ชุมพร - เจ้าของร้านรับซื้อของเก่าที่ชุมพร นำคลิปวงจรปิดแจ้งความถูกชายฉกรรจ์อ้างเป็นตำรวจท่องเที่ยว พร้อมนักข่าวรวม 9 คน บุกตรวจค้นกลางคืนโดยไม่มีหมายศาล กล่าวหารับซื้อของโจร ข่มขู่รีดเงิน 8 หมื่นบาท ทั้งที่ไม่มีความผิด

วานนี้ (1 เม.ย.) นายสุรินทร์ กาลสังข์ อายุ 39 ปี เจ้าของร้านรับซื้อของเก่าชื่อ “ออ ค้าของเก่า” เลขที่ 109/1 หมู่ 1 ต.บางหมาก อ.เมือง จ.ชุมพร เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ ร.ต.อ.หญิงนันทิยา รักดี รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองชุมพร โดยกล่าวว่า ช่วงเวลา 20.30 น.ของวันที่ 31 มีนาคม 2563 ได้มีกลุ่มบุคคลอ้างเป็นตำรวจท่องเที่ยวจากส่วนกลาง และนักข่าวซึ่งไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง แต่บางคนตนจำชื่อเล่นได้ ทั้งหมด จำนวน 9 คน บุกเข้ามาในร้านรับซื้อของเก่าโดยไม่มีหมายค้น ได้ทำการข่มขู่อ้างว่าตนเองมีความผิดรับซื้อของโจรแล้วบังคับข่มขู่เอาเงินไปจำนวน 8 หมื่นบาท
นายสุรินทร์ กล่าวว่า ตนมีอาชีพรับซื้อของเก่าและซากรถเก่ามีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย โดยช่วงค่ำของคืนวันที่ 31 มีนาคม 63 ที่ผ่านมาได้มีกลุ่มบุคคลอ้างเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ จำนวน 5 คน พนักงานไฟแนนซ์ 1 คน นักข่าว 3 คน บุกเข้าไปตรวจค้นตรวจยึดซากรถยนต์เก่าซึ่งเป็นซากรถที่หมดอายุการใช้งาน และซากรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุที่ไม่สามารถใช้ขับขี่ได้

ซึ่งเจ้าของได้ขายให้แก่ตนและบางส่วนก็เป็นซากรถยนต์ที่ตนไปประมูลมา เข้ามาตรวจยึดแล้วอ้างโน่นอ้างนี่สารพัด อีกทั้งไม่มีผู้เสียหายมาชี้แสดงตัวด้วย และตนก็มีหลักฐานให้ดูครบทุกอย่างแต่ยังพยายามข่มขู่จะหาเรื่องจับตนให้ได้ ขณะที่พนักงานบริษัทไฟแนนซ์ ทำทีตรวจซากรถบอกว่าเป็นรถยนต์ของบริษัทตนเองที่ถูกคนซื้อแล้วไม่ผ่อนส่งนำมาขายไว้ที่นี่ ส่วนนักข่าวทั้ง 3 คน ก็ถ่ายภาพทำข่าวลักษณะเหมือนเป็นการข่มขู่ให้ตนเกิดความหวาดกลัว
นายสุรินทร์ กล่าวว่า แต่ตนก็ไม่ยอมเพราะไม่มีความผิดอะไร ตำรวจนายหนึ่งที่คนในกลุ่มเรียกว่า “หมวดตุ้ม” ไปตรวจซากแชสซีส์รถแล้วบอกว่าตัวเลขแชสซีส์ถูกลบตัดแต่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทำลายหลักฐานตัวเลขรถ มีความผิดตามกฎหมาย นอกจากนั้น ยังจะยึดรถยนต์จำนวน 2 คัน ที่เจ้าของนำมาจอดซ่อมเปลี่ยนอะไหล่เก่า โดยมีพนักงานไฟแนนซ์ได้ชี้ยืนยันว่าเป็นรถของบริษัทที่ไม่จ่ายค่างวดแล้วลักลอบนำมาขายไว้กับตน

