โดย... ศูนย์ข่าวหาดใหญ่
นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับ “ชาวไทยพุทธ” ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะพี่น้องไทยพุทธใน ต.บาโร๊ะ อ.ยะหา จ.ยะลา ซึ่งเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา ตรงกับวันสำคัญทางศาสนา นั่นคือ “มาฆบูชา” เป็นวันที่พระสงฆ์ได้มาชุมนุมกันโดยมิได้นัดหมาย ซึ่งถือเป็นวันสำคัญทางศาสนาของชาวไทยพุทธทุกคน
ที่กล่าวว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี เนื่องจากหลายภาคส่วนทางราชการ และเอกชนใน จ.ยะลา รวมทั้งใน อ.ยะหา ได้ร่วมกันจัดงานเพื่อ “ฟื้นฟูวัดร้าง” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเกิดจากการที่ “พระสงฆ์” ต้อง “หนีภัย” ที่เกิดขึ้นจาก “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ทำลายวัด และทำร้ายพระ จนทำให้พระสงฆ์จำนวนไม่น้อยต้องมรณภาพ และได้รับบาดเจ็บจนต้อง “ทิ้งวัด” และ “สำนักสงฆ์” จนทำให้มี “วัดร้าง” เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนหนึ่ง
“วัดปูแหล” หรือ “วัดสวนแก้ว” ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านปูแหล ต.บาโร๊ะ อ.ยะหา จ.ยะลา เป็นวัดหนึ่งที่พระสงฆ์ในวัดถูกแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือ “บีอาร์เอ็น” ก่อเหตุด้วยการวางระเบิดแสวงเครื่อง ในขณะที่พระสงฆ์ออกบิณฑบาตเพื่อโปรดสัตว์ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2554 หรือเมื่อ 8 ปีที่ผ่านมา
เหตุการณ์อันโหดร้ายในครั้งนั้น เป็นเหตุให้พระสงฆ์มรณภาพ จำนวน 2 รูป และเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งทำหน้าที่ในการคุ้มครองพระขณะบิณฑบาต ต้อง “พลีชีพ” อีกจำนวน 2 นาย หลังเหตุการณ์ดังกล่าว วัดปูแหล หรือวัดสวนแก้ว ก็ปราศจากพระสงฆ์อยู่เพื่อจำวัด จนทำให้กลายเป็นวัดร้างมาเป็นระยะเวลาถึง 8 ปีเต็มนับแต่นั้น
จนกระทั่ง พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ “ศอ.บต.” เห็นว่า ความมั่นคงของแผ่นดินใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ความมั่นคงของพุทธศาสนา จึงได้ทำโครงการฟื้นฟูวัดร้างในพื้นที่ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของ จ.สงขลาขึ้น ด้วยการร่วมมือจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ พล.อ.มณี จันทร์ทิพย์ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล หรือ ครม.ส่วนหน้า ในการฟื้นฟูวัดร้าง และหนึ่งในจำนวนวัดร้างทั้งหมดที่จำเป็นต้องฟื้นฟู เพื่อบำรุงบวรพุทธศาสนา และเพื่อขวัญกำลังใจของคนไทยพุทธในพื้นที่ คือ วัดปูแหล หรือวัดสวนแก้วแห่งนี้
ซึ่งในวัน “มาฆบูชา” ที่ผ่านมา จึงเป็นวัดแห่งความยินดีของชาวพุทธใน อ.ยะหา จ.ยะลา โดยเฉพาะคนไทยพุทธจำนวนน้อยนิดเพียงไม่กี่ครัวเรือนในพื้นที่ ซึ่งมีอยู่เพียง 27 คน เพราะวัดแห่งนี้ถูกทิ้งร้างไปแล้วถึง 8 ปี และคิดว่าวัดแห่งนี้คงจะไม่ได้รับการฟื้นฟูอีก เพราะเชื่อว่าไม่มีพระสงฆ์รูปใดกล้าที่จะมาจำวัดแห่งนี้อีกต่อไป
วัดปูแหล หรือวัดสวนแก้ว มีพระสงฆ์ผู้ที่อาสาเข้ามาเพื่อสืบสานความมั่นคงของพระพุทธศาสนา ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังมีความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา นั่นคือ “พระชำนาญ อภิชาโน” เพื่อให้เป็นประทีปของชาวไทยพุทธในพื้นที่ และเชื่อว่าอีกไม่นานจะมีพระสงฆ์ที่มีความพร้อม และเสียสละเข้ามาเพื่อจำวัดเพิ่มขึ้น
สำหรับวัดปูแหล หรือวัดสวนแก้ว หลังจากถูกทิ้งร้างเพราะมีการทำร้ายพระสงฆ์มรณภาพไป 2 รูป และเจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 2 นาย หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 47 (4704-4705) ได้เข้าไปรับผิดชอบเรื่องการรักษาความปลอดภัย และดูแลเสนาสนะ เพื่อมิให้ถูกบุกรุก และชำรุดทรุดโทรด เหมือนกับวัดร้างหลายๆ แห่งที่ถูกทิ้งร้างจากภัยของสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น จึงทำให้สภาพของวัดแห่งนี้ยังมีความสมบูรณ์พร้อม และนับแต่นี้ หน่วยทหารทั้ง 2 หน่วยจะทำหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยให้พระสงฆ์ และชาวไทยพุทธที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ซึ่งยังมั่นคง แน่วแน่ในการอยู่เพื่อรักษาแผ่นดินเกิด และแผ่นดินไทย
