xs
xsm
sm
md
lg

ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ 2562 กับการขอคืนพื้นที่ “ประวัติวรรณกรรมไทย”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
โดย... พิเชฐ แสงทอง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
 

เศก ดุสิต (ซ้าย) ตรี อภิรุม (ขวา
 .
 .
ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ปี 2562 นี้น่าสนใจมากๆ 
 .
ดูจากชื่อนักเลง “วรรณกรรมสร้างสรรค์” อาจจะงงๆ เพราะนักเขียนทั้ง 2 ท่านไม่ค่อยเป็นที่คุ้นเคยนัก
 .
คนหนึ่งคือ เศก ดุสิต หรือ เริงชัย ประภาษานนท์ ผู้เขียนนวนิยายดังๆ อย่าง อินทรีทอง, อินทรีแดง และ ครุฑดำ เป็นต้น
 .
อีกคนคือ ตรี อภิรุม หรือ เทพ ชุมสาย ณ อยุธยา เจ้าของผลงานสยองขวัญอมตะ เช่น แก้วขนเหล็ก, จอมเมฆินทร์, ทายาทอสูร, กายทิพย์ และ ตุ๊กตาโรงงาน
 .
ท่านแรกเก่งกาจ “วรรณกรรมแนวบู๊” ท่านหลังเป็นเลิศด้าน “วรรณกรรมสยองขวัญ”
 .
ทำไมผมจึงเห็นว่าน่าสนใจมาก?!
 .
ไม่ใช่เพราะทั้ง 2 ท่านเป็นนักเขียนรุ่นอาวุโสอายุเกือบ 100 ปีที่ยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งไม่เพราะทั้ง 2 ท่านมีผลงานที่ได้รับความนิยมมากมาย ทั้งในรูปหนังสือเล่ม และที่ถูกแปลงเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์มากมาย
 .
เเต่น่าสนใจเพราะท่านทั้ง 2 คือ สัญญาณของการ “เปิดใจกว้าง” ของการพิจารณารางวัลยกย่องนักวรรณกรรมรางวัลนี้ ซึ่งผมเชื่อว่า มันสะท้อนการยอมรับคุณค่าของวรรณกรรม “แนวอื่น” ที่ไม่ค่อยได้เห็นมาก่อน
 .
หากย้อนกลับไปดูกวีนักเขียนที่ได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติมาตั้งแต่ปี 2528-2561 รวม 54 คน อาจจะแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มคือ
 .
กลุ่มแรก กลุ่มนักเขียนคลาสสิก ซึ่งเขียนงานหลากหลายแนว มีผลงานขึ้นหิ้งชนิดที่ปฏิเสธไม่ได้ เช่น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช, ม.ล.ปิ่น มาลากุล, อบ ไชยวสุ, รวี ภาวิไล, กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย, ส.พลายน้อย และ พนมเทียน เป็นต้น
 .
กลุ่มต่อมาคือ กลุ่มนักเขียนแนวครอบครัว ที่ผลงานและชื่อชั้นค้างฟ้า เช่น ทมยันตี, โสภาค สุวรรณ, กฤษณา อโศกสิน, ว.วินิจฉัยกุล, นราวดี, กาญจนา นาคนันท์ และชูวงศ์ ฉายะจินดา
 .
สุดท้ายเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดคือ กลุ่มกวีนักเขียนแนว “วรรณกรรมสร้างสรรค์” แนววรรณกรรมที่ปรับตัวตัดต่อพันธุกรรมมาจากสาย “เพื่อชีวิต” ซึ่งนับๆ ดูแล้วมีจำนวนมากถึง 31 คน เมื่อสำรวจรายชื่อจะพบว่า การให้รางวัลนักเขียนกลุ่มนี้เหมือนกับ “ขอดน้ำในโอ่ง” คือบางปีก็มีคำถามถึงความเหมาะสมในแง่ปริมาณและคุณภาพของผลงาน
 .
3 กลุ่มที่มีปริมาณแตกต่างกันนี้ สัมพันธ์กับความรู้เรื่อง “ประวัติวรรณกรรม” ที่เราสอนๆ กันในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย และเกี่ยวโยงกับความคิดหรือมโนทัศน์ว่าด้วย “คุณค่าของวรรณกรรม” อย่างแยกไม่ออก
 .
ผมเคยเสนอไว้ทั้งในบทความ หนังสือ และงานเสวนาหลายๆ ที่ว่า ความคิดเกี่ยวกับคุณค่าของวรรณกรรมไทยนั้น “ติดหล่ม” อยู่กับมโนทัศน์ “เพื่อชีวิตแบบไทยๆ” มาหลายทศวรรษ จนปัจจุบันก็ยังสลัดไม่หลุดโดยสิ้นเชิง
 .
