ศูนย์ข่าวภูเก็ต - พักใช้ใบนายท้ายเรือ 2 กัปตันคนละ 2 ปี อธิบดีกรมเจ้าท่า พร้อมผู้ว่าฯ ลงพื้นที่หาสาเหตุเรือชน จี้ล้อมคอกอบรมคนขับเรือใหม่ สาเหตุในเบื้องต้นเกิดจากขับเร็ว สำรวจคลองเกาะแก้ว ป้องกันเกิดเหตุซ้ำ

จากกรณีเกิดเหตุเรือสปีดโบ๊ตชนกันที่บริเวณร่องน้ำคลองเกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ต เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (10 ก.พ.) จนเป็นเหตุให้ 2 พี่น้องชาวรัสเซียวัย 12 และ 6 ปี ซึ่งเดินทางมาเที่ยวภูเก็ตพร้อมกับปู่และย่าเสียชีวิตเนื่องจากสมองกระทบกระเทือน และมีนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
ล่าสุด เมื่อเวลา 16.30 น. วันเดียวกัน นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พล.ต.ต.กฤษศักดิ์ สงมูลนาค ผบก. บก.ทท.3 ว่าที่ ร.ต.วิกรม จากที่ ปลัดจังหวัดภูเก็ต นายวิวัธน์ ชิดเชิดวงศ์ เจ้าท่าภูมิภาค สาขาภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ท่าเทียบเรือโบ๊ทลากูน ต.เกาะแก้ว อ.เมืองภูเก็ต เพื่อตรวจสอบสภาพเรือ ALP 111 ของบริษัท Andaman Leisure Phuket จำกัด (ALP) หลังจากนั้นได้เดินทางต่อไปยังท่าเทียบเรือรอยัลภูเก็ต มารีน่า เพื่อตรวจสอบเรือปาหยัน 5 ของบริษัท ซีสตาร์อันดามัน จำกัด ซึ่งเรือทั้ง 2 ลำ เป็นเรือที่เกิดอุบัติเหตุจากเหตุชนประสานงา ภายในคลองเกาะแก้ว ต.เกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ต

นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจสภาพเรือทั้ง 2 ลำ ว่า ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้สูญเสีย ทั้งผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุเรือชนประสานงากัน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้นักท่องเที่ยวซึ่งเป็นเด็กชายและเด็กหญิงชาวรัสเซียเสียชีวิต จำนวน 2 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 19 คน ซึ่งขณะนี้แพทย์อนุญาตให้กลับไปพักผ่อนที่โรงแรมได้แล้ว 18 คน ยังคงมีผู้ได้รับบาดเจ็บรักษาตัวที่โรงพยาบาล จำนวน 1 คน เพื่อรอดูอาการ นอกจากนี้ ยังมีคนไทยที่ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 3 ราย โดยเป็นกัปตันเรือ พนักงานประจำเรือ และไกด์
สำหรับในส่วนการช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินั้น มีกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำหรับผู้เสียชีวิตเป็นเงินรายละ 1 ล้านบาท และผู้บาดเจ็บช่วยเหลือในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีเงินเยียวยาอีกส่วนหนึ่งจากบริษัทนำเที่ยวที่ได้ทำไว้กับบริษัทเอเชียอาคเนย์ โดยช่วยเหลือในกรณีเสียชีวิต รายละ 500,000 บาท และผู้บาดเจ็บซึ่งจ่ายตามความเป็นจริงรายละไม่เกิน 500,000 บาท

ขณะที่ นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า กรมเจ้าท่าขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่สูญเสียในเหตุการณ์ครั้งนี้ ที่ผ่านมากรมเจ้าท่าได้เน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ตซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ และมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวจำนวนมาก กรณีเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างเรือ ALP 111 กับเรือปาหยัน 5 นั้น หลังรับรายงานตนได้สั่งการให้เจ้าท่าภูมิภาค สาขาภูเก็ต ตรวจสอบหาข้อเท็จจริงและประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เบื้องต้น ในส่วนของเจ้าท่าฯ ได้สั่งห้ามการใช้เรือทั้ง 2 ลำ พร้อมส่งมอบให้พนักงานสอบสวนเพื่อเป็นของกลาง ส่วนนายท้ายเรือทั้ง 2 ลำได้มีการงดใช้ประกาศนายท้ายเรือเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งเป็นโทษสูงสุด
ส่วนสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ คาดว่าน่าจะเกิดจากการขับขี่เรือที่ค่อนข้างเร็ว ประกอบกับสภาพลำคลองที่มีความโค้ง โดยสั่งการให้เจ้าท่าฯ ภูเก็ตนำพนักงานขับเรือทั้งหมดมาอบรมใหม่เพื่อให้เกิดความชำนาญและมีความรับผิดชอบมากขึ้น เพราะพบมี 2 เรื่อง คือ ความชำนาญเกี่ยวกับร่องน้ำ ซึ่งบริเวณจุดเกิดเหตุเป็นร่องน้ำที่มีความโค้ง ทำให้ค่อนข้างจะขับยากแต่คนขับเรือก็ยังใช้ความเร็วสูง ซึ่งต้องไปหาความชำนาญให้แก่คนขับเรือที่ใช้คลองเกาะแก้วในการสัญจร เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น ความช่วยเหลือจะต้องเป็นไปอย่างทันท่วงที เพื่อลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นให้ได้ และขอให้เชื่อว่า กรมเจ้าท่า ได้เน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือ ตัวเรือ คนขับเรือและผู้เกี่ยวข้องกับเรือทั้งหมด มีมาตรฐานกำหนดไว้แล้ว

