xs
xsm
sm
md
lg

“การเยียวยาโควิด-19” รัฐบาลต้องไม่เลือกปฏิบัติ ประชาชนต้องมีสิทธิเสมอกัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
โดย... พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง 
 


 
ตามที่โฆษกรัฐบาลแถลงมติที่ประชุม ครม. วันที่ 31 มี.ค.2563 ว่า ครม.เห็นชอบให้ขยายกลุ่มเป้าหมายจาก 3 ล้านคน เป็น 9 ล้านคน
 
โดยเยียวยาให้ประชาชนที่ประกอบอาชีพอิสระ และลูกจ้างที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคมที่ตกงานอันเนื่องมาจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะได้รับเงินเยียวยาเป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท/เดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งได้มีผู้ลงทะเบียนตามหลักเกณฑ์ที่ตั้งไว้ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 มีจำนวนผู้ลงทะเบียนได้พุ่งไปกว่า 22 ล้านคน ในขณะที่ยอดผู้ลงทะเบียนน่าจะยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ
 
การที่รัฐกำหนดเป็นโควตาเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเหลือ 9 ล้านคน ส่งผลให้ผู้ลงทะเบียนจำนวนมากถึง 13 ล้านคน หรือมากกว่านั้นจะต้องถูกตัดสินให้ไม่ได้รับเงินเยียวยาจำนวนดังกล่าว ทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมายดังนี้
 
คำถามที่ 1 ทำไมรัฐจึงต้องกำหนดโควตาผู้ที่ได้รับเงินเยียวยาไว้ที่ 9 ล้านคน? ทำไมไม่ให้เงินเยียวยาแก่ผู้ลงทะเบียนทุกคนที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ?
 
คำถามที่ 2 รัฐกำหนดเกณฑ์ช่วยเหลือเยียวยาคือ ผู้มีคุณสมบัติต้องมีสัญชาติไทยและอายุ 18 ปีขึ้นไป โดยประกอบอาชีพแรงงาน ลูกจ้างชั่วคราวหรืออาชีพอิสระ โดยพวกเขาเหล่านี้จะต้องไม่อยู่ในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 และเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์โรคโควิด-19
 
ซึ่งการกำหนดเกณฑ์และคุณสมบัติผู้มีสิทธิได้รับอนุมัติจาก ครม.ที่ได้ประกาศและให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2563 แล้ว จนมีผู้ลงทะเบียนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 มากถึง 22 ล้านคน เมื่อรัฐบาลได้ทราบจำนวนผู้เดือดร้อนและลงทะเบียนมากถึง 22 ล้านคนอยู่แล้ว ทำไมจึงมีมติ ครม.อนุมัติให้เยียวยาเพียง 9 ล้านคน?
 
คำถามที่ 3 รัฐบาลได้ให้ธนาคารกรุงไทยนำระบบ AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้ในการคัดกรองคุณสมบัติผู้ลงทะเบียน ซึ่งอ้างว่าความถูกต้องแม่นยำสูงนั้น จะเชื่อถือได้อย่างไร?
 
หากมีการใช้ AI ในการคัดกรอง เหตุใดจึงต้องให้ประชาชนเข้ามาลงทะเบียนเป็นจำนวนมากจนเว็บล่ม เพราะรัฐมีข้อมูลพื้นฐานทุกอย่าง โดยแทบไม่ต้องการข้อมูลอื่นใดเพิ่มเติม ทั้งนี้ รัฐควรเปิดเผยหลักการ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเพื่อความโปร่งใส และตรวจสอบได้ต่อไป
 
คำถามที่ 4 รัฐกำหนดโควตาที่เป็นนโยบายผ่านมติ ครม. ทั้งที่มีผู้ได้รับผลกระทบเข้าเกณฑ์และมาตรการมากกว่าที่รัฐกำหนด กรณีนี้จะเป็นการลดทอนสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค คุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือไม่
 
การที่รัฐตัดสินใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อต่อสู้กับโรคโควิด-19 ชี้ให้เห็นว่ารัฐมีการไตร่ตรองว่ามาตราการสาธารณสุขที่แข็งกร้าวนั้นสามารถที่จะป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายได้ ตามหลักคิดที่ว่า “การมีชีวิตอยู่รอดสำคัญกว่าสิ่งใด” แม้จะยังไม่สามารถบอกว่าต้องใช้เวลานานเท่าไรจึงสำเร็จก็ตาม
 
