศอ.บต.รับผิดชอบในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตร อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว หรือโดยเฉพาะการผลักดันให้เกิด “โรงไฟฟ้าชุมชน” หรือ “โรงไฟฟ้าชีวมวล” การผลักดัน “เมืองต้นแบบเกษตรอุตสาหกรรม” ที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี การผลักดัน “เมืองต้นแบบการท่องเที่ยว” ที่ อ.เบตง จ.ยะลา หรือการผลักดัน “เมืองต้นแบบธุรกิจเพื่อการส่งออก” ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส รวมถึงการผลักดัน “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” ที่ อ.จะนะ จ.สงขลา

เหล่านี้ล้วนจะทำให้คนในพื้นที่จำนวนมากได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่บีอาร์เอ็น ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น และต้องต่อต้านเพื่อให้แผนขับเคลื่อนผลักดันการพัฒนาต่างๆ ของ ศอ.บต.มีอุปสรรคในการเดินหน้าให้ได้

ที่สำคัญบีอาร์เอ็นมีแผนในการส่งคนในขบวนการที่เป็น “ปีกการเมือง” โดยจัดตั้งไว้ในภาคประชาสังคมให้เข้าร่วมในการชุมนุมทางการเมืองในทุกระดับที่จะมีขึ้นทั้งในพื้นที่และที่กรุงเทพฯ โดยเฉพาะที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะต้องการบอกสังคมให้รับรู้ว่า บีอาร์เอ็นมีการยกระดับสู่ความเป็นขบวนการก่อการร้ายที่มี “ชื่อชั้นอยู่ในเวทีโลก” แล้ว ซึ่งวันนี้หน่วยงานความมั่นคงต้องรับรู้ และต้องหารายละเอียดแผนการร้ายของบีอาร์เอ็นที่มีต่อจังหวัดชายแดนภาคใต้และประเทศไทยโดยเร็ว

ที่สำคัญที่บีอาร์เอ็นมีแผนรุกทางการเมืองแทนการรุกทางการทหาร เพราะมีองค์กรจากต่างประเทศให้การสนับสนุน ซึ่งจำเป็นที่จะต้องบอกให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้ เพื่อให้ทราบถึง” “อันตราย” ที่เกิดขึ้นกับดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของบีอาร์เอ็นที่รุกทางการเมืองอย่างเด่นชัดคือ การส่งสารอวยพรต้อนรับวัน “ฮารีรายออีดิ้ลฟิตรี” เป็นภาพข่าวเนื้อหา 3 หน้ากระดาษและคลิปเสียงผ่านทางยูทูป หลังจากก่อนหน้านี้ตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นมาบีอาร์เอ็นได้ออกแถลงการณ์กว่า 10 ครั้ง เพื่อสื่อสารกับชนชาวมลายูในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

บทบาทขององค์กรในต่างประเทศที่ทำหน้าที่ “พี่เลี้ยง” ให้แก่แกนนำบีอาร์เอ็นคือ “เจนีวาคอล” และองค์กรเอ็นจีโออีกหลายประเทศที่เคลื่อนไหวอยู่ในปีกโอบของ “องค์การสหประชาชาติ (UN)” โดยมีตัวแทนของภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ร่วมทำหน้าที่ “เปิดบาดแผล” โดยนำข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับการละเมิดในด้านต่างๆ ของผู้คนในพื้นที่เป็นหักหอกสำคัญ

ที่เห็นชัดเจนคือ การนำเรื่อง “การตรวจดีเอ็นเอ” ของคนในพื้นที่โดยไม่ยินยอม และ “การตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือ” ของผู้ที่ไม่ได้ทำตามข้อบังคับของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า คือการสแกนใบหน้าของผู้ใช้โทรศัพท์หรือ “2 แชะอัตลักษณ์” ซึ่งแม้ว่าตัวแทนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะอ้างว่า “ไม่ได้ละเมิด” แต่เป็น “การขอความร่วมมือ” แต่คนที่ไม่ให้ความร่วมมือก็ใช้โทรศัพท์ไม่ได้ นั่นจึงไม่ใช่ของความร่วมมือ แต่เป็นการบังคับใช้กฎหมายต่างหาก

องค์กรที่ 2 ที่เข้าไปเพื่อสังเกตการณ์แล้วไม่ยอมถอนออกไปคือ หน่วยงานกาชาติสากลหรือ “ไอซีอาร์ซี” และ “แพทย์ไร้พรมแดน” ที่เข้าไปเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งที่สถานการณ์ในพื้นที่ไม่มีอะไรที่สอดรับกับ “วัตถุประสงค์” ขององค์กรเหล่านั้นแม้แต่ข้อเดียว

ถ้าสำนักงานงานข่าวกรองแห่งชาติ ถ้าสภาความมั่นคงแห่งชาติ จะได้ติดตาม “บริบท” ขององค์กรเหล่านี้ก็จะพบว่า เป็นการเข้าไปเพื่อ “เอื้อประโยชน์” ให้แก่ขบวนการแบ่งแยกดินแดน โดยเฉพาะกับ “ปีกทางการเมือง” ของบีอาร์เอ็น มากกว่าที่จะเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐในการดับไฟใต้แต่อย่างใด