ต่อมา ตนได้ติดต่อเจ้าของผู้ครอบครองรถทั้ง 2 คัน มาที่เกิดเหตุโดยเจ้าของรถยนต์ทั้ง 2 คัน ได้นำหลักฐานมาแสดงถูกต้องและยังจ่ายค่างวดผ่อนส่งตามปกติไม่เคยขาด และบอกว่าได้นำมาจอดซ่อมไว้จริง แต่กลุ่มคนที่อ้างเป็นตำรวจยังไม่ยอมหยุดพฤติกรรมข่มขู่บอกว่าซากรถหลายคันที่ตนรับซื้อมาเป็นของโจรและพยายามพูดจะให้ตนเคลียร์ตลอดเวลาแต่ตอนไม่ยอม จากนั้นพาตนไปทำบันทึกการจับกุมที่หน้าบ้านโดยพิมพ์ในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กแล้วใช้เครื่องปรินต์เป็นกระดาษ A4 ออกมาจำนวน 5 แผ่น พร้อมกับจะให้ตนเซ็นรับเป็นผู้ต้องหา ซึ่งตนไม่ยอมเซ็นเพราะไม่มีความผิดตนทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ระหว่างพูดคุยขณะตำรวจเผลอตนได้แอบใช้โทรศัพท์มือถ่ายเอกสารบันทึกการจับกุมดังกล่าวไว้ได้ทั้งหมดจำนวน 5 แผ่นด้วย
นายสุรินทร์ กล่าวว่า จนกระทั่งเวลาผ่านไป 4-5 ทุ่ม ดึกมากแล้วคนที่อ้างเป็นตำรวจยังพยายามพูดข่มขู่แล้วทำทีโทรศัพท์เรียกรถยนต์มายกของกลางไปไว้ที่โรงพักแล้วบอกว่าถ้าจะเคลียร์นายสั่งให้จ่ายเงินมา 150,000 บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นบาท) หากไม่ยอมจ่ายจะถูกดำเนินคดีฐานรับซื้อของโจร มีโทษหนักจำคุกถึง 5 ปี ด้วยความกลัวเพราะเป็นเวลากลางคืนดึกมากแล้วตนและภรรยาจึงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้รอดพ้นไปก่อนจึงได้เจรจาต่อรองตกลงกันจนเหลือ 8 หมื่นบาท แต่ตนและภรรยามีเงินสดอยู่เพียง 42,000 บาท จึงได้โทรศัพท์ให้เพื่อนสนิทมาหาเพื่อขอยืมเงินที่เหลือแต่เพื่อนไม่มีเงินสด ตนจึงมอบเงินจำนวน 42,000 บาท ให้ส่วนที่เหลืออีกจำนวน 38,000 บาท ให้เพื่อนไปกดที่ตู้เอทีเอ็มในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งริมถนนสายชุมพร-ปากน้ำชุมพร ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 3 กิโลเมตร โดยมีคนที่อ้างเป็นตำรวจและนักข่าวขับรถยนต์ติดตามไปรับเงินภายในปั๊มน้ำมันดังกล่าว และยังมีตำรวจอีกชุดหนึ่งนั่งคุมเชิงพูดคุยอยู่ที่ร้านของตน

นายสุรินทร์ กล่าวว่า หลังจากเพื่อนตนได้จ่ายเงินจำนวน 8 หมื่นที่ปั๊มน้ำมันดังกล่าวแล้ว คนร้ายที่ไปรับเงินสดที่ปั๊มน้ำมันก็กลับมารวมตัวกันที่บ้านตนอีกครั้ง แล้วถอดเอาเมมโมรีการ์ดจากล้องวงจรปิดตัวที่อยู่หน้าร้านตนออกไปด้วย พร้อมกับเอาโทรศัพท์มือถือของภรรยาตนที่ได้ถ่ายคลิปไว้ตอนเข้ามาขอตรวจค้นโดยให้นักข่าวอีกคนเป็นคนลบคลิปวิดีโอทั้งหมดในมือถือของภรรยาตน ก่อนทั้งหมดจะเดินทางกลับออกไป
นายสุรินทร์ กล่าวว่า กลุ่มบุคคลที่อ้างเป็นตำรวจและนักข่าวคิดว่ากล้องวงจรปิดมีอยู่ที่เฉพาะหน้าบ้านเพียงตัวเดียว แต่ความจริงแล้วตนติดตั้งแอบซ่อนไว้หลายตัวทั่วทั้งบ้านและภายในจุดรับซื้อเก็บของเก่าหลังบ้านด้วยสามารถบันทึกภาพและเสียงกลุ่มบุคคลทั้งหมดไว้ได้อย่างชัดเจน หลังจากนั้นตนได้ปรึกษากับคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดหลายคนให้ตนนำหลักฐานทั้งหมดเข้าแจ้งความดำเนินคดีเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

