xs
xsm
sm
md
lg

“มูลนิธิผสานวัฒนธรรม” แถลงสวน “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” หยุดเก็บ DNA ชาวบ้านเร่งแพร่เสี่ยงโควิด-19

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพและเนื้อหาประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า
 
ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - “มูลนิธิผสานวัฒนธรรม” แถลงจี้ฝ่ายความมั่นคงให้ยุติการเก็บ DNA ประชาชนช่วงวิกฤตโควิด-19 เพราะเสี่ยงแพร่กระจายโรคและฝ่าฝืนมาตรการด้านสาธารณสุข ยกกรณีหมิ่นเหม่ประกอบ สวนภาพ ปชส.ของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”
 .
วันนี้ (7 เม.ย.) มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง “ขอให้ยุติการเก็บ DNA ประชาชนในช่วงวิกฤตโควิด-19 โดยเด็ดขาด เสี่ยงการแพร่กระจายโรคไวรัสโควิด-19 และฝ่าฝืนมาตรการด้านสาธารณสุข” โดยมีเนื้อหาว่า
 .
เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2563 เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ (JASAD) จังหวัดปัตตานี ได้รายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. มีเจ้าหน้าที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.ห้วยปลิง อ.เทพา จ.สงขลา และเจ้าหน้าที่ทหารพรานจากค่ายวังพญา อ.รามัน จ.ยะลา เดินทางด้วยรถกระบะประมาณ 7 คัน เข้าไปตรวจพื้นที่ ม.3 ต.ลำไพล อ.เทพา จ.สงขลา โดยอ้างว่าเข้ามาตรวจเยี่ยมเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 และได้จอดรถที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งในขณะนั้นมีชาวบ้านกำลังก่อสร้างบ้านอยู่ และได้จัดเก็บสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ-DNA) จากชาวบ้านผู้ชายสามคน อายุ 26 ปี 21 ปี และ 18 ปี
 
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเห็นว่า การจัดเก็บดีเอ็นเอจากประชาชนดังกล่าวเป็นการอ้างใช้บังคับกฎหมายพิเศษอย่างไม่ชอบธรรม จึงขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะหน่วยงานความมั่นคง ยุติการจัดเก็บดีเอ็นเอจากประชาชนโดยทันที ด้วยเหตุผลดังนี้
 


 
1. บุคคลทุกคนมีสิทธิในชีวิต เนื้อตัว ร่างกาย และสิทธิในความเป็นส่วนตัวที่รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอของตน ที่บุคคลอื่นใดหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่อาจล่วงละเมิดได้ การจัดเก็บดีเอ็นเอของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง โดยที่ประชาชนจำยอมหรือไม่สมัครใจ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและละเมิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจที่จะทำได้ ไม่ว่าจะโดยการอ้างตัวบทกฎหมาย เหตุผลหรือในสถานการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น 
 
2. การจัดเก็บดีเอ็นจากประชาชน เจ้าหน้าที่จะทำได้เฉพาะกรณีที่ประชาชนตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา โดยผู้ต้องหายินยอมและเป็นไปตามเงื่อนไขในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131/1 โดยจะเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนเท่านั้น เพื่อพิสูจน์การกระทำความผิดของผู้ต้องหา บุคคลทั่วไปที่เป็นผู้บริสุทธิ์มิใช่ผู้ต้องหาในคดีอาญา ย่อมมีสิทธิที่ปฏิเสธไม่ให้เจ้าหน้าที่จัดเก็บดีเอ็นเอของตนได้
 
3. การจัดเก็บดีเอ็นเอจากประชาชนที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงดำเนินการอยู่ในจังหวัดชายแดนใต้ แม้จะมีการให้ลงชื่อในเอกสารให้คำยินยอมก็จริง แต่การที่เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการจัดเก็บดีเอ็นเอจากประชาชนในลักษณะที่ใช้กำลังกดดัน และโดยที่ไม่ได้ให้ข้อมูลต่อประชาชนเกี่ยวกับการจัดเก็บดีเอ็นเออย่างเพียงพอว่า เก็บไปเพื่ออะไร ใครเป็นผู้เก็บ ใครเก็บรักษา เก็บรักษาอย่างไร ใครบ้างที่มีอำนาจเข้าถึงข้อมูลดีเอ็นเอ เพื่อวัตถุประสงค์ใด อย่างไร และจะตรวจสอบความเป็นธรรมและโปร่งใสอย่างไร ใครเป็นผู้ตรวจสอบ เป็นต้น รวมทั้งต้องอธิบายถึงสิทธิที่ประชาชนจะปฏิเสธการเก็บดีเอ็นเอได้ โดยไม่มีความผิดใดๆ (informed consent) เพื่อให้ประชาชนสามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระว่า จะให้ความยินยอมหรือไม่
.
ทางมูลนิธิฯ เห็นว่าการกระทำในลักษณะดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน
.
4. ในกรณีที่เกิดขึ้นใน ต. ลำไพล อ. เทพา จ. สงขลา ดังกล่าวข้างต้น จากภาพถ่ายและการสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องพบว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ใช้กำลังถึง 7 คันรถ มีการนำอุปกรณ์การตรวจเก็บที่เป็นสำลีพันไม้ พร้อมกล่องกระดาษให้ลงชื่อที่กล่อง รวมทั้งการเก็บลายพิมพ์นิ้วมือทั้งสิบนิ้วของบุคคลทั้งสามในเอกสารของทางราชการ ราวกับว่าเป็นการบันทึกประวัติอาชญากร
 