นั่นคือ วรรณกรรมเพื่อชีวิตที่เคยเฟื่องฟูสูงยิ่งในช่วงทศวรรษ 2510-2520 ได้สร้าง “แบบ” ของวรรณกรรมขึ้นมาแบบหนึ่ง พร้อมกับสถาปนา “คุณค่า” และ “เกณฑ์การประเมินคุณค่า” ขึ้นมาตามแบบนั้นด้วย เช่น แบบของความเป็นงานเขียนที่ตีแผ่ปัญหาสังคม ซึ่งโดยมากก็ต้องเป็นสัจนิยม มีความแจ่มแจ้ง ชัดเจน งานเขียนต้องชี้ทางแก้ปัญหาสังคม นักเขียนที่ดีก็ต้องมีสำนึกทางสังคมสูงส่งเกินคนปกติ
 .
จนกระทั่งแม้เมื่อ “วรรณกรรมเพื่อชีวิต” ได้แปลงกายเป็น “วรรณกรรมสร้างสรรค์” ในฐานะ “ประเภท” หรือ genre หนึ่งแล้วในช่วงปลายทศวรรษ 2520 ถึง 2530 ความคาดหวังที่เราเคยคาดหวังจากวรรณกรรมเพื่อชีวิตก็ยังคงถูกนำมาคาดหวังจากวรรณกรรมสร้างสรรค์ด้วย
 .
พูดง่ายๆ ก็คือ เกณฑ์การประเมินค่าวรรณกรรมเพื่อชีวิตในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาระหน้าที่ตีแผ่ปัญหาสังคม ชี้ทางสังคม ยังถูกคาดหวังว่าวรรณกรรมที่เรียกว่าดีและมีคุณค่าจะต้องมี วรรณกรรมสร้างสรรค์ เพียงแต่ตัดส่วนศิลปะการนำเสนอที่เคยแข็งกระด้างออกไป แล้วให้แทนที่ด้วยวรรณศิลป์ของการสื่อสาร เปิดอิสระให้แก่คนอ่านได้ใช้ความคิดตนมากขึ้น
 .
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ วรรณกรรมสร้างสรรค์ อาจรู้สึกว่า หากสร้างสรรค์หรือครีเอตกันจนเพลิน อาจดูไร้ค่าได้ ก็เลยต้องเอา “สำนึกเรื่องปัญหาสังคม” เข้ามาสอดใส่ให้กลายเป็นกระดูกสันหลังของวรรณกรรมที่จะได้ชื่อว่าดี
 .
คติแบบนี้เฟื่องฟูสุดขีดหลัง 3-4 ปีของการเริ่มต้นรางวัลซีไรต์เมื่อปี 2522 และมันก็ลงตัวกันเป็นอย่างดีกับจริตของชนชั้นกลางที่เติบโตมากับแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 4-5 ที่ทำให้ชนบทกับเมืองมีเส้นแบ่งเบาบางลงมากขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 2520 นั้น
 .
จากการเสพวรรณกรรมเพื่อความบันเทิงสนุกสนานสำราญอารมณ์ในช่วงหลายทศวรรษก่อนหน้านั้น เราจึงถูกกล่อมเกลาให้ต้องมาเสพวรรณกรรมเพื่อสาระทางจิตสำนึกและสังคม
 .
เราอ่านนิยายกันหน้านิ่วคิ้วขมวด เราอ่านบันเทิงคดีกันอย่างไม่บันเทิงอีกต่อไปนับแต่นั้นเป็นต้นมา!!
 .
มโนทัศน์แบบนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องของใครของมัน แต่กลายเป็นมโนทัศน์หลักด้วย เมื่อมันถูกแพร่กระจายโดยนักเขียนและนักวิชาการผู้ชนะ “สงคราม” ในช่วงทศวรรษ 2510 แม้พรรคคอมมิวนิสต์จะแตกหลังจากนั้นไม่นาน แต่จิตวิญญาณนี้ก็แผ่ซ่าซ่านไปทั่วสรรพางค์กายวรรณกรรม กระทั่งกลายเป็นมโนทัศน์หลัก
 .
ถ้าลองย้อนกลับไปพิจารณาตำราประวัติวรรณกรรมในมหาวิทยาลัยต่างๆ เราจะพบว่ามโนทัศน์นี้ก็ครอบงำการเขียนประวัติวรรณกรรมอยู่ด้วยอย่างลึกซึ้ง!! 