โดยนายสุรินทร์ ได้มอบหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดในมุมต่างๆ ที่เห็นภาพและเสียงบุคคลทั้ง 9 คนไว้ให้แก่พนักงานสอบสวน พร้อมกับระบุชื่อเล่นของกลุ่มบุคลดังกล่าวที่ได้ยินช่วงระหว่างพูดคุยกันและยังมีเพื่อนบ้านบางคนเป็นพยานว่าเคยเห็นและรู้จักกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวว่าเป็นตำรวจจริงและเป็นนักข่าวในพื้นที่ จ.ชุมพร ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ลงบันทึกรับเป็นคดีอาญาไว้เพื่อสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายเรียกกลุ่มบุคคลตามภาพคลิปวิดีโอดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปแล้ว
ด้าน นายเขียว (นามสมมติ) อายุ 50 ปี กล่าวว่า นายสุรินทร์เจ้าของร้านรับซื้อของเก่าได้โทรศัพท์ให้ตนมาหาที่ร้านที่เกิดเหตุกลางดึกเพื่อขอยืมเงินจำนวน 38,000 บาท ซึ่งตนไม่มีเงินสด นายสุรินทร์จึงได้มอบเงินสดจำนวน 42,000 บาท ให้แก่ตนไว้ส่วนที่เหลืออีกจำนวน 38,000 บาท ขอให้ตนไปกดที่ตู้เอที่เอ็มในปั๊มน้ำมันจนครบ 8 หมื่นบาท ซึ่งมีตำรวจและนักข่าวขับรถยนต์ติดตามไป 2 คัน แต่ไม่ทราบว่าไปกันกี่คนโดยจอดอยู่ที่ริมถนนหน้าปั๊ม ส่วนคนที่ลงจากรถเดินมารับเงิน 8 หมื่นบาทจากตนทราบว่าเป็นนักข่าว หลังรับเงินแล้วยังยืนนับใกล้กับตู้เอทีเอ็มในปั๊มน้ำมันด้วย จากนั้นได้เดินไปขึ้นรถยนต์ที่มีคนขับนั่งรออยู่ขับออกไป
วานนี้ (1 เม.ย.) นายสุรินทร์ กาลสังข์ อายุ 39 ปี เจ้าของร้านรับซื้อของเก่าชื่อ “ออ ค้าของเก่า” เลขที่ 109/1 หมู่ 1 ต.บางหมาก อ.เมือง จ.ชุมพร เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ ร.ต.อ.หญิงนันทิยา รักดี รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองชุมพร โดยกล่าวว่า ช่วงเวลา 20.30 น.ของวันที่ 31 มีนาคม 2563 ได้มีกลุ่มบุคคลอ้างเป็นตำรวจท่องเที่ยวจากส่วนกลาง และนักข่าวซึ่งไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง แต่บางคนตนจำชื่อเล่นได้ ทั้งหมด จำนวน 9 คน บุกเข้ามาในร้านรับซื้อของเก่าโดยไม่มีหมายค้น ได้ทำการข่มขู่อ้างว่าตนเองมีความผิดรับซื้อของโจรแล้วบังคับข่มขู่เอาเงินไปจำนวน 8 หมื่นบาท
นายสุรินทร์ กล่าวว่า ตนมีอาชีพรับซื้อของเก่าและซากรถเก่ามีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย โดยช่วงค่ำของคืนวันที่ 31 มีนาคม 63 ที่ผ่านมาได้มีกลุ่มบุคคลอ้างเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ จำนวน 5 คน พนักงานไฟแนนซ์ 1 คน นักข่าว 3 คน บุกเข้าไปตรวจค้นตรวจยึดซากรถยนต์เก่าซึ่งเป็นซากรถที่หมดอายุการใช้งาน และซากรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุที่ไม่สามารถใช้ขับขี่ได้
