ปัตตานี - โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 เผยความคืบหน้าขยายผลพิสูจน์อาวุธปืน จากเหตุปะทะคนร้ายในพื้นที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี พบเชื่อมโยงก่อเหตุมาแล้ว 22 คดี ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
จากกรณีเจ้าหน้าที่เข้าบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่บ้านปะกาลือสง ต.ตุยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี และได้เกิดปะทะกับกลุ่มคนร้าย เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย คนร้ายเสียชีวิต 3 ราย พร้อมได้ตรวจยึดอาวุธปืนได้ จำนวน 3 กระบอก และรถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ 110 สีขาว จำนวน 1 คัน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น
วันนี้ (4 พ.ค.) พล.ต.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 ได้รายงานผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานจากวัตถุพยานที่ตรวจยึดได้ พบว่า มีความเชื่อมโยงเคยใช้ก่อเหตุในพื้นที่มาแล้ว 22 คดี นอกจากนี้ จากการตรวจสอบประวัติคนร้ายที่เสียชีวิตทั้ง 3 ราย มีหมายจับรวมกันถึง 10 หมาย เกี่ยวข้องคดีสำคัญในพื้นที่หลายคดี เช่น ระเบิดเมืองภูเก็ต ระเบิดบิ๊กซี และปล้นร้านทองที่นาทวี และผลการตรวจพิสูจน์อาวุธที่ยึดได้ใช้ในการก่อเหตุมาแล้วอย่างโชกโชน โดยเฉพาะปืนเล็กยาว AK-102 หมายเลขปืน 101160757 ซึ่งเป็นปืนของ นายอะหวัง เดนดาหยัด กำนันตำบลเปียน ที่เบิกยืมมาใช้ปฏิบัติราชการ และถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต และชิงปืนไปเมื่อวันที่ 21 ส.ค.2558 และคนร้ายได้นำปืนกระบอกนี้ไปใช้ก่อเหตุทั้งกับเจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนรวม 22 คดี ทำให้มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิตถึง 42 ราย
ที่สำคัญๆ เช่น ก่อเหตุยิงประชาชนประกอบอาชีพรับซื้อน้ำยางเสียชีวิต 2 ราย ในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เมื่อวันที่ 30 มี.ค.2562 ทั้งยังถล่มจุดตรวจกอแลปิเละ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 23 ก.ค.2562 ยิงและระเบิด อส.ชคต.นาประดู่ เสียชีวิต 2 ราย อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เมื่อ 15 ก.ย.2562 เป็นต้น
จากประวัติของคนร้ายทั้ง 3 ราย ประกอบกับผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานที่ตรวจยึดได้ สามารถที่จะบ่งชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมคนร้ายที่ได้ก่อเหตุละเมิดกฎหมายมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน และเป็นบุคคลตามหมายจับ ป.วิอาญา ทำให้มีสถานะเป็นอาชญากร ซึ่งรัฐจำเป็นต้องเข้าบังคับใช้กฎหมายเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มิใช่การปฏิบัติการทางทหารกับคู่สงครามดังที่กลุ่ม PerMas และเครือข่ายแนวร่วมในพื้นที่พยายามกล่าวอ้างแต่อย่างใด