 .
นั่นก็คือ ตำราจะเดินเรื่องไปบนการมีกระดูกสันหลังวรรณกรรมเพื่อชีวิต (หรือวรรณกรรมก้าวหน้าในช่วงทศวรรษ 2480 ก่อนเกิดคำว่า “เพื่อชีวิต”) ก่อนจะไล่เรียงต่อมาเป็นสายวรรณกรรมสร้างสรรค์
 .
เราจะคุ้นเคยกันดีกับวลีที่นักวิจารณ์ฝ่ายเพื่อชีวิตวิจารณ์วรรณกรรมเพื่อความบันเทิงว่า “เต็มไปด้วยเรื่องบู๊และล้างผลาญ...” นัยว่าในยุคหนึ่งเรื่องเเนวนี้เป็นเรื่องที่ไร้สาระ หรือไม่มีคุณค่าในฐานะวรรณกรรมที่ดี
 .
วิธีคิดแบบนี้ และพฤติการณ์เช่นนี้เองที่ทำให้วรรณกรรมแนวบู๊และแนวสยองขวัญต้องกลายเป็นม้านอกสายตา เมื่อลงสนามแข่งขันกันในเรื่อง “คุณค่าวรรณกรรม”?!
 .
เป็นม้านอกสายตา ไม่ใช่ว่ามันไม่มีค่าโดยตัวของมันเอง แต่เป็นเพราะว่า “เกณฑ์ว่าด้วยคุณค่าของวรรณกรรมแบบเพื่อชีวิตที่กลายมาเป็นวรรณกรรมสร้างสรรค์” มันมีบทบาทและอิทธิพลเหนือเกณฑ์การประเมินค่าแบบอื่นๆ
 .
มันสะกดวรรณกรรมเหล่านั้นให้กลายเป็นวรรณกรรมที่ดูอ่อนเชิงอ่อนชั้น และแน่นอนนักเขียนวรรณกรรมกลุ่มนี้ก็ถูกมองผ่านไปด้วย?!
 .
ผมเคยนึกสงสัยว่า นักเขียนเรื่องบู๊และหลากหลายแนวอย่าง เสาว์ บุญเสนอ นั้น หากท่านไม่บริจาคบ้านและที่ดินให้สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ไม่แน่ว่าท่านอาจจะถูกหลงลืมไปนิจนิรันดร์ก็เป็นได้
 .
อันนี้ผมไม่ได้โทษใคร (แต่ก็ต้องขอบคุณ คุณสาโรจน์ มณีรัตน์ ที่ตอนนั้นเกาะติดชีวิตลุงจนฟื้นคืนชีพทางวรรณกรรมขึ้นมาอีกครั้ง) เพราะมันเป็นเรื่องของรสนิยมหรือวาทกรรมของสังคมวรรณกรรม ที่พอวาทกรรมใดกลายมาเป็นวาทกรรมหลัก มันก็ทำให้เราทั้งหลายที่ตกอยู่ใต้อำนาจวาทกรรมนั้น พลอยมองไม่เห็นคุณค่าหรือความงามอื่นๆ ไปเป็นธรรมดา
 .
การได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติของ “เศก ดุสิต” และ “ตรี อภิรุม” ในปีนี้ จึงสำคัญในแง่ที่ว่า ม่านบังตาที่เคยบังไม่ให้เราเห็นคุณค่าของวรรณกรรมและคนวรรณกรรมบู๊และสยองขวัญเริ่มคลี่คลายขยายออก
 .
อันที่จริงม่านนี้ก็เริ่มบางลงมาสักพักแล้ว ซึ่งสังเกตได้จากรางวัลซีไรต์บางปี หรือหนังสือรางวัลเซเว่นบุ๊คส์อวอร์ดบางกลุ่มบางปี 
 .
หรือแม้แต่เวทีเรื่องสั้นในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ที่เปิดกว้างรับเรื่องสั้นทุกแนว
 .
การที่ม่านมาสยายบางเอาในเวทีศิลปินแห่งชาติปี้นี้ ก็ถือเป็นการเปิดฟ้าวรรณกรรมอย่างกว้างให้เห็น!!
 .
ผมก็มีความหวังว่า มันจะเป็นสัญญาณที่ดีที่จะทวงพื้นที่ให้วรรณกรรม “บู๊” และ “สยองขวัญ” ในตำราประวัติวรรณกรรมไทยร่วมสมัยด้วย
 


กำลังโหลดความคิดเห็น