xs
xsm
sm
md
lg

จุกอก! ที่แท้ “ฝรั่งหัวแดง” เสี้ยม “บีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนต” ก่อนนำมาเจรจารัฐไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้   /  โดย… ไชยยงค์ มณีพิลึก
 


 
ก่อนอื่น “จุดคบไฟใต้” ต้องแสดงความเสียใจต่อความสูญเสียของประชาชนผู้บริสุทธิ์และเจ้าหน้าที่รัฐในเหตุการณ์กราดยิงที่ จ.นครราชสีมา อันเป็นเหตุให้มีประชาผู้บริสุทธิ์ต้องสังเวยชีวิตถึง 29 ศพ ตามมาด้วยกระแสวิพากษ์วิจารณ์หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ “กองทัพ” ถึงประเด็นที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ “จ่าคลั่ง” ที่ “นาย” เอาเปรียบและกดดันอย่างหนักจนต้องปฏิบัติการตอบโต้แบบเลยเถิดจนสังคมยากที่จะรับได้
 
หวังว่าการสูญเสียของประชาชนผู้บริสุทธิ์จะเป็นคุณูปการให้มีการ “สะสาง” การทุจริตคอร์รัปชัน และความหย่อนยานใน “กองทัพ” รวมถึงในหน่วยทหารทั้งประเทศ โดยเฉพาะใน “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มี “งบประมาณ” จำนวนมากให้ใช้ในภารกิจ “ดับไฟใต้” โดยตลอดระยะเวลากว่า 16 ปีที่โชนแสงระลอกใหม่ก็มี “ข่าวคาว” ให้ได้ซุบซิบและนินทาได้ตลอด จึงหวังว่าเหตุการณ์กราดยิงที่โคราชจะทำให้เกิดกระบวนการเปิดให้เห็น “กองขยะใต้พรม” เพื่อให้ได้ร่วมกันทำความสะอาดครั้งใหญ่
 
วันนี้กองทัพมีการบัญญัติศัพท์ใหม่ในการชี้แจงกับประชาชนว่า “ไม่ทุจริต แต่ไม่ได้ทำตามนโยบายของผู้บังคับบัญชา” จนทำให้ผู้คนเป็นงงกันไปทั้งบ้านทั้งเมือง ตกลงว่าการกระทำแบบนี้ “ผิด” หรือ “ไม่ผิด” แต่อย่างไรก็ตาม นับแต่นี้ต่อไปกองทัพและหน่วยงานทหารจะต้องถูกตรวจสอบจากภาคประชาสังคมอย่างหนักหน่วงขึ้นแน่นอน
 
และไม่เพียงเท่านั้น การที่มี “นายทหารบางคน” มักถามผู้ที่เห็นแย้งว่า “รับไหวหรือไม่” เวลานี้สังคมอยากถามกลับไปว่า สุดท้ายเมื่อมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นเกิดขึ้น “กองทัพและหน่วยงานทหารจะรับไหวหรือไม่” ต่างหาก
 
กลับเข้ามาสู่เรื่องของ “กระบวนการพูดคุยสันติสุข” เพื่อดับไฟใต้อีกครั้ง หลังจากที่ได้ให้ข้อมูลไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อนก็มีคำถามจากผู้อ่านตามมามากมาย โดยถามไถ่กันมามากสุดว่า จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร โดยเฉพาะภายหลังจาก “แกนนำ” ราว 7 คนของ “ขบวนการบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนต” ที่ได้ร่วมเจรจาระลอกใหม่กับคณะผู้แทนรัฐไทยคณะใหม่ภายใต้การนำของ พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2563 เวลานี้ทั้ง 7 คนต่าง “ถูกปลด” จากตำแหน่งสำคัญจนไม่มีอำนาจสั่งการในขบวนการไปแล้ว แล้วอย่างนี้โต๊ะพูดคุยสันติสุขที่กำลังจะมีขึ้นอีกครั้งในเดือนมีนาคม 2563 นี้จะนำไปสู่การสร้างสันติภาพได้จริงหรือ
 
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า การเปิดโต๊ะพูดคุยสันติสุขระลอกใหม่กับ “แกนนำบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนต” ชนิดที่ยืนยันแล้วว่าเป็น “ตัวจริงเสียงจริง” ต่างกับระลอกเก่าที่ฝ่ายขบวนการแบ่งแยกดินแดนใช้ชื่อ “กลุ่มมาราปาตานี” และมี มะสุกรี ฮารี เป็นหัวหน้าคณะ ขณะที่ฝ่ายรัฐไทยมี พล.อ.อักษรา เกิดผล ทำหน้าที่หัวหน้าคณะ เพราะเป็นที่รับรู้กันว่าฝ่ายมาราปาตานีเป็นได้แค่เพียง “หุ่นเชิด” เป็นการดำเนินการโดยรัฐบาลมาเลเซียในฐานะผู้ทำหน้าที่อำนวยความสะดวก ซึ่งตอนนั้นฝ่ายรัฐไทยก็เห็นชอบเพราะต้องการแค่ “สานต่อ” กระบวนการพูดคุยที่ริเริ่มขึ้นจาก รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยมี นายทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้วางแผนอยู่เบื้องหลัง
 
