xs
xsm
sm
md
lg

เปิดปูม “อานัส อับดุลเราะห์มาน-อับดุลอาซิซ ญะบัล” 2 แกนนำ “บีอาร์เอ็นโคออดิเนต” ที่ไม่ธรรมดา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้  /  โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
 

พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ (ซ้าย) ตันสรี อับดุลราฮิม บิน โมฮัมหมัด นูร์ ผู้อำนวยความสะดวกจากมาเลเซีย (กลาง) นายอนัส อับดุลเราะห์มาน (ขวา)
 
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเรื่องราวสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ 3 เหตการณ์ ประกอบด้วย
.
เหตุการณ์แรกคือ ปรากฏการณ์ “ช้างเหยียบนา พญาเหยียบเมือง” หรือการที่ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม นำ ครม.มาประชุมสัญจรกันที่ จ.นราธิวาส อย่างคึกคักและครึกโครม โดยก่อนหน้า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องสแกนพื้นที่ละเอียดถี่ยิบเพื่อป้องกันเหตุร้าย ซึ่งตลอด 2 วัน คือ ระหว่างวันที่ 20-21 ม.ค.2563 ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี
 
การนำคณะ ครม.มาประชุมสัญจรที่ จ.นราธิวาสครั้งนี้ได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเป็นด้านหลัก ซึ่ง ครม.เห็นชอบทุกโครงการที่นำเสนอโดย “ศอ.บต.” โดยเฉพาะเกี่ยวกับการผลักดันเมืองต้นแบบตามโครงการสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ที่ดำเนินมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังเป็นหัวหน้า คสช.
.
โดยเฉพาะที่ฮือฮามากก็คือ “เมืองต้นแบบที่ 4 จะนะเมืองอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” ที่จะมี อ.จะนะ จ.สงขลา เป็นศูนย์กลาง
.
อีกทั้ง ครม.ยังเห็นชอบ การพัฒนา 3 ด่านพรมแดน ใน จ.นราธิวาส คือ ด่านสุไหงโก-ลก ด่านตากใบ และด่านบูเก๊ะตา อ.แว้ง ซึ่งแห่งหลังยังมีปัญหาอยู่มากให้เป็นเมืองชายแดนที่สมบูรณ์แบบ เพื่อยกระดับให้เป็นเมืองการค้าชายแดนที่ทันสมัย ขณะที่ ก.คมนาคม ก็เห็นชอบ โครงการก่อสร้างและปรับปรุงถนน ใน 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวม 13 โครงการ วงเงิน 9 พันล้าน
 
นอกจากนี้ “บิ๊กตู่” ยังได้ “โปรยยาหอม” แก่ผู้คนที่ไปต้อนรับถึงการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในทุกด้านเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า สิ่งที่ ครม.เห็นชอบไปแล้วนั้นจะทำได้จริงหรือไม่
 
ที่สำคัญ “รัฐบาลของบิ๊กตู่ 2” ที่ยังนับว่ามีความเปราะบางอยู่มาก โดยเฉพาะในเรื่อง “พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563” ที่อาจจะสะดุดขาตนเองจากการที่ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน ซึ่งกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ถึงขั้นต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความกันแล้วว่าจะเป็นโมฆะหรือไม่ รวมทั้ง “การอภิปรายไม่ไว้วางใจ”ที่กำลังจะมีขึ้นช่วงต้น ก.พ.นี้ว่าฝ่ายค้านจะมีหมัดเด็ดคว่ำรัฐบาลลงได้หรือไม่ ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันด้วยใจระทึก
 
เหตุการณ์ที่ 2 ที่ต้องติดตามกันคือ “บิ๊กแดง-พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์” ผบ.ทบ. นำคณะการเดินทางไปเยี่ยมเยือนพบปะแลกเปลี่ยนกับผู้นำกองทัพของประเทศอินโดนีเซียที่ จ.อาเจะห์ ซึ่งน่าจะเป็น ผบ.ทบ.ของไทยคนแรกที่ได้ไปศึกษาดูงาน “เขตปกครองพิเศษ” และพูดคุยกับ “ผู้นำขบวนการอาเจะห์เสรี (แกม)”
 
แน่นอนสารัตถะของการไปเยือนครั้งนี้ย่อมมีนัยที่ส่งถึงเรื่องราวของ “วิกฤตไฟใต้” เพราะเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่ากลุ่มผู้ติดอาวุธของ “ขบวนการบีอาร์เอ็น” ที่ปฏิบัติการก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนใหญ่ได้รับการ “ฝึกฝน” และ “บ่มเพาะ” มาจากอินโดนีเซีย
 
