xs
xsm
sm
md
lg

“รัฐไทย” กับ “บีอาร์เอ็น” ใครฉลาดฉวยประโยชน์จากสถานการณ์โควิด-19 ได้มากกว่ากัน?!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ / โดย… ไชยยงค์ มณีพิลึก

ถ้าไม่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ สังคมไทยโดยเฉพาะกับผู้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็อาจจะยังไม่เห็น “ตัวตน” ของ “ขบวนการบีอาร์เอ็น” ที่เวลานี้เปิดออกมาแบบโล่งโจ้ง นี่อาจจะเป็นคุณูปการหนึ่งของเชื้อโรคร้าย และอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับบรรดา “ท่านผู้นำ” ผู้มี “สมอง” ที่จะได้เก็บเกี่ยวไปใช้ต่อกรกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่เป็น “องค์กรลับ” ต่อไปในภายภาคหน้า

เพราะพียง “จดหมายน้อย” หรือแถลงการณ์ของบีอาร์เอ็นที่ใช้คำว่า “หยุดยิง” เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐช่วยเหลือประชาชนท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างเต็มที่ แค่นี้บีอาร์เอ็นก็โกยประโยชน์ไปในทันที “หลายเด้ง”?!

เด้งที่ 1 สำคัญมากเนื่องจากทำให้บีอาร์เอ็นมีที่ยืนบนเวที “สหประชาชาติ (UN)” โดยเฉพาะกับ “องค์กรนานาชาติ” เพราะถ้อยแถลงที่อ้างว่าได้รับการร้องขอจาก “เอ็นจีโอคนหนึ่ง” หรือที่ถูกต้องน่าจะเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่ทำงานอยู่ใน “เจนีวาคอล” ที่วันนี้กลายเป็นผู้กำหนดบทบาทบีอาร์เอ็นในกระบวนการเจรจาสันติภาพกับรัฐไทย ถ้าอ่านแถลงการณ์ 2-3 ฉบับล่าสุดอย่างพินิจพิเคราะห์ ยิ่งฉบับภาษาต่างประเทศก็จะพบร่องรอยว่า ไม่น่าจะเขียนขึ้นจากคนในขบวนการบีอาร์เอ็น แต่เป็นการเขียนโดยเอ็นจีโอกลุ่มเจนีวาคอลนั่นเอง

เด้งที่ 2 สำคัญไม่แพ้กันบีอาร์เอ็นแสดงความมี “มนุษยธรรม” ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในสถานการณ์การแพร่ระบาดใหญ่ไปทั้งโลกของโรคภัยไข้เจ็บ ถือเป็นการที่ไม่ซ้ำเติมสถานการณ์ “ไฟใต้” ให้เลวร้ายยิ่งขึ้น แถมด้วยวาง “กับดัก” ให้เห็นว่าถ้าฝ่ายรัฐไทยไม่หยุดใช้ความรุนแรง นั่นก็จะตกเป็นฝ่ายไม่มีมนุษยธรรมไปทันที

ส่วนเด้งที่ 3 นับว่าเป็นการ “เซฟ” ไม่ให้ต้องสูญเสียใดๆ ทั้ง “กองกำลัง” และ “แนวร่วม” ของตนเอง เนื่องจากไม่ต้องออกปฏิบัติการใดๆ ในภาวะหยุดยิง และเด้งที่ 4 บีอาร์เอ็นยังสามารถป้องกัน “มวลชน” รวมถึงกองกำลังและแนวร่วมในพื้นที่ให้รอดพ้นจากการติดเชื้อโควิด-19 ไปในตัวด้วย เป็นต้น

คอลัมน์นี้เคยเขียนให้เห็นบ่อยๆ ว่า บีอาร์เอ็นเป็น “นักฉวยโอกาส” หรือเป็น “นักฉวยประโยชน์” ที่มีความช่ำช่อง ที่สามารถฉกฉวยได้ในทุกสถานการณ์ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่องค์กรและแก่มวลชนของตนเองมากที่สุด

ความจริงแล้วเวลานี้บีอาร์เอ็นไม่ได้เสนอแค่ “แถลงการณ์หยุดยิง” เพื่อร่วมแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ต่อสังคมโลกเพียงอย่างเดียว แต่ได้ทำการขับเคลื่อน “แผนจัดตั้ง” ในพื้นที่ควบคู่ไปด้วย โดยให้การดูแลและช่วยเหลือคนในพื้นที่ทั้งที่เป็นหรือไม่ได้เป็น “มวลชน” อย่างเป็นระบบ

