xs
xsm
sm
md
lg

เชื่อกันได้จริงหรือว่า “รอมฎอน” ปีนี้จะไม่ได้ยินเสียงระเบิดและเสียงปืน?!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ / โดย… ไชยยงค์ มณีพิลึก


ในความโหดร้ายของเชื้อโรค “ไวรัสโคโรนา 2019” หรือ “โควิด-19” สำหรับในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ต้องนับว่ามีคุณประโยชน์ให้เห็นอยู่มากอยู่ด้วยเช่นกัน

โดยเฉพาะ “เสียงปีน” และ “เสียงระเบิด” ได้หายไปจากพื้นที่ ทหาร ตำรวจ กองกำลังประจำถิ่น และประชาชนที่เป็นฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐจึงไม่มีผู้ใดบาดเจ็บหรือล้มตาย นั่นเป็นเหตุผลสำคัญมาจากการประกาศ “หยุดยิงฝ่ายเดียว” ของขบวนการบีอาร์เอ็น


ที่ชัดเจนอีกเรื่องคือ การได้เห็น “องคาพยพ” ทุกส่วนของขบวนการบีอาร์เอ็นในฟากฝั่ง “การเมือง” ที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมามักทำตัวเป็นอีแอบแฝงอยู่ในภาคประชาสังคมและเครือข่ายต่างๆ แต่ตอนนี้ออกมาเคลื่อนไหวแบบไม่ค่อยเหนียมอายเลยด้วย

รวมทั้งได้เห็นถึงความเป็น “มลายู” ของผู้คนในพื้นที่ที่ต้องการ “อยู่เหนืออำนาจรัฐ” โดยเฉพาะการพยายามแสดงออกว่าไม่ฟังและไม่เชื่อคำสั่งของฝ่ายปกครองในเรื่องการป้องกันโรคระบาด

ในเรื่องนี้มีตัวอย่าง เช่น การดื้อแพ่งไปปฏิบัติศาสนากิจในมัสยิดทั้งที่มีคำสั่งให้ปิดชั่วคราว รวมถึงร้านน้ำชากาแฟในหมู่บ้านหรือ “กำปง” ก็ยังกลายเป็นที่ชุมนุมของผู้คนได้อย่างต่อเนื่อง การรวมกลุ่มกันในตลาดหรือในชุมชนโดยไม่ใส่แมกส์หรือหน้ากากอนามัย อันนำไปสู่บทสรุปสุดท้ายคือ เกิดการติดเชื้อกันทั้งครอบครัว ซึ่งได้กลายเป็นความยุ่งยากของทั้งฝ่ายสาธารณสุขและฝ่ายปกครองในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

ถึงขนาดที่ “ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี” ต้องดำเนินการเอาโทษกับ “ผู้นำท้องที่” และ “ผู้นำศาสนา” ที่ขัดคำสั่งไปแอบเปิดมัสยิดเพื่อให้ผู้คนได้ปฏิบัติศาสนากิจก็มีกันมาแล้ว

อีกทั้งได้เห็นถึงการดื้อแพ่งของ “กลุ่มแรงงานไทย” ที่เดินทางกลับจากมาเลเซีย โดยไม่ยอมผ่านกระบวนการตามกฎหมายตามด่านชายแดนที่กำหนดไว้ 5 ด่าน ด้วยการหันไปลักลอบเดินข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลกที่เวลานี้ไม่ต่างอะไรจากคลองเล็กๆ แทน พร้อมยินยอมให้ถูกจับกุมและเสียค่าปรับแค่ 800 บาท/คน

ขณะที่แรงงานไทยในมาเลเซียบางส่วนก็ยังได้ถูก “คนมลายู” ด้วยกันเองหลอกลวงให้ต้องจ่ายเงินประมาณ 2,000 บาท/คน ซึ่งอ้างว่าสามารถพาลักลอบกลับไทยได้ ซึ่งเป็นแบบฉบับที่คนไทยด้วยกันมักจะหลอกลวงกันเองให้เป็นข่าวอยู่ตลอดเวลา

จึงเท่ากับว่า ณ วันนี้ที่แผ่นดินปลายด้ามขวานไม่มีเสียงปืนและเสียงระเบิด นั่นไม่ได้เป็นเพราะฝีมือของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ได้แก้ปัญหาความไม่สงบได้แล้ว แต่เป็นเพราะบีอาร์เอ็นต่างหากที่หยุดยิงและเร่งเดินหน้าทำงานการเมืองในพื้นที่ เพื่อแสดง” “ตัวตน” อย่างเปิดเผย