ในขณะที่ทุกฝ่ายมีความพยายามในการป้องกันการแพร่กระจายของโควิด-19 และมีมาตรการทางสาธารณสุข เช่น การกักตัว การเว้นระยะห่างทางสังคม เป็นต้น เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่ไม่มีมาตรการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 เช่นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการตรวจเก็บเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสหรือไม่ ย่อมสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ ทั้งต่อผู้เก็บดีเอ็นเอและผู้ถูกเก็บ น่าจะเป็นการฝ่าฝืนนโยบายของรัฐบาล ความคาดหวังของสังคมและมาตรการทางสาธารณสุข ที่ต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
 
5. การตรวจเก็บดีเอ็นเอในครั้งนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.เทพา จ.สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดย อ.เทพา ในเป็นหนึ่งใน 8 อำเภอ [อ่านหมายเหตุ 1] ที่ปัจจุบันกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ประกาศเป็นพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคง รัฐบาลจึงประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในพื้นที่ดังกล่าว มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2562 ถึง 30 พ.ย.2563 ซึ่งมาตรา 15 [อ่านหมายเหตุ 2] จึงไม่สามารถประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินทับพื้นที่ดังกล่าวได้อีก การที่ที่เจ้าหน้าที่อ้างว่าเข้าไปตรวจเยี่ยม ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 อาจเป็นการหมิ่นเหม่ต่อการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้
 
6. การจัดเก็บดีเอ็นเอที่ผ่านมาในจังหวัดชายแดนใต้ และในกรณีที่เกิดขึ้นที่ อ.เทพา จ.สงขลา ดังกล่าวข้างต้น ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยกกำลังกำลังกันไปเป็นจำนวนมาก อันเป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเช่นนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ได้กระทำไปโดยการสั่งการ หรือรู้เห็นเป็นใจ หรือทำตามนโยบายของผู้บังคับบัญชาระดับสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่หน่วยงานของรัฐและผู้บังคับบัญชา ซึ่งมีหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไม่พึงกระทำอย่างยิ่ง
 
7. การจัดเก็บดีเอ็นเอลักษณะนี้ต่อเยาวชน จึงเป็นเรื่องน่ากังวล และหากเป็นการจัดเก็บดีเอ็นเด็กที่อายุยังไม่ถึง 18 ปี ยิ่งต้องมีความระมัดระวัง เพราะถือว่าเป็นเด็กที่ต้องได้รับการคุ้มครองในทุกด้าน ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก และต้องไม่ใช่การตรวจสอบคล้ายการทำประวัติอาชญากรดังเหตุการณ์ดังกล่าวโดยเด็ดขาด
 
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เห็นว่า เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงมีหน้าที่และบทบาทที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อนำมาซึ่งสันติสุขในพื้นที่ดังกล่าว รวมทั้งการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุข เพื่อรับมือกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด จึงขอให้ยุติการกระทำที่หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดกฎหมายและเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย
 
มีรายงานข่าวช่วยบ่านวันนี้ (7 เม.ย.) เว็บไซต์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้เผยแพร่ข่าวสารที่มีภาพของ พล.ต.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมข้อความว่า “รัฐจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายกับทุกอาชญากรที่ได้ก่ออาชญากรรม เพื่อความสงบเรียบร้อยภายในประเทศไทย ไม่ว่าจะเกิดภัยพิบัติใดก็ไม่สามารถนำมาเป็นข้ออ้างในการละเว้นการปฏิบัติทางกฎหมายได้.....”
 
 
หมายเหตุ
.
 
[1] พื้นที่ 8 อำเภอที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายใน ได้แก่ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ อ.เทพา อ.สะบ้าย้อย อ.จะนะ อ.นาทวี และอีก 4 อำเภอ ได้แก่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี, อ.เบตง จ.ยะลา และ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส และ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส
 
[2] มาตรา 15  ในกรณีที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร แต่ยังไม่มีความจำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และเหตุการณ์นั้นมีแนวโน้มที่จะมีอยู่ต่อไปเป็นเวลานาน ทั้งอยู่ในอำนาจหน้าที่หรือความรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานของรัฐหลายหน่วย คณะรัฐมนตรีจะมีมติมอบหมายให้ กอ.รมน.เป็นผู้รับผิดชอบในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรนั้น ภายในพื้นที่และระยะเวลาที่กำหนดได้ ทั้งนี้ให้ประกาศให้ทราบโดยทั่วไป
 
ในกรณีที่เหตุการณ์ตามวรรคหนึ่งสิ้นสุดลง หรือสามารถดำเนินการแก้ไขได้ตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบตามปกติ ให้นายกรัฐมนตรีประกาศให้อำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน.ที่ได้รับมอบหมายตามวรรคหนึ่งสิ้นสุดลง และให้นายกรัฐมนตรีรายงานผลต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบโดยเร็ว
 
 
กดเพื่ออ่าน "แถลงการณ์ของมูลนิธิผสานวัฒนธรรม"
 


กำลังโหลดความคิดเห็น