เรื่องนี้ก็เป็นที่รับรู้กันในระดับหมู่บ้านและตำบล โดยเฉพาะในพื้นที่ที่บีอาร์เอ็นมีความเข้มแข็ง เพียงแต่มิทราบว่าหน่วยงานรัฐในแต่ละพื้นที่ “มองเห็น” สิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่ หรืออาจจะมองไม่เห็นอะไรเลย เพราะไม่เคย “เข้าใจ” และ “เข้าไม่ถึง” โครงสร้างหรือเครือข่ายที่ถูกวางไว้ในยุทธศาสตร์ของบีอาร์เอ็น หรือเข้าทำนอง “นกอยู่ฟ้า แต่ไม่เห็นฟ้า” หรือ “ปลาอยู่น้ำ แต่ไม่เห็นน้ำ” นั่นเอง

ท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เรื่องราวเหล่านี้ถ้าไม่รู้ก็จะไม่เห็น แต่ถ้ารู้ก็จะเห็นว่า “องคาพยพ” ของกว่า “30 องค์กร” ในพื้นที่ที่อยู่เคียงข้างบีอาร์เอ็นได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือเพื่อ “ช่วงชิงมวลชน” อย่างเต็มที่ แม้แต่หน่วยงานที่จัดว่าเป็น “อาสา” หรือเป็น “มูลนิธิ” ซึ่งแค่เห็นชื่อเห็นแซ่ของแต่ละคนได้ จึงบอกได้ทันทีว่าเป็นการจัดตั้งโดยบีอาร์เอ็น

ตัวอย่างน่าตื่นใจก็คือ องค์กร “เดือนแหว่ง” ได้อาศัยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เข้าไปช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่ ซึ่งแม้แต่องค์กรของรัฐยังต้อง “ตกกะไดพลอยโจน” ในการให้ความร่วมมือด้วย เนื่องเพราะหากปฏิเสธก็อาจจะหมายถึงไร้ทั้ง “มนุษยธรรม” และ “ธรรมาภิบาล” ไปทันที

ในขณะที่ “หน่วยงานความมั่นคง” ในพื้นที่เองก็ยังใช้โอกาสการระบาดของเชื้อโควิด-19 ปฏิบัติการด้วยการใช้กำลังพลติดอาวุธอยู่มาต่อเนื่อง แม้จะเน้นปฏิบัติการตามกฎหมายทุกประการแล้วก็ตาม การกระทำเช่นนี้จึงกลายเป็น “จุดอ่อน” ถูกโจมตีได้

ล่าสุด “มูลนิธิผสานวัฒนธรรม” ได้ออกแถลงการณ์โต้ตอบการที่มีกองกำลังเจ้าหน้าที่ออกปฏิบัติการ “เก็บดีเอ็นเอ” ของชาวบ้านในพื้นที่ อ.เพทา จ.สงขลา ในขณะที่ทีมแพทย์และพยาบาล ผู้นำท้องที่และท้องถิ่น ต่างกำลังสาละวนชนิดหามรุ่งหามค่ำอยู่กับการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19

มูลนิธิผสานวัฒนธรรมอาจจะมองในมุมของการ “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” ซึ่งเป็นเรื่องถูกต้องก็จริงอยู่ แต่การที่บีอาร์เอ็นสบช่องในการถามหามนุษยธรรมจากฝ่ายความมั่นคง แถมเรื่องนี้ยังเป็นไปตามกับดักที่ขุดหลุมพรางล่อไว้ด้วย จึงอย่าได้แปลกใจที่ “ผู้มีอำนาจ” ในฝ่ายความมั่นคงจะได้สวนหมัดทำนองว่า ไม่ให้ราคากับการออกแถลงการณ์ของบีอาร์เอ็น

อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่น่าคิดในการกระทำของฝ่ายความมั่นคงว่า เป็นการถูกต้องที่ไม่ควรให้ราคาแก่คู่ต้องสู้ แต่ยังอาจจะเข้าใจผิดไปไหมที่ว่า การให้ราคาจะนำไปสู่การ “ยกระดับ” ให้แก่บีอาร์เอ็น ทั้งที่ในความเป็นจริงวันนี้บีอาร์เอ็นถูกยกระดับไปสู่เวทีสากลเรียบร้อยแล้ว โดยกลุ่มเจนีวาคอลดังกล่าว รวมถึงองค์กรอย่าง “ไอซีอาร์ซี (ICRC)” ที่เข้ามาปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ปี 2556