ซึ่งเจ้าของได้ขายให้แก่ตนและบางส่วนก็เป็นซากรถยนต์ที่ตนไปประมูลมา เข้ามาตรวจยึดแล้วอ้างโน่นอ้างนี่สารพัด อีกทั้งไม่มีผู้เสียหายมาชี้แสดงตัวด้วย และตนก็มีหลักฐานให้ดูครบทุกอย่างแต่ยังพยายามข่มขู่จะหาเรื่องจับตนให้ได้ ขณะที่พนักงานบริษัทไฟแนนซ์ ทำทีตรวจซากรถบอกว่าเป็นรถยนต์ของบริษัทตนเองที่ถูกคนซื้อแล้วไม่ผ่อนส่งนำมาขายไว้ที่นี่ ส่วนนักข่าวทั้ง 3 คน ก็ถ่ายภาพทำข่าวลักษณะเหมือนเป็นการข่มขู่ให้ตนเกิดความหวาดกลัว
นายสุรินทร์ กล่าวว่า แต่ตนก็ไม่ยอมเพราะไม่มีความผิดอะไร ตำรวจนายหนึ่งที่คนในกลุ่มเรียกว่า “หมวดตุ้ม” ไปตรวจซากแชสซีส์รถแล้วบอกว่าตัวเลขแชสซีส์ถูกลบตัดแต่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทำลายหลักฐานตัวเลขรถ มีความผิดตามกฎหมาย นอกจากนั้น ยังจะยึดรถยนต์จำนวน 2 คัน ที่เจ้าของนำมาจอดซ่อมเปลี่ยนอะไหล่เก่า โดยมีพนักงานไฟแนนซ์ได้ชี้ยืนยันว่าเป็นรถของบริษัทที่ไม่จ่ายค่างวดแล้วลักลอบนำมาขายไว้กับตน
ต่อมา ตนได้ติดต่อเจ้าของผู้ครอบครองรถทั้ง 2 คัน มาที่เกิดเหตุโดยเจ้าของรถยนต์ทั้ง 2 คัน ได้นำหลักฐานมาแสดงถูกต้องและยังจ่ายค่างวดผ่อนส่งตามปกติไม่เคยขาด และบอกว่าได้นำมาจอดซ่อมไว้จริง แต่กลุ่มคนที่อ้างเป็นตำรวจยังไม่ยอมหยุดพฤติกรรมข่มขู่บอกว่าซากรถหลายคันที่ตนรับซื้อมาเป็นของโจรและพยายามพูดจะให้ตนเคลียร์ตลอดเวลาแต่ตอนไม่ยอม จากนั้นพาตนไปทำบันทึกการจับกุมที่หน้าบ้านโดยพิมพ์ในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กแล้วใช้เครื่องปรินต์เป็นกระดาษ A4 ออกมาจำนวน 5 แผ่น พร้อมกับจะให้ตนเซ็นรับเป็นผู้ต้องหา ซึ่งตนไม่ยอมเซ็นเพราะไม่มีความผิดตนทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ระหว่างพูดคุยขณะตำรวจเผลอตนได้แอบใช้โทรศัพท์มือถ่ายเอกสารบันทึกการจับกุมดังกล่าวไว้ได้ทั้งหมดจำนวน 5 แผ่นด้วย
นายสุรินทร์ กล่าวว่า จนกระทั่งเวลาผ่านไป 4-5 ทุ่ม ดึกมากแล้วคนที่อ้างเป็นตำรวจยังพยายามพูดข่มขู่แล้วทำทีโทรศัพท์เรียกรถยนต์มายกของกลางไปไว้ที่โรงพักแล้วบอกว่าถ้าจะเคลียร์นายสั่งให้จ่ายเงินมา 150,000 บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นบาท) หากไม่ยอมจ่ายจะถูกดำเนินคดีฐานรับซื้อของโจร มีโทษหนักจำคุกถึง 5 ปี ด้วยความกลัวเพราะเป็นเวลากลางคืนดึกมากแล้วตนและภรรยาจึงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้รอดพ้นไปก่อนจึงได้เจรจาต่อรองตกลงกันจนเหลือ 8 หมื่นบาท แต่ตนและภรรยามีเงินสดอยู่เพียง 42,000 บาท จึงได้โทรศัพท์ให้เพื่อนสนิทมาหาเพื่อขอยืมเงินที่เหลือแต่เพื่อนไม่มีเงินสด ตนจึงมอบเงินจำนวน 42,000 บาท ให้ส่วนที่เหลืออีกจำนวน 38,000 บาท ให้เพื่อนไปกดที่ตู้เอทีเอ็มในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งริมถนนสายชุมพร-ปากน้ำชุมพร ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 3 กิโลเมตร โดยมีคนที่อ้างเป็นตำรวจและนักข่าวขับรถยนต์ติดตามไปรับเงินภายในปั๊มน้ำมันดังกล่าว และยังมีตำรวจอีกชุดหนึ่งนั่งคุมเชิงพูดคุยอยู่ที่ร้านของตน