แต่ที่รัฐทราบชัดเจนคือ การตัดสินใจใช้มาตราการดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อความเดือดร้อนความทุกข์ยากของประชาชนที่กว้างใหญ่ ที่เกิดกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
 
ในกรณีที่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจ การตกงานและขาดรายได้นั้น ในประเทศไทยมีประชาชนที่อยู่ในวัยทำงานจำนวนมากกว่า 30 ล้านคนทั่วประเทศ ในจำนวนนี้มีประชาชนเพียง 10 ล้านคนที่อยู่ในระบบประกันสังคม (ซึ่งได้รับเงินทดแทนระหว่างว่างงาน)  ที่เดือดร้อนมากที่สุด และประชาชนอีกกว่า 15 ล้านคน ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและการบริการอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม โรคโควิด-19 และการตัดสินใจของรัฐบาลจึงมีผู้ได้รับผลกระทบตามความเป็นจริงจำนวนมากมายที่รัฐต้องช่วยเหลือเยียวยาอย่างไม่เลือกปฏิบัติ
 
ในต่างประเทศวิธีการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคโควิด-19 ก็คือ การนำหลัก ‘รัฐสวัสดิการ’ มาใช้ กล่าวคือ ‘สวัสดิการ’ เป็น ‘สิทธิ’ ที่รัฐต้องจัดให้เสมอกัน แรงงานที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ทุกคน ทั้งที่อยู่ในระบบประกันสังคมและไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม ต้องได้รับการชดเชยรายได้จากผลกระทบของมาตรการรัฐเหมือนกันหมดทุกคน
 
รัฐไม่มีการคัดกรองหรือจำกัดสิทธิผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 เช่น ภาคประชาชนเยอรมนีร่วมลงชื่อกว่า 4 แสนคน สนับสนุนให้ประเทศเยอรมนีมอบเงินเดือนให้เปล่าเดือนละ 40,000 บาทถ้วนหน้า เป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยจำนวนเงินนี้เป็นเงินเพิ่มเติมจากเงินประกันการว่างงาน เงินชดเชยนี้คิดเป็นร้อยละ 50 ของค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นต้น
 
กรณีเรื่องงบประมาณในเบื้องต้นควรพิจารณาจากงบประมาณปี พ.ศ.2563 ก่อน เพื่อโอนไปใช้ในภารกิจต่อสู้กับโควิด-19 ที่ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติก่อน หากไม่พอก็กู้เงินมาใช้เพิ่มได้ กรณีการโอนงบประมาณปี 2563 นั้น ตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2561 มาตรา 35 และ 36  สามารถกระทำได้ ที่เห็นเบื้องต้นว่าโอนแล้วมีผลกระทบไม่มากนักคือ งบบูรณาการบางส่วนที่ตั้งไว้ 2.3 แสนล้านบาท และงบตามยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงบางส่วนที่ตั้งไว้ 4.2 แสนล้านบาท
 
นอกจากนี้ ยังพบว่าผลการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ในระบบการบริหารงานการเงินการคลังภาครัฐ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Government Fiscal Management Information System) หรือเรียกย่อๆ ว่า GFMIS ยังมีงบประมาณที่ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันเมื่อสิ้นสุดไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ.2563 จำนวน 141,653 รายการ เป็นเงิน 978,511 ล้านบาทเศษ หากใช้ไม่ทันก็สามารถนำไปใช้ดำเนินงานช่วยเหลือผู้เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ได้
 
และยังมีงบประมาณการฝึกอบรมสัมมนาที่ตั้งไว้ถึง 30,000 ล้านบาท เมื่อใช้ พ.ร.ก .ฉุกเฉินฯ ได้ห้ามรวมตัวกัน จึงไม่สามารถจัดประชุมอะไรในช่วงนี้ได้อยู่แล้ว ซึ่งงบที่กล่าวข้างต้นไม่มีผลกระทบต่อเงินเดือนของข้าราชการและสวัสดิการต่างๆ แต่อย่างใด
 
พรรคฝ่ายค้านได้ประกาศพร้อมร่วมมือรัฐบาล หากต้องประชุมผ่านเป็นกฎหมายเพื่อนำมาใช้ในการแก้วิกฤตโควิด-19 และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจจากโรคนี้ตามความเป็นจริงได้
 


กำลังโหลดความคิดเห็น