ดังนั้น จะดีกว่าไหมถ้าวันนี้กำลังพลของหน่วยงานความมั่นคงจะใช้ยุทธวิธี “วางปืน” แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อแจกหน้ากากอนามัย แจกเจลแอลกอฮอล์ รวมถึงแจกสิ่งของเครื่องยังชีพให้แก่ชาวบ้านที่กำลังได้รับความทุกข์ร้อนอย่างหนักจากการระบาดของเชื้อโควิด-19 และที่สาหัสเพิ่มขึ้นไปอีกคือ จากการประกาศ “ล็อกดาวน์” ของผู้ว่าฯ ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นายกรัฐมนตรีหยิบมาใช้

ความจริงแล้วถ้าบีอาร์เอ็นจะโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐที่กำลังช่วยเหลือประชาชนที่ทุกข์ร้อน คนชายแดนใต้ น่าจะรวมถึงคนไทยทั้งประเทศและสังคมโลกด้วย ซึ่งจะได้เห็นถึงความ “กลอกกลิ้ง” และ “ความไร้มนุษยธรรม” ของฝ่ายบีอาร์เอ็นเอง

โดยที่ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ก็ไม่ต้องอาศัยเว็บไซต์ “พูโลนี” และบรรดา “เพจไอโอ” ต่างๆ ทำปฏิบัติการข่าวสารยกยอปอปั้นฝ่ายตนเอง แล้วถล่มฝ่ายตรงข้ามเลยด้วย เพราะยิ่งใช้ “ลูกจ้างชั่วคราว” หรือ “เด็กในคอนโทรล” เหล่านี้ นั่นก็แต่จะยิ่งสร้างความ “เกลียดชัง” และ “ถ่างช่องว่าง” ผู้คนในพื้นที่มากยิ่งขึ้น

วันนี้บีอาร์เอ็นจะ “เติบโต” หรือจะ “ต่ำเตี้ย” หรือจะถูกยกระดับไปสู่ความเป็นสากลได้อย่างเป็นที่ยอมรับจริงหรือไม่ เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่หน่วยงานความมั่นคงจะให้ราคาหรือไม่ เพราะถึงแม้ว่าฝ่ายความมั่นคงจะไม่ให้ราคา แต่ถ้า “ยูเอ็น” รวมทั้ง “องค์กรสากล” ต่างๆ “ยอมรับ” และ “ให้ราคา” ตรงนี้ต่างหากที่สำคัญและต้องขบคิดกันให้มากว่า ในภายหน้ารัฐไทยจะต้านไหวเรื่องนี้หรือไม่

บีอาร์เอ็นใช้โอกาสและสถานการณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง ในขณะที่ฝ่ายความมั่นคงไม่ได้ใช้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้เป็นประโยชน์ในการ “ดับไฟใต้” เลย อย่างสามารถใช้สถานการณ์โควิด-19 ในครั้งนี้สร้างความ “ตระหนก” กับหน่วยงาน “ฝรั่งผมแดง” ที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ให้เผ่นหนีแตกกระเจิงไปได้ เป็นต้น แต่ก็ไม่มีใครคิดทำ

โอกาสนี้ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ควรจะดำเนินการหารือกับกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อมิให้องค์กร “ฝรั่งหัวแดง” เข้าไปปฏิบัติการในชายแดนใต้อีกต่อไป ซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ในเมื่อ สมช.เองก็รู้อยู่เต็มอกว่าองค์กรเหล่านี้คือ “หอกข้างแคร่” ที่เสี่ยงต่อการทำให้เสียดินแดนในอนาคต

โรคระบาด ณ คาบนี้นอกจากจะปอกเปลือกองค์กรลับโล่งโจ้งแล้ว ยังทำให้เห็นว่า “ใครฉลาดน้อย” และ “ใครฉลาดมาก” ระหว่าง “บีอาร์เอ็น” กับ “รัฐไทย” ซึ่งก็อยู่ในดุลพินิจของผู้อ่านแต่ละคน


กำลังโหลดความคิดเห็น