ดังนั้น ใครก็ตามที่ยังประณามว่า บีอาร์เอ็นเก่งแต่ปาก ไม่ได้ช่วยเหลือ “แนวร่วม” ของตนเองในพื้นที่ จึงต้องถือเป็นผู้ที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยเกี่ยวกับบีอาร์เอ็น หรือรู้จักบีอาร์เอ็นแต่ก็เป็นไปแบบช่างผิวเผินยิ่งนัก หรืออาจเป็นเพราะมองเห็นแต่เพียงด้าน “การทหาร” ซึ่งก็คือ การก่อการร้ายเพียงด้านเดียว แต่ไม่รู้ลึกถึง “โครงสร้าง” และ “เครือข่าย” ของบีอาร์เอ็นในปีก “การเมือง” ในพื้นที่แม้แต่นิดเดียว

ถ้าบีอาร์เอ็นเป็นเพียง “กลุ่มโจรโหลยโท่ย” มีเหรือที่สามารถเชื่อมต่อกับ “เจนีวาคอล” ได้ และมีหรือที่ “ไอซีอาร์ซี” จำต้องหันมาจ้องมองอย่างให้ความสนใจ แถมยังถึงกับเข้าไปทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” ให้แก่บีอาร์เอ็นในการ “เจรจาสันติภาพ” เพื่อต่อรองกับรัฐไทยอย่างที่เป็นข่าวครึกโครม

ถ้าบีอาร์เอ็นเป็นเพียง “องค์กรโหลยโท่ย” มีหรือที่ “สหภาพยุโรป (อียู)” และ “ซีไอเอ” หน่วยข่าวกรองของสหรัฐอเมริกาจะให้ความสนใจกับปัญหาไฟใต้ชนิดที่คนขององค์กรทั้งสอง “เทียวไล้ เทียวขื่อ” หรือ “เทียวไป เทียวมา” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ปีละหลายๆ ครั้ง

เสียดายที่เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องที่ “พี่น้องมุสลิม” โดยเฉพาะในองค์กรภาคประชาสังคมรู้และเข้าใจดี แต่กับในฟากฝั่งของ “พี่น้องไทยพุทธ” ทั้งที่เป็น “ชาวบ้าน” และเป็น “ผู้ทรงภูมิรู้” ต่างไม่เข้าใจและไม่รู้เรื่องว่า อีกพิษภัยของจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็คือองค์กรสากลต่างๆ เหล่านี้

และถ้าต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ 3 จังหวัดกับ 4 อำเภอดังที่กล่าวมาแล้วจริง ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปเป็นในรูปแบบไหนหรืออย่างไร ผู้ที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงย่อมไม่ใช่บีอาร์เอ็นแน่นอน แต่เป็นองค์กรสากลต่างๆ เหล่านี้เป็นผู้ที่ทำให้เปลี่ยนนั่นแหละ

หลังจากที่บีอาร์เอ็นปฏิบัติการ “เปิดโปง” ตนเอง โดยไม่รอให้หน่วยงานความมั่นคงของรัฐไทยออกมา “ปอกเปลือก” บีอาร์เอ็นให้คนไทยได้รับรู้ เพราะกลัวแต่จะเกิด “อาร์มคอนฟิก” ดังนั้น สิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงต้องบอกกับคนในพื้นที่รับรู้ไว้นั่นคือ “ภัยจากองค์กรต่างชาติ” เหล่านี้ เพื่อจะได้ร่วมกันแสดงพลังไม่เอาด้วยกับการชักใยอยู่เบื้องหลังบีอาร์เอ็น

ถามว่าสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อแต่นี้ไป โดยเฉพาะในห้วง “เดือนรอมฎอน” จะดำเนินต่อไปอย่างไร บีอาร์เอ็นจะหยุดยิงจริงหรือ ในเมื่อตลอดกว่า 16 ปีของไฟใต้ระลอกใหม่ที่ผ่านมา ฝ่าย “อูลามา” ของบีอาร์เอ็นจะทำการปลุกเร้าแนวร่วมอยู่ตลอดเวลาว่า ให้ฆ่าฝ่ายตรงข้ามให้มากที่สุด เพราะการ “ฆ่าในเดือนถือศีลอด” จะทำให้ได้บุญเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า

ดังนั้น จึงต้องจับตากันใกล้ชิดต่อไปว่า “เดือนปอซอ” ที่เพิ่งเริ่มขึ้นในปีที่เกิดโรคโควิด-19 ระบาดอยู่นี้ ฝ่าย “อูลามา” ของขบวนการบีอาร์เอ็นยังจะมีการปลุกระดมให้แนวร่วมในพื้นที่ก่อความรุนแรง อันนำไปสู่การฆ่าฝ่ายตรงข้ามเพื่อเพิ่มบุญให้ได้ 10 เท่าอีกหรือไม่

ถ้าดูจากความเคลื่อนไหวที่ผ่านมาหลังการประกาศหยุดยิงของบีอาร์เอ็นจะเห็นว่า ยังมีการเคลื่อนไหวทางโซเชียลมีเดียของขบวนการในการข่มขู่เจ้าหน้าที่รัฐไทยให้ “เปิดมัสยิด” เพื่อให้มุสลิมสามารถปฏิบัติศาสนากิจได้ และการเคลื่อนไหวโจมตีฝ่ายงานความมั่นคงในรูปแบบอื่นๆ อีกมากมาย เช่น เรื่องการบุกตรวจค้นตามบ้านเรือน หรือบุกตรวจดีเอ็นเอของคนในพื้นที่ รวมทั้งเรื่องการช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนจากโควิด-19 เป็นต้น

