xs
xsm
sm
md
lg

ไฟใต้ในอุ้งมือ “อิเหนาเมาหมัด” ไอโอ Pulony ยังไม่สร่าง! การเมืองเสือเหลืองผสมโรงอีก!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้  /  โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
 


 
ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านไปหมาดๆ แม้จะจืดชืด ไม่สมราคาคุยอย่างที่ “บิ๊กเหลิม” อวดโอ่ไว้ แต่ในส่วนของ “กอ.รมน.ใหญ่” และ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ถือเป็นหน่วยงานที่ถูกต่อยเข้ากระโดงคางอย่างเต็มหมัด ในเรื่องการนำงบประมาณแผ่นดินไปใช้ทำ “ไอโอ (Information Operations : IO)” หรือ “ปฏิบัติการข่าว” จนทำให้เกิดอาการ “เมาหมัด” ทั้ง “ผอ.กอ.รมน.” และ “โฆษก กอ.รมน.” ที่คนแรกปฏิเสธว่าไอโอที่ทำจากเว็บ Pulony (พูโลนี)” ไม่ใช่ของ กอ.รมน. ในขณะที่คนหลังยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่า เป็นของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”
 
นี่คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “นอนเตียงเดียวกัน ฝันคนละเรื่อง” ที่เกิดขึ้นเนื่องๆ กับรัฐบาลชุดนี้ที่มี “นายกรัฐมนตรี” และ “รมว.กลาโหม” มาจาก “กองทัพ” ที่รับรู้กันว่าเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของประเทศเราอย่างแท้จริง
 
ประเด็นการนำเอา “งบประมาณแผ่นดิน” ไปใช้ทำไอโอเพื่อปกป้องรัฐบาล สำหรับผู้เขียนอาจจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญนัก เพราะถ้าใช้เงินเยอะ แต่สามารถทำให้เกิดความปรองดอง สร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นระหว่างคนในชาติ โดยเฉพาะกับคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ด้วยแล้ว แม้ว่าจะมี “รั่วไหล” ไปเข้ากระเป๋า “นายพล” หรือ “นายพัน” บางคนมากสักแค่ไหน นั่นก็ยังต้องถือว่าเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากเรื่องของ “การค้าสงคราม” บนแผ่นดิน “ไฟใต้” ถูกกำหนดให้จำเป็นต้องมี “งบลับ” และ/หรือ “งบประมาณแฝง” พ่วงเข้าไปด้วย
 
แต่ประเด็นสำคัญมากคือ การที่ต้องถามว่า ปฏิบัติการไอโอภายใต้ชื่อ Pulony” ที่ทำกันมานานหลายปีและ “ผลาญงบประมาณ” ไปมากมายก่ายกองนั้น วันนี้ทั้ง “นายพล-นายพัน” ผู้รับผิดชอบสามารถตอบสังคมได้หรือไม่ว่า ประสบความสำเร็จในการสร้างการรับรู้อันนำไปสู่ “ความปรองดอง” ของคนในชาติ หรือสร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะที่สำคัญอย่างยิ่งยวดเพราะเป็นเป้าประสงค์หลักเสียด้วยคือ นำไปสู่การ “ดับไฟใต้” ได้จริงหรือเปล่า
 
เนื่องเพราะที่สังคมได้เห็นเป็นประจักษ์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันคือ Pulony” ใช้แต่ “วาทกรรม” เชิง “สาดโคลน” หรือไม่ก็ “เสียดสีประชดประชัน” ในการนำเสนอข่าวสารเพื่อตอบโต้กับ “กลุ่มผู้เห็นต่าง” เพื่อทำให้กลายเป็น “ผู้ร้าย” หรือไม่ก็ดู “ด้อยค่า” ไปเลย ซึ่งนั่นนอกจากจะเป็นการ “สร้างศัตรู” เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ยังต้องถือว่ายิ่งเป็นการตอกลิ่มให้เกิด “ความแตกแยก” ในสังคมเพิ่มขึ้นไปอีก อันเป็นลักษณะของการนำงบประมาณแผ่นดินไปใช้หว่านโปรยแบบ “ขี่ช้างจับตั๊กแตน” ที่ไม่มีความคุ้มค่าอะไรเลย ส่วนที่ได้บ้างก็เห็นจะมีแค่สนอง “ความสะใจ” ของคนบางกลุ่มเท่านั้น
 