ทว่า โต๊ะพูดคุยสันติสุขระลอกใหม่ปรากฏว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการถ่ายทำที่แท้จริงกลับไม่ใช่ฝ่ายมาเลเซีย แต่เป็น “องค์กรระหว่างประเทศ” ที่ประสานงานให้คณะผู้แทนรัฐไทยกับบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนตได้พบปะเจรจากันอย่างไม่เป็นทางการก่อนที่ “ประเทศเยอรมนี” ซึ่งหลายคนเรียกการพูดคุยนอกรอบครั้งนั้นว่าเป็น “Berlin Initiative” เพราะใช้กรุงเบอร์ลินเป็นสถานที่พบปะเจรจา
 
ดังนั้น แม้ว่าทางการไทยจะยังพยายามบอกว่า การขับเคลื่อนกระบวนการเจรจาระลอกใหม่ยังคงเป็น “โต๊ะพูดคุยสันติสุข” เหมือนเดิม แต่โดยเนื้อแท้แล้วหากจะบอกว่าเป็นการ “เจรจาสันติภาพ” ในความหมายแบบที่นานาชาติเข้าใจก็ไม่น่าจะผิดแผกอะไร และที่สำคัญก็เป็นไปตามความต้องการของฝ่ายบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนตเสียด้วย เพราะขบวนการแบ่งแยกดินแดนนี้เคยแถลงจุดยืนมาตลอดว่า ต้องการให้เรียกเป็น “การเจรจา” ไม่ใช่แค่ “การพูดคุย” อย่างที่รัฐไทยต้องการ
 
วันนี้บีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนตก้าวไปสู่ “บันไดขั้นที่ 1” ที่ต้องการแล้ว นั่นคือ สามารถให้ “ฝรั่ง” จากองค์กรต่างชาติทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานและร่วมเป็นสักขีพยานในการพบปะเจรจา นับจากนี้ บีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนตต้องการเดินหน้าไปสู่ “บันไดขั้นที่ 2” นั่นคือ การยกระดับจาก “พูดคุย” ไปสู่ “เจรจา” อย่างเป็นผลสำเร็จให้จงได้
 