และอยากฝากไปยังผู้ประกอบการให้คำนึงถึงความปลอดภัย หากพบเห็นเรือไม่ปลอดภัย คนไม่ปลอดภัยหรือท่าเรือไม่ปลอดภัย ขอให้แจ้งไปยังหมายเลข 199 หรือประสานงานไปยัง จ.ภูเก็ตก็ได้ ซึ่งเจ้าท่าฯ พร้อมเข้าไปดำเนินการให้เกิดความปลอดภัยและมั่นใจกับผู้ใช้บริการ” นายวิทยา กล่าวและว่า
ในส่วนของการอบรมพัฒนาคนขับเรือนั้น ได้สั่งการให้รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ซึ่งดูแลพื้นที่ จ.ภูเก็ต ดำเนินการโดยเร็ว เนื่องจากร่องน้ำแต่ละจุดจะมีความแตกต่างกัน ดังนั้น จะต้องมีความชำนาญในการสัญจร ส่วนของสภาพร่องน้ำที่อาจจะมีปัญหานั้น จากสภาพที่เห็นได้มีการสั่งการให้มีการสำรวจเบื้องต้นอย่างรวดเร็ว

เนื่องจากคลองเกาะแก้วเป็นเส้นทางเข้าออกของเรือจำนวนมาก และในบริเวณดังกล่าวยังมีมารีนาถึง 2 มารีนา และมีข้อมูลว่า มีเรือนำนักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวตามเกาะแก่งต่างๆ วันละนับพันคน ดังนั้น ความปลอดภัยจึงไม่ได้คำนึงเฉพาะตัวเรือหรือพนักงานขับเรือเท่านั้น แต่เรื่องของร่องน้ำเป็นปัจจัยหนึ่งของความปลอดภัยในการเดินเรือเช่นกัน ซึ่งกรมเจ้าท่าจะเข้ามาสำรวจและวางแผนในการขุดลอกร่องน้ำต่อไป