เรื่องราวเหล่านี้คงไม่ต้องไปย้อนดูอะไรให้มากมาย เอาแค่เหตุการณ์ล่าสุด “วิสามัญ 6 โจรใต้บนเทือกเขาตะเว” อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ปรากฏว่าระหว่างทำพิธีฝังมีผู้คนไปร่วมมากมาย และเป็นที่รับรู้กันว่า “ไม่มีการอาบน้ำศพ” เพื่อให้เป็น “ชะอีด” ตามความเชื่อ โดยไม่มีใครสนใจว่าเป็นการบิดเบือนหลักการทางศาสนาหรือไม่ และไม่เพียงเท่านั้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา มีการจัดงานครบรอบการเสียชีวิต 7 วันให้ผู้ตายทั้ง 6 ปรากฏว่าก็ยังมีผู้คนหลายร้อยเข้าร่วม ณ สุสานบ้านยานิง สิ่งนี้น่าจะตอบโจทย์ได้ดีว่าที่ Pulony” กระทำปฏิบัติการไอโอมาต่อเนื่อง แต่กลับไม่ได้สร้างความเข้าใจแก่คนในพื้นที่ หรือเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนแต่อย่างใด
 
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขอบอกไว้ตรงนี้ว่า ปฏิบัติการไอโอของ Pulony” หลายอย่างเป็นเรื่องที่ดี แต่เนื่องจากคนในพื้นที่ต่างรับรู้กันมาตลอดว่า ข่าวสารที่ถูกปฏิบัติการไอโอถูกส่งผ่านมาจาก “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จึงทำให้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏแม้จะเป็นเรื่องราวที่ดีและมีประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม แต่กลับไม่มีการให้น้ำหนักอะไรเลย ไม่แม้จะโน้มใจไปให้ความเชื่อถือแม้เพียงน้อยนิด เพราะสังคมคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ยังมองว่า “ทหาร” ไม่มีความจริงใจนั่นเอง
 
ดังนี้แล้ว ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ที่มี Pulony” อยู่ในอ้อมกอดจะดำเนินการอย่างไรกับการใช้ปฏิบัติการ “สงครามข่าวสาร” ในการต่อสู้กับ “บีอาร์เอ็น” ที่วันนี้มีพัฒนาการก้าวหน้าอย่างเป็นที่ประจักษ์ชัด แถมยังมี “ฝรั่งหัวแดง” ทำหน้าที่เป็นทั้ง “พี่เลี้ยง” และ “ผู้วางแผน” ให้ โดยไม่เพียงสามารถก้าวขึ้นไปสู่เวที “สหภาพยุโรป (EU)” ได้เท่านั้น แต่ยังไปมีที่หยัดยืนอยู่บนเวที “สหประชาชาติ (UN)” แล้วด้วย ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่าเวลานี้มีหน่วยงานอย่าง “คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ไอซีอาร์ซี)” ให้การดูแลใกล้ชิดผ่าน “ด็อกเตอร์” คนหนึ่ง
 
ประเด็นนี้ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการตั้งเวที “เจรจาสันติภาพ” อันเป็นการเรียกขานของคณะผู้แทนฝ่ายบีอาร์เอ็น หรือเวที “พูดคุยสันติสุข” ที่คณะผู้แทนฝ่ายรัฐไทยต้องการให้ใช้ชื่อนี้ โดยกำลังจะมีการจัดขึ้นอีกหนช่วงเดือนมีนาคม 2563 นี้ อันถือเป็นการเปิดเวทีครั้งที่ 2 ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภาค 2 ภายใต้เสื้อคลุมเลือกตั้ง
 