ที่ผ่านมา รัฐไทยต้องการที่จะได้พูดคุยสันติสุขกับแกนนำบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนตของแท้หรือตัวจริง ซึ่ง “องค์กรฝรั่งตาน้ำข้าว” ก็สามารถประสานให้ได้ ขณะที่บีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนตเองก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร จึงอย่าได้แปลกใจที่จะมีภาพจับมือหรือถ่ายรูปร่วมกันระหว่าง พล.อ.วัลลภ รักเสนะ หัวหน้าคณะฝ่ายไทยกับ นายหิพนี มะเระ หรือ นายอานัส อับดุลเราะห์มาน หัวหน้าคณะฝ่ายบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนต รวมถึง นายวาเหะ หะยีอาแซ เลขาธิการขบวนการบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนต นายมูหมัดคานาฟี ดอเลาะ หรืออิหม่ามบันนังสตา นายอำหมัดมูริส สาเต๊ะ หรืออุสตาซมูระ สาวอ นายดอรอแม อูมา หรืออุสตาซอับดุลเราะห์มาน ปาลาวี  นายมะ ตูมอ หรือมะสถานทูต และที่ไม่ใช่ตัวแทนของบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนตอีกคน แต่อยู่ในขบวนการเจรจาครั้งนี้คือ นายเจ๊ะมูดอ ตะมะยูง ซึ่งไปจาก ขบวนการบีอาร์เอ็นคองเกรส
 .
นี่คือสิ่งที่ผู้คนในสังคมไทยยังแทบไม่ได้รับรู้กัน!!
 .
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการแถลงข่าวร่วมกันเพียง 1 วัน ปรากฏว่า ขบวนการบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนตได้ถอดถอนแกนนำทั้ง 7 คนออกจากตำแหน่งสำคัญ แต่ยังคงเป็นสมาชิกขบวนการอยู่ เนื่องจากเป็นที่ตกลงกันว่าเมื่อเป็น “องค์กรลับ” การที่ระดับแกนนำขบวนการถูกเผยโฉมต่อสาธารณะย่อมต้องถูกลดบทบาทการสั่งการ และนี่คือสิ่งที่ “จุกอก” ตัวแทนฝ่ายรัฐไทยเอาอย่างมาก เพราะการพูดคุยสันติสุขในโอกาสต่อไป ฝ่ายบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนตที่นั่งอยู่บนโต๊ะเจรจาทั้งหมดจะเป็นได้ก็แค่ “นายไปรษณีย์” ที่ทำหน้าที่เพียง “ส่งสาร” ไปยังผู้มีอำนาจตัดสินใจตัวจริง เพราะเวลานี้พวกเขาไม่มีอำนาจที่ตอบ “เยส” หรือ “โน” อะไรได้อีกแล้ว
 .
นี่สะท้อนภาพ “เขี้ยวลากดิน” ของฝ่ายบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนตได้ดี!!
 .
อีกทั้งมีเรื่องที่ทำให้ฝ่ายรัฐไทย “จุกอกยิ่งขึ้นไปอีก” ก็คือ ก่อนจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้ทั้ง 2 ฝ่ายได้ไปพบปะเจรจานอกรอบที่กรุงเบอร์ลิน ปรากฏว่า องค์กรฝรั่งหัวแดงที่เชี่ยวชาญงานด้านสันติภาพ ได้นำ “7 แกนนำ” ที่ถูกวางตัวให้เป็นคณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนตไปให้ความรู้ด้าน “การเจรจาสันติภาพ” มาก่อนแล้ว
 .
นั่นแสดงให้เห็นว่าเป็นการ “สร้างความได้เปรียบ” เหนือฝ่ายรัฐไทยไว้ก่อนแล้ว!!
 .
ต้องเข้าใจไว้ตรงนี้ด้วยว่า ฝ่ายรัฐไทยไม่มีสิทธิว่าจะเลือกคนในฝ่ายบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนตให้มานั่งเจรจาด้วย แต่ทั้ง 7 แกนนำถูกเลือกมาโดยฝรั่งตาน้ำข้าว ซึ่งย่อมต้องสอดรับต่อความต้องการของขบวนการเองด้วย เพราะถ้าให้ฝ่ายความมั่นคงไทยกำหนดได้คงจะต้องชี้ไปที่คนอย่าง นายดูลเลาะ แวมะนอ หรือ “เปาะซูเลาะ” และ นายเด็ง แวกะจิ หรือไม่ก็ นายอดุลย์ มุณี เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าทั้ง 3 คนนี้คือ “แกนนำคนสำคัญ” หรือเป็นตัวจริงเสียงจริงของขบวนการบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนต
 
อีกทั้งต้องถือเป็นความช่ำชองของฝ่ายขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งอาจจะมีฝรั่งตาน้ำข้าวช่วยวางแผนให้ด้วย จึงมีการ “ล้างไพ่” ปรากฏให้ตามมานั่นคือให้ นายดูลเลาะ แวมะนอ ผู้ที่เคยทำหน้าที่ประธานบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนต ได้สลับสับเปลี่ยนตำแหน่งไปนั่งเป็นประธานที่ปรึกษาสภาซูรอ แล้วให้ นายเด็ง แวกะจิ ผู้นำฝ่ายทหาร ไปนั่งเป็นที่ปรึกษาฝ่ายทหาร กับ นายอดุลย์ มุณี ผู้นำฝ่ายการเมือง ไปนั่งเป็นที่ปรึกษาฝ่ายการเมือง เพื่อลดแรงกดดันและให้เห็นว่าไม่มีอำนาจในการตำสินใจในขบวนการ
 
ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยเคยขอร้องให้รัฐบาลมาเลเซียไปนำ 3 แกนนำคือ นายดูลเลาะ แวมะนอ นายเด็ง แวกะจิ และ นายอดุลย์ มุณี ให้เข้ามาสู่กระบวนการพูดคุยสันติสุขแล้วหลายครั้ง จนสร้างความอึดอัดใจให้แก่ฝ่ายเสือเหลืองมาโดยตลอด แต่เมื่อขบวนการบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนตมีการสับเปลี่ยนตำแหน่งบุคคลทั้ง 3 ย่อมทำให้รัฐบาลมาเลเซียคลายความอึดอัดลงไปได้ ดังนั้น ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในขบวนการจึงทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ยกเว้นก็แต่ประเทศไทยเท่านั้น
 
อย่างไรก็ดี ณ วันนี้ฝ่ายความมั่นคงไทยยังคง “มะงุมมะงาหรา” อยู่กับการค้นหารายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการล้างไพ่ภายในขบวนการบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนตว่า อะไรเป็นความจริงแค่ไหน กระทั่งผู้ที่ได้เข้าไปนั่งตำแหน่งประธาน เลขาธิการ ผู้นำฝ่ายทหารและผู้นำฝ่ายการเมืองคนใหม่คือใคร ซึ่งว่ากันว่ากว่าที่จะทำได้สำเร็จ ขบวนการก็สยายปีกไปได้ไกลถึงไหนต่อไหนไปแล้ว
 