นายสุรินทร์ กล่าวว่า หลังจากเพื่อนตนได้จ่ายเงินจำนวน 8 หมื่นที่ปั๊มน้ำมันดังกล่าวแล้ว คนร้ายที่ไปรับเงินสดที่ปั๊มน้ำมันก็กลับมารวมตัวกันที่บ้านตนอีกครั้ง แล้วถอดเอาเมมโมรีการ์ดจากล้องวงจรปิดตัวที่อยู่หน้าร้านตนออกไปด้วย พร้อมกับเอาโทรศัพท์มือถือของภรรยาตนที่ได้ถ่ายคลิปไว้ตอนเข้ามาขอตรวจค้นโดยให้นักข่าวอีกคนเป็นคนลบคลิปวิดีโอทั้งหมดในมือถือของภรรยาตน ก่อนทั้งหมดจะเดินทางกลับออกไป
นายสุรินทร์ กล่าวว่า กลุ่มบุคคลที่อ้างเป็นตำรวจและนักข่าวคิดว่ากล้องวงจรปิดมีอยู่ที่เฉพาะหน้าบ้านเพียงตัวเดียว แต่ความจริงแล้วตนติดตั้งแอบซ่อนไว้หลายตัวทั่วทั้งบ้านและภายในจุดรับซื้อเก็บของเก่าหลังบ้านด้วยสามารถบันทึกภาพและเสียงกลุ่มบุคคลทั้งหมดไว้ได้อย่างชัดเจน หลังจากนั้นตนได้ปรึกษากับคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดหลายคนให้ตนนำหลักฐานทั้งหมดเข้าแจ้งความดำเนินคดีเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
โดยนายสุรินทร์ ได้มอบหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดในมุมต่างๆ ที่เห็นภาพและเสียงบุคคลทั้ง 9 คนไว้ให้แก่พนักงานสอบสวน พร้อมกับระบุชื่อเล่นของกลุ่มบุคลดังกล่าวที่ได้ยินช่วงระหว่างพูดคุยกันและยังมีเพื่อนบ้านบางคนเป็นพยานว่าเคยเห็นและรู้จักกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวว่าเป็นตำรวจจริงและเป็นนักข่าวในพื้นที่ จ.ชุมพร ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ลงบันทึกรับเป็นคดีอาญาไว้เพื่อสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายเรียกกลุ่มบุคคลตามภาพคลิปวิดีโอดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปแล้ว
ด้าน นายเขียว (นามสมมติ) อายุ 50 ปี กล่าวว่า นายสุรินทร์เจ้าของร้านรับซื้อของเก่าได้โทรศัพท์ให้ตนมาหาที่ร้านที่เกิดเหตุกลางดึกเพื่อขอยืมเงินจำนวน 38,000 บาท ซึ่งตนไม่มีเงินสด นายสุรินทร์จึงได้มอบเงินสดจำนวน 42,000 บาท ให้แก่ตนไว้ส่วนที่เหลืออีกจำนวน 38,000 บาท ขอให้ตนไปกดที่ตู้เอที่เอ็มในปั๊มน้ำมันจนครบ 8 หมื่นบาท ซึ่งมีตำรวจและนักข่าวขับรถยนต์ติดตามไป 2 คัน แต่ไม่ทราบว่าไปกันกี่คนโดยจอดอยู่ที่ริมถนนหน้าปั๊ม ส่วนคนที่ลงจากรถเดินมารับเงิน 8 หมื่นบาทจากตนทราบว่าเป็นนักข่าว หลังรับเงินแล้วยังยืนนับใกล้กับตู้เอทีเอ็มในปั๊มน้ำมันด้วย จากนั้นได้เดินไปขึ้นรถยนต์ที่มีคนขับนั่งรออยู่ขับออกไป