ความจริงแล้วการเจรจาสันติภาพหรือการพูดคุยสันติสุขที่กำหนดครั้งต่อไปช่วงเดือนมีนาคมนี้ เป็นผลจากที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงร่วมกันไว้แล้ว โดยมีฝ่ายที่ 3 คือ ตัวแทนจากรัฐบาลมาเลเซีย ในฐานะผู้ประสานและอำนวยความสะดวกต่างๆ ร่วมรับรู้ด้วย แต่จะเกิดขึ้นได้หรือไม่นั้น ตอนนี้กำลังเป็นที่จับตาจากทั้งโลก เนื่องจากไม่กี่วันมานี้ “สถานการณ์การเมือง” ในประเทศมาเลเซียมีการเปลี่ยนแปลงชนิดฟ้าถล่มดินทลาย
 
กล่าวคือ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ผู้เฒ่าที่ได้หวนกลับมานั่งบัลลังก์นายกรัฐมนตรีมาเลเซียอีกครั้งเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2561 แต่ปรากฏว่าเกือบ 2 ปีมานี้กลับล้มเหลวในการบริหารประเทศ ส่งผลให้ต้องเดินเกมชิงลาออกเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ต่อมา วันที่ 29 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สมเด็จพระราชาธิบดี สุลต่านอับดุลละห์ รีอายาตุดดิน อัล-มุสตาฟา บิลละห์ ชะห์ ได้แต่งตั้ง นายมูห์ยิดดิน ยัสซิน ผู้เป็นอดีตรองนายกฯ ในรัฐบาลนายนาจิบ ราซัค และเป็นอดีตรองหัวพรรคอัมโน ก่อนที่จะมาร่วมก่อตั้งพรรคเบอร์ซาตูกับ ดร.มหาเธร์ ให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่
 
ภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาลผู้เฒ่าวัย 94 ปีช่วงเกือบ 2 ปีมานี้ การเมืองในมาเลเซียเกิดการแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายจนไร้เสถียรภาพ ส่งผลให้พรรคการเมืองฟากฝั่งมลายูรับไม่ได้กับหมากกลที่ ดร.มหาเธร์วางไว้ เพราะเล็งเห็นว่าเป็นการเอนเอียงไปเข้าทางพรรคการเมืองของคนมาเลย์เชื้อสายจีน จึงได้ร่วมมือกันสกัดกั้นไม่ให้ทั้งตัวของ ดร.มหาเธร์เอง และตัวแทนคือ นายอันวาร์ อิบราฮิม ได้มีโอกาสก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 8 ของประเทศ และก็เป็นผลสำเร็จในที่สุดเมื่อกษัตริย์ได้แต่งตั้งนายมูห์ยิดดินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 
เมื่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของเสือเหลืองแม้เวลานี้ก็ยังไม่นิ่ง นั่นจึงต้องมีผลกระทบต่อกระบวนการพูดคุยสันติสุขเพื่อดับไฟใต้ในไทยเราอย่างแน่นอน เพราะมาเลเซียต้องทำหน้าที่ผู้ประสานและอำนวยความสะดวก รัฐบาลนายมูห์ยิดดิน ที่กำลังจะเป็นรูปเป็นร่างคงไม่ยินดีที่จะมอบหมายให้ นายอับดุล ราฮิม นูร์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจมาเลเซียที่ใกล้ชิดกับ ดร.มหาเธร์ทำหน้าที่ผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยเพื่อสันติสุขต่อไปแน่นอน
 
ไม่เพียงเท่านั้นยังเป็นที่โจษขานกันว่า รัฐบาลเสือเหลืองชุดใหม่ภายใต้การนำของนายมูห์ยิดดิน ความที่เกิดขึ้นจากการรวมพลังของพรรคการเมืองฟากฝั่งมลายู ซึ่งมีแกนนำอย่างพรรคอัมโน และพรรคปาส (พรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย) จึงมีแนวโน้มว่าน่าจะส่งผลดีต่อการขับเคลื่อนของฝ่ายขบวนการบีอาร์เอ็นเพื่อแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ของไทย เพราะเป็น “มลายูนิยม” ด้วยกัน ซึ่งฝ่ายไทยจึงต้องจับตากันอย่างใกล้ชิดว่า ผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งให้รับหน้าที่ประสานและอำนวยความสะดวกโต๊ะพูดคุยสันติสุขคนใหม่คือใคร
 