ไม่เพียงเท่านั้น ณ วันนี้ฝ่ายความมั่นคงไทยก็ยังไม่เลิกเถียงกันว่า เรื่องราวที่บอกเล่าผ่านคอลัมน์นี้จริงหรือเท็จ อีกทั้งก็ยังไม่เลิกขัดแข้งขัดขากันเอง รวมทั้งไม่มีมืออาชีพในการเข้าถึง “ข่าวกรอง” ในประเทศมาเลเซียด้วย จึงมิพักต้องพูดถึงความสามารถในการ “รู้เขา” ในขณะที่กลับเปิดช่องว่างให้ฝ่ายเขาง่ายมากที่จะ “รู้เรา” ได้แบบปอกเปลือก ยิ่งเวลานี้ฝ่ายเขามี “พี่เลี้ยง” ที่เป็น “ฝรั่งหัวแดง” แนบข้างด้วยแล้ว ผู้คนในสังคมไทยยิ่งควรต้องจับตากันแบบใกล้ชิดทีเดียว
 
อย่างไรก็ตาม วันนี้เรารู้แต่เพียงว่า ประธานขบวนการบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนตคนใหม่คือ นายสะแม แวเลาะ และ นายบือราเฮง ประจูศาลา หรือ บาบอเฮง ได้ขึ้นเป็นผู้นำจิตวิญญาณ ส่วนแกนนำอีก 6 คนที่เข้ามาเป็นตัวแทนฝ่ายขบวนการนั่งโต๊ะพูดคุยกับฝ่ายรัฐไทยกลับยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าเป็นใครบ้าง นี่จึงคือ “ความเสียเปรียบ” ของฝ่ายรัฐไทย ดังนั้น ทั้งรัฐบาล กองทัพ และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จึงต้องเร่งดำเนินการในเรื่องนี้เพื่อที่จะนำไปสู่การสร้าง “ความได้เปรียบ” กับเขาได้บ้าง
 
ถ้าถามว่าหลังจากนี้ไปบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนตจะขับเคลื่อนด้วยยุทธวิธีอย่างไร เพื่อให้การแบ่งแยกดินแดนภาคใต้ของไทยบรรลุผล คำตอบที่น่าจะมีให้ได้ในเวลานี้ก็คือ ให้จับตามองการขับเคลื่อนภายใต้ “ยุทธศาสตร์สามขา” นั่นเอง
 
ขาแรกคือ “กระบวนการเจรจา” ซึ่งจะมีตัวแทนจากบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนต 6 คน และบีอาร์เอ็นคองเกรส 1 คน รวมเป็น 7 คน ส่วนขาที่สองคือ “ขบวนการบีอาร์เอ็น” ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนแกนนำใหม่แบบถอดด้าม และขาที่สามคือ “องค์กรภาคประชาสังคม” ที่จัดตั้งโดยบีอาร์เอ็นที่ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องการกำหนดใจตนเอง เรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ และอื่นๆ ซึ่งล่าสุดได้ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับกระบวนการเจรจา เพราะนั่นเป็นเพียงละครที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้รัฐไทยเข้าใจผิด
 
อีกทั้งให้จับตามองถึง “ยุทธวิธี” ในการ “แยกกันเดิน รวมกันตี” ที่อยู่ภายใต้ในยุทธศาสตร์การเดินสามขาดังกล่าวให้ดี โดยเฉพาะหน่วยงานความมั่นคงต้อง “รู้ลึก รู้จริง” และ “เข้าถึง เข้าใจ” ขบวนการบีอาร์เอ็นให้ถ่องแท้ ซึ่งหากจะลงรายละเอียดต้องใช้พื้นที่อีกมากมาย
 .
ฉะนั้น ผู้อ่านที่สนใจเรื่องราวของ “ไฟใต้” ตอนหน้าผู้เขียนจะลงรายละเอียดยุทธศาสตร์การเดินสามขาของบีอาร์เอ็นให้ได้รับรู้ เพื่อประโยชน์ในการดับไฟใต้ร่วมกัน
 .
เสียดายอย่างเดียวที่ “ไทยพุทธในพื้นที่” ไม่สนใจที่จะรับรู้ภัยใกล้ตัว ไม่ใส่ใจแก่น แต่กลับไปทุ่มเทให้กระพี้ อย่ามัวไปรณรงค์ต่อต้านการสร้างศาสนสถานของพี่น้องมุสลิม ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้
 


กำลังโหลดความคิดเห็น