แต่เมื่อหันมาดูจากเอกสารที่อ้างว่าเป็นของบีอาร์เอ็นที่มีเผยแพร่อยู่ในโซเชียลมีเดียแล้ว ก็จะเห็นถึงความสับสนปรากฏชัด เพราะมีการใช้ “สัญลักษณ์ขบวนการพูโล” อยู่ในเอกสารดังกล่าวด้วย

อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์กันว่า นี่อาจจะเป็นกลยุทธ์ของบีอาร์เอ็น เพราะแม้จะประกาศหยุดยิง แต่เอาเข้าจริงๆ ในเดือนรอมฎอนนี้ก็จะมีการปฏิบัติการด้วยอาวุธเกิดขึ้น โดยที่บีอาร์เอ็นก็อาจจะปฏิเสธไม่ได้ แต่จะใช้วิธีโยนความผิดให้แก่ฝ่ายอื่นๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่บีอาร์เอ็นถนัดอยู่แล้ว ไม่ต่างจากความพยายามโบ้ยว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่เป็นผู้สร้างสถานการณ์มาเสมอๆ

ดังนั้น จึงวางใจไม่ได้ว่าเดือนรอมฎอนปีนี้จะเป็น “เดือนแห่งความบริสุทธิ์” จริงๆ หรือไม่สามารถกล่าวได้เหมือนที่ผ่านๆ มาว่าเป็น “รอมฎอนเลือด” อย่างที่เกิดขึ้นทุกๆ ปี และยิ่งมี “เงื่อนไข” ของการ “ปิดมัสยิด” ทั้งโดยคำสั่งของจุฬาราชมนตรี และผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อหยุดการแพร่เชื้อโควิด-19 ด้วยแล้ว เรื่องนี้จึงต้องจับตากันต่อไป

บีอาร์เอ็นอาจจะฉกฉวยเงื่อนไขที่เกิดขึ้นบนความไม่เข้าใจของกลุ่มคนมุสลิมที่เห็นเรื่องศาสนาสำคัญที่สุดในชีวิต และไม่พอใจที่เห็นว่าถูกเจ้าหน้าที่รัฐลิดรอนเสรีภาพในเรื่องของการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา และบีอาร์เอ็นอาจจะฉวยโอกาสปฏิบัติการรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้มวลชนเห็นว่าเป็นฝ่ายที่ยืนหยัดอยู่กับคนส่วนใหญ่ในพื้นที่

ส่วนใครที่ฝากความหวังไว้ว่าการ “เจรจาสันติภาพ” ครั้งนี้จะลดความรุนแรงในพื้นที่ และเป็นการเดินเข้าใกล้ความจริงว่า “สงครามประชาชนที่ปลายด้ามขวาน” จะสงบลงได้ด้วยการเจรจา เรื่องนี้คงต้องทำใจรับการที่จะหมดหวังไว้ด้วย เนื่องจากการเจรจาต้องหยุดยาวแน่เพราะพิษสงโควิด-19 แถมยังผสมกับความเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลมาเลเซียด้วย รวมทั้งคณะเจรจาชุดใหญ่ที่มาจากบีอาร์เอ็นทั้งหมด 6 คนก็ถูกปลดออกจากการเป็นแกนนำขบวนการไปแล้ว

ดังนั้น สถานภาพของ 6 แกนนำบีอาร์เอ็นที่เคยเจรจากับตัวแทนรัฐไทยมาก่อน และฝ่ายรัฐไทยก็แสดงอาการดีใจว่าเป็น “ตัวจริง เสียงจริง” เมื่อถูกปลดจากขบวนการไปแล้ววันนี้จึงไม่น่าจะต่างอะไรกับการเป็นได้แค่ “หุ่นเชิด” ให้อาร์เอ็นเหมือนกับกรณีที่มี “เจนีวาคอล” ให้การอุ้มชูเป็นอย่างดียิ่ง

เรื่องราวเหล่านี้ก็แค่นำเอาสถานการณ์ไฟใต้ในช่วงหยุดยิงเพราะพิษโควิด-19 มาเล่าสู่กันฟัง ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ทุกฝ่ายอย่าตั้งอยู่บนความประมาท และอย่าเชื่อว่าสถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะมีการหยุดยิงกันจริงๆ อย่างที่บีอารเอ็นได้ออกแถลงการณ์ไว้

เชื่อเถอะครับขึ้นชื่อว่า “โจร” ไม่ว่าจะเป็นโจรแขก โจรไทย หรือโจรฝรั่ง ล้วนแต่ไม่เคยมี “สัจจะ” ให้เชื่อถือได้ทั้งสิ้น


กำลังโหลดความคิดเห็น