ขณะที่สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเวลานี้บีอาร์เอ็นเน้นงานทางยุทธวิธีอย่างเข้มข้น ถ้าไม่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติการ “เอาคืน” ก็จะแค่ก่อเหตุเพื่อเลี้ยงสถานการณ์ไว้เท่านั้น อย่างถ้าไม่เกิดเหตุวิสามัญ 6 ศพบนเทือกเขาตะเว ก็จะไม่มีการตอบโต้ด้วยระเบิดที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา หรือ จยย.บอมบ์ที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส นั่นจึงส่งผลให้ดูเหมือนช่วงนี้ “การก่อเหตุรุนแรงลดลง” ส่งผลให้หน่วยงานความมั่นคงที่รับผิดชอบประเมินเข้าข้างตนเองได้ว่า นี่คือความสำเร็จ อันจะช่วยให้เกิดการรักษาเก้าอี้ “ผู้นำ” เพื่อรอวันโยกย้ายสู่ตำแหน่งที่ดีกว่า จนละเลยไม่ได้วางยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง
 
จะว่าไปแล้วที่ผ่านๆ มาหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่เองก็แทบไม่เคยคิดเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือยุธศาสตร์อะไรเลย แถมวิสัยทัศน์ของผู้นำหน่วยก็ไม่ได้มุ่งสู่การแก้ที่ต้นเหตุของปัญหา จึงละเลยที่จะใช้ “งานการข่าว” โดยเฉพาะข่าวกรองในเชิงรุกต่อความเคลื่อนไหวของแกนนำบีอาร์เอ็นทั้งในและนอกประเทศ จึงถือเป็น “ความล้มเหลว” ที่ไม่สามารถทำลายแม้เครือข่ายเยาวชนและกลุ่มสตรีที่ถือเป็นกำลังหลักด้านงานมวลชน มิพักต้องพูดถึงการทำลายกลุ่มติดอาวุธในพื้นที่ของบีอาร์เอ็น
 
เหล่านี้เป็นปัญหาเพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่หยิบมาเล่าสู่กันฟังเท่านั้น แต่โดยข้อเท็จจริงยังมีอีกหลายเงื่อนปม หลากประเด็นสำคัญๆ ที่ยังต้องเขียนถึงต่อไป เพื่อชี้ให้เห็นถึงปัญหาในการดับไฟใต้ที่ควรจะเป็น ไม่ใช่คิดเพียงการใช้ยุทธวิธีในการยับยั้งเพื่อให้แนวร่วมก่อเหตุไม่ได้ แล้วถือเอาเองว่านั่นคือความสำเร็จของการดับไฟใต้
 
ความจริงแล้วสภาพของหน่วยงานความมั่นคงบนแผ่นดินปลายด้ามขวานก็ไม่ต่างจากรัฐบาลที่เหมือนอย่างการแก้ปัญหา “โควิด-19” ที่กระทรวงหนึ่งออกกฎหมายป้องกันการเดินทางของผู้คน แต่อีกกระทรวงหนึ่งเดินหน้าส่งเสริมให้มีการท่องเที่ยวเพื่อต้อนรับสงกรานต์
 
นี่คือสภาพการณ์ที่ “นอนเตียงเดียวกัน ฝันคนละเรื่อง” นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า ทำไมการดับไฟใต้จึงล้มเหลว ทำไมรัฐบาลจึงล้มเหลวในการบริหารประเทศ ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างมีคำตอบที่ชัดเจนอยู่ในตัวเองแล้ว
  


กำลังโหลดความคิดเห็น