ปฏิบัติการของ “ไอซีอาร์ซี” ที่ผ่านมา และที่เป็นอยู่ผู้ติดติดตามอย่างเกาะติดต้องอดคิดไม่ได้ว่า เป็นการเข้าไป และขออยู่อย่างถาวรเพื่อเตรียมการอะไรบางอย่าง หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อันเป็นการเขาเข้าไปเพื่อเก็บข้อมูล รวมรวมเรื่อง “การละเมิดสิทธิ” ต่อคนในพื้นที่ และโดยเฉพาะเรื่องความต้องการ “กำหนดใจตนเอง” ของคนกลุ่มหนึ่ง เรื่อง “การใช้ความรุนแรง” ที่เกิดขึ้นตลอด 16 ปีที่ผ่านมา และเรื่อง “ความไม่เป็นธรรม” จากฝ่ายของแนวร่วมบีอาร์เอ็น

รวมถึงความเคลื่อนไหวของ “องค์กรศาสนาภาคประชาชน” ที่พุ่งเป้าไปยังการหยุดยั้งการสร้างมัสยิดของผู้นับถือศาสนาอิสลามทั่วประเทศ ซึ่งกำลังจะถูกตีความว่า นี่คือ “ความขัดแย้งทางศาสนา” ที่เกิดขึ้นแล้ว เพื่อใช้ประโยชน์ในอนาคต และประโยชน์นั้นไม่ใช่ของรัฐไทยอย่างแน่นอน

วันนี้หน่วยงานนี้มีความพยายามที่จะแปรวัตถุประสงค์หลักมาเป็น “องค์กรเพื่อการกุศล” ตรงไหนที่มียี่ห้อของกาชาดก็จะเข้าไปร่วมด้วย เพราะองค์กรมีเม็ดเงินในการสนับสนุนอย่างเพียงพอ เพื่อสร้างความชอบธรรมและจะได้เขียนรายงานว่า องค์กรในพื้นที่มีความต้องการและยินดีที่จะให้ “ไอซีอาร์ซี” อยู่ในพื้นที่เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของ “กระบวนการสันติสุข” เพื่อร่วมแก้ปัญหาไฟใต้

นี่คืออันตรายจากความไม่รู้เท่าทันของหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ ในขณะที่บางองค์กรยินดี เพราะได้รับการช่วยเหลือทางการเงินและสิ่งของจากองค์กรนี้ โดยที่บางองค์กรอาจจะไม่รู้ ไม่เข้าใจในเรื่องของ “ยาพิษในรอยยิ้ม” ก็เป็นได้

วันนี้สิ่งที่ต้องถามคือ สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานความมั่นคงทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่ ได้ติดตามการขับเคลื่อนและแผนงานต่างๆ ในพื้นที่ของ องค์กรเหล่าหรือไม่ และมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์และที่เป็นโทษต่อประเทศไทยมากน้อยแค่ไหน

หรือตลอดระยะเวลาที่ “ไอซีอาร์ซี” และองค์กรต่างชาติอื่นๆ เข้าไปขับเคลื่อนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ องค์กรทั้งหมดต่างไม่ได้ “สำเหนียก” ถึง “อันตราย” ใดๆ เลย

สุดท้ายก็ต้องถาม กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ถึงภารกิจทางด้านการเมือง ซึ่งจะต้องไปต่อสู้กับงานการเมืองของบีอาร์เอ็น ซึ่ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มี “เม็ดเงิน” และ “แผนงาน” จำนวนมากในพื้นที่ รวมทั้งการ “แบ่งสันปันส่วน” ให้แก่องค์กรภาคประชาสังคมทั้งที่จัดตั้งโดยฝ่ายความมั่นคงและกลุ่มเอ็นจีโอต่างๆ และที่จัดตั้งโดยบีอาร์เอ็นว่า มีความสำเร็จ แค่ไหนอย่างไร

ยกตัวอย่างเช่น “โครงการกำปงตักวา” ที่ใช้งบประมาณมหาศาล หรือ “โครงการพาคนกลับบ้าน” ที่ดำเนินการอย่างลับๆ นอกจากได้ “ใช้งบประมาณมากมาย” และได้รับ “การนินทาของคนภายใน” แล้ว สรุปแล้วอะไรคือความสำเร็จที่แท้จริง แต่อย่าตอบว่าผลสำเร็จคือการลดลงของการก่อเหตุนะ เพราะนั่นก็ “ไม่ใช่ของจริง”

เพราะของจริงก็คือ วันนี้ไฟใต้ยังไม่มอดดับ และกำลังจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบจากใช้การทหารที่มีความรุนแรง ไปสู่การขับเคลื่อนทางการเมืองหรือ “งานใต้ดิน” เกือบเต็มรูปแบบ ซึ่งทั้งหมดคือ “โจทย์ใหม่” ที่ทุกฝ่ายและทุกคนต้องรับรู้ร่วมกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น