จากข้อมูลล่าสุดของทางราชการ ทราบว่า ในพื้นที่ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีประชากร 2,253,366 คน แยกเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 82 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 16 และนับถือศาสนาอื่นๆ อีกร้อยละ 2 ชุมชนชาวไทยพุทธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีจำนวน 231 ชุมชน จากจำนวนชุมชนทั้งหมด 1,988 ชุมชน ชุมชนชาวมุสลิม 1,237 ชุมชน และเป็นชุมชนพหุวัฒนธรรม จำนวน 16 ชุมชน และมีวัด สำนักสงฆ์ ที่พักสงฆ์ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งหมด 386 แห่ง เป็นสำนักสงฆ์ 22 แห่ง ที่พักสงฆ์ 63 แห่ง และวัดอีก 301 แห่ง โดยมีวัดร้างที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ จำนวน 16 แห่ง
ที่ผ่านมา ศูนย์อำนวยการบริหารหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ได้จัดงบเพื่อทำนุบำรุงศาสนา และส่งเสริมการอยู่ร่วมกันในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้รวม 7 ด้าน งบประมาณทั้งสิ้น 26,937,399 บาท และในจำนวนนี้ได้มีการฟื้นฟูวัดร้าง เช่น วัดจินดาพลาราม ซึ่งเป็นวัดร้างที่ตั้งอยู่ในหมู่ 3 ต.เขื่อนบางลาง อ.บันนังสตา จ.ยะลา จนทำให้ชาวไทยพุทธในพื้นที่ได้มีโอกาสในการปฏิบัติภารกิจทางศาสนาอีกครั้ง
นอกจากปัญหาวัดร้างจากสถานการณ์ความไม่สงบในที่พื้นที่ ซึ่งกินเวลายาวนานถึง 16 ปีแล้ว ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังมีประเด็นเรื่องของไทยพุทธถดถอย ซึ่งที่ผ่านมา ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ได้ดำเนินการแก้ปัญหาร่วมกับ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ด้วยการสนับสนุนงบประมาณในการจัดสร้างบ้าน ตามกิจกรรมไทยพุทธคืนถิ่น ซึ่งเป็นโครงการสำคัญในการที่จะรักษาคนไทยพุทธ เพื่อการรักษาแผ่นดินปลายด้ามขวานไว้ให้ได้
ซึ่งการรักษาแผ่นดินปลายด้ามขวานให้มีความมั่นคง คือ การทะนุบำรุงศาสนา และการเติมคนไทยพุทธ ตามโครงการไทยพุทธคืนถิ่น ซึ่งแม้จะเป็นงานหนัก และงานยาก แต่ก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะวัดร้างที่ยังเหลืออีก 16 วัด หลังการฟื้นฟูวัดปูแหล หรือวัดสวนแก้ว ยังมีวัดที่ต้องดำเนินการอีก 15 วัด เพราะการฟื้นฟูวัดร้างให้กลับมาเป็นวัดที่สมบูรณ์ มีพระสงฆ์อยู่จำวัด คือการแสดงให้เห็นถึงความมั่นคง ความงอกงามทางศาสนา และเป็นการเติมเต็มให้แก่ชาวไทยพุทธในพื้นที่ให้อยู่ได้อย่างมั่นคง โดยเฉพาะความเชื่อมั่นในการอยู่ในพื้นที่ เพื่อรักษาแผ่นดินปลายด้ามขวาน ท่ามกลางการรุกรานของขบวนการแบ่งแยกดินแดน
ชาวไทยพุทธใน ต.บาโร๊ะ อ.ยะหา จ.ยะลา ต่างขอบคุณ พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขอบคุณ พล.อ.มณี จันทร์ทิพย์ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ขอบคุณ พล.ต.อาคม พงศ์พรหม รองแม่ทัพน้อยที่ 4 และ ผบ.ฉก.ยะลา ขอบคุณหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 47 และขอบคุณ พล.ต.ต.ปราบพาล มีมงคล ผบก.ภ.จว.ยะลา และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.ยะหา จ.ยะลา ที่ร่วมกันฟื้นฟูวัดปูแหล หรือวัดสวนแก้ว ซึ่งถูกทิ้งร้างไปนานถึง 8 ปี ให้กลับมามีความสว่างไสวของพระรัตนตรัยอีกครั้งในวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญทางศาสนาในครั้งนี้
ภารกิจในการฟื้นฟูวัดร้าง และภารกิจในการเติมเต็มคนไทยพุทธ ซึ่งถดถอยลงไปมากจากสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น วันนี้คือ “ภารกิจสำคัญ” ที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ “ศอ.บต.” จะต้องสานต่อ และต้องทำให้สำเร็จ เพราะนี่คือความหวัง ความต้องการของคนไทยพุทธ ตามคำกล่าวที่ว่า “แผ่นดินปลายด้ามขวานจะมั่นคงได้ พุทธศาสนาจะต้องมั่นคง และอยู่คู่กับแผ่นดินแห่งนี้ตราบนานเท่านาน”