จากกรณีเกิดเหตุเรือสปีดโบ๊ตชนกันที่บริเวณร่องน้ำคลองเกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ต เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (10 ก.พ.) จนเป็นเหตุให้ 2 พี่น้องชาวรัสเซียวัย 12 และ 6 ปี ซึ่งเดินทางมาเที่ยวภูเก็ตพร้อมกับปู่และย่าเสียชีวิตเนื่องจากสมองกระทบกระเทือน และมีนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
ล่าสุด เมื่อเวลา 16.30 น. วันเดียวกัน นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พล.ต.ต.กฤษศักดิ์ สงมูลนาค ผบก. บก.ทท.3 ว่าที่ ร.ต.วิกรม จากที่ ปลัดจังหวัดภูเก็ต นายวิวัธน์ ชิดเชิดวงศ์ เจ้าท่าภูมิภาค สาขาภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ท่าเทียบเรือโบ๊ทลากูน ต.เกาะแก้ว อ.เมืองภูเก็ต เพื่อตรวจสอบสภาพเรือ ALP 111 ของบริษัท Andaman Leisure Phuket จำกัด (ALP) หลังจากนั้นได้เดินทางต่อไปยังท่าเทียบเรือรอยัลภูเก็ต มารีน่า เพื่อตรวจสอบเรือปาหยัน 5 ของบริษัท ซีสตาร์อันดามัน จำกัด ซึ่งเรือทั้ง 2 ลำ เป็นเรือที่เกิดอุบัติเหตุจากเหตุชนประสานงา ภายในคลองเกาะแก้ว ต.เกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ต
นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจสภาพเรือทั้ง 2 ลำ ว่า ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้สูญเสีย ทั้งผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุเรือชนประสานงากัน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้นักท่องเที่ยวซึ่งเป็นเด็กชายและเด็กหญิงชาวรัสเซียเสียชีวิต จำนวน 2 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 19 คน ซึ่งขณะนี้แพทย์อนุญาตให้กลับไปพักผ่อนที่โรงแรมได้แล้ว 18 คน ยังคงมีผู้ได้รับบาดเจ็บรักษาตัวที่โรงพยาบาล จำนวน 1 คน เพื่อรอดูอาการ นอกจากนี้ ยังมีคนไทยที่ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 3 ราย โดยเป็นกัปตันเรือ พนักงานประจำเรือ และไกด์
สำหรับในส่วนการช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินั้น มีกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำหรับผู้เสียชีวิตเป็นเงินรายละ 1 ล้านบาท และผู้บาดเจ็บช่วยเหลือในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีเงินเยียวยาอีกส่วนหนึ่งจากบริษัทนำเที่ยวที่ได้ทำไว้กับบริษัทเอเชียอาคเนย์ โดยช่วยเหลือในกรณีเสียชีวิต รายละ 500,000 บาท และผู้บาดเจ็บซึ่งจ่ายตามความเป็นจริงรายละไม่เกิน 500,000 บาท
ขณะที่ นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า กรมเจ้าท่าขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่สูญเสียในเหตุการณ์ครั้งนี้ ที่ผ่านมากรมเจ้าท่าได้เน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ตซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ และมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวจำนวนมาก กรณีเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างเรือ ALP 111 กับเรือปาหยัน 5 นั้น หลังรับรายงานตนได้สั่งการให้เจ้าท่าภูมิภาค สาขาภูเก็ต ตรวจสอบหาข้อเท็จจริงและประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เบื้องต้น ในส่วนของเจ้าท่าฯ ได้สั่งห้ามการใช้เรือทั้ง 2 ลำ พร้อมส่งมอบให้พนักงานสอบสวนเพื่อเป็นของกลาง ส่วนนายท้ายเรือทั้ง 2 ลำได้มีการงดใช้ประกาศนายท้ายเรือเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งเป็นโทษสูงสุด
ส่วนสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ คาดว่าน่าจะเกิดจากการขับขี่เรือที่ค่อนข้างเร็ว ประกอบกับสภาพลำคลองที่มีความโค้ง โดยสั่งการให้เจ้าท่าฯ ภูเก็ตนำพนักงานขับเรือทั้งหมดมาอบรมใหม่เพื่อให้เกิดความชำนาญและมีความรับผิดชอบมากขึ้น เพราะพบมี 2 เรื่อง คือ ความชำนาญเกี่ยวกับร่องน้ำ ซึ่งบริเวณจุดเกิดเหตุเป็นร่องน้ำที่มีความโค้ง ทำให้ค่อนข้างจะขับยากแต่คนขับเรือก็ยังใช้ความเร็วสูง ซึ่งต้องไปหาความชำนาญให้แก่คนขับเรือที่ใช้คลองเกาะแก้วในการสัญจร เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น ความช่วยเหลือจะต้องเป็นไปอย่างทันท่วงที เพื่อลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นให้ได้ และขอให้เชื่อว่า กรมเจ้าท่า ได้เน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือ ตัวเรือ คนขับเรือและผู้เกี่ยวข้องกับเรือทั้งหมด มีมาตรฐานกำหนดไว้แล้ว
และอยากฝากไปยังผู้ประกอบการให้คำนึงถึงความปลอดภัย หากพบเห็นเรือไม่ปลอดภัย คนไม่ปลอดภัยหรือท่าเรือไม่ปลอดภัย ขอให้แจ้งไปยังหมายเลข 199 หรือประสานงานไปยัง จ.ภูเก็ตก็ได้ ซึ่งเจ้าท่าฯ พร้อมเข้าไปดำเนินการให้เกิดความปลอดภัยและมั่นใจกับผู้ใช้บริการ” นายวิทยา กล่าวและว่า
ในส่วนของการอบรมพัฒนาคนขับเรือนั้น ได้สั่งการให้รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ซึ่งดูแลพื้นที่ จ.ภูเก็ต ดำเนินการโดยเร็ว เนื่องจากร่องน้ำแต่ละจุดจะมีความแตกต่างกัน ดังนั้น จะต้องมีความชำนาญในการสัญจร ส่วนของสภาพร่องน้ำที่อาจจะมีปัญหานั้น จากสภาพที่เห็นได้มีการสั่งการให้มีการสำรวจเบื้องต้นอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากคลองเกาะแก้วเป็นเส้นทางเข้าออกของเรือจำนวนมาก และในบริเวณดังกล่าวยังมีมารีนาถึง 2 มารีนา และมีข้อมูลว่า มีเรือนำนักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวตามเกาะแก่งต่างๆ วันละนับพันคน ดังนั้น ความปลอดภัยจึงไม่ได้คำนึงเฉพาะตัวเรือหรือพนักงานขับเรือเท่านั้น แต่เรื่องของร่องน้ำเป็นปัจจัยหนึ่งของความปลอดภัยในการเดินเรือเช่นกัน ซึ่งกรมเจ้าท่าจะเข้ามาสำรวจและวางแผนในการขุดลอกร่องน้ำต่อไป