อันจะเห็นได้จากการกำหนดโครงสร้างต่างๆ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของบีอาร์เอ็น ล้วนใช้ “ภาษาอินโดนีเซีย”เกือบทั้งหมด และแม้แต่อาวุธบางส่วนที่ “แนวร่วม” ของขบวนการในพื้นที่ใช้ในการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ แม้จะมีส่วนที่ปล้นชิงไปจากเจ้าหน้าที่ไทย แต่จำนวนมากได้รับการสนับสนุนจาก “ขบวนการอาเจะห์เสรี” อย่างเหตุการณ์เมื่อราว 3 เดือนที่ผ่านมา ก็มีข่าวว่า “ขบวนการอาเจะห์เสรี” มีการส่งอาวุธปืนให้แก่ขบวนการบีอาร์เอ็นถึงประมาณ 500 กระบอก
.
เพราะฉะนั้น การที่ “บิ๊กแดง” เดินทางไปเยือน “เขตปกครองตนเอง” และพูดคุยกับ “แกนนำขบวนการอาเจะห์เสรี” ครั้งนี้ จึงเป็นเรื่องที่ดียิ่งสำหรับการหาแนวทางแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
.
เหตุการณ์ที่ 3 นับว่าสำคัญมากอีกเรื่องคือ มีการเปิดเผยถึงความคืบหน้าของ “กระบวนการพูดคุยสันติสุข” ระลอกใหม่ที่มากมายไปด้วยความหวังว่าจะช่วย “ดับไฟใต้” ได้ในที่สุด ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมๆ กับมีข่าวสะพัดว่า ตัวแทนคณะพูดคุยฝ่ายไทยได้มีการ “เจรจาลับ” หรือ “พูดคุยนอกรอบ” กับระดับ “แกนนำ” ของขบวนการบีอาร์เอ็นที่ถือว่าเป็น “ตัวจริง” เสียด้วย
 
ทั้งนี้ กระบวนการพูดคุยสันติสุขมีอันต้องหยุดชะงักงันมานาน อันเป็นผลจาก พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ อดีตแม่ทัพภาค 4 ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยฝ่ายไทยคนก่อนใน “รัฐบาลบิ๊กตู่ 1” ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ส.ว.ไปแล้ว และ “รัฐบาลบิ๊กตู่ 2” เวลานี้ก็ได้ตั้ง “พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ” อดีตเลขาธิการ สมช. ให้นั่งเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยฝ่ายไทยคนใหม่
 
ปรากฏว่าหลังจากที่มีหัวหน้าคณะพูดคุยฝ่ายไทยคนใหม่ก็ได้มีการเปิดปฏิบัติการ “พูดคุยในทางลับ” มาโดยตลอด มีการไปพูดคุยกันนอกรอบในต่างประเทศหลายครั้ง โดยได้รับการสนับสนุนจากประเทศที่เป็นกลาง เช่น สวิตเซอร์แลนด์และเยอรมนีในการนำพาตัวแทน “บีอาร์เอ็นโคออดิเนต” จัดว่าเป็น “ตัวจริง” จากประเทศมาเลเซียให้ได้พบกับคณะพูดคุยของฝ่ายไทยทั้งที่สวิตเซอร์แลนด์และเยอรมนี
 
ก่อนที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ด้วยให้ฝ่ายมาเลเซียในฐานะผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุยสันติสุข ได้จัดการประชุมร่วมระหว่างตัวแทนคณะพูดคุยฝ่ายไทยกับฝ่าย “มาราปาตานี” ซึ่งเวลานี้มีตัวแทนของ “บีอาร์เอ็นโคออดิเนต” ตัวจริงเสียงจริงยอมเข้าร่วมด้วย พร้อมมีการแถลงข่าวร่วมกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2563 นี่เอง
 
ตามข่าวที่ปรากฏต่อสาธารณะ ระบุว่า บนโต๊ะพูดคุยสันติสุขที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ครั้งนี้มีบุคคลสำคัญที่เชื่อว่ามีบทบาทอยู่ในขบวนการบีอาร์เอ็นโคออดิเนตจริง 2 คน คือ “นายอานัส อับดุลเราะห์มาน” กับ “นายอับดุลอาซิซ ญะบัล” เข้าร่วมด้วย
 
บุคลแรก “นายอานัส อับดุลเราะห์มาน” นี่คือชื่อที่ปรากฏตามบัตรประชาชนของประเทศมาเลเซีย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วต้องนับว่าเขาเป็น “คน 3 สัญชาติ” ก็ว่าได้ เนื่องจากเขายังถือบัตรประชาชนไทย และบัตรประชาชนอินโดนีเซียอีกด้วย
 
สำหรับชื่อตามบัตรประชาชนไทยของเขาคือ “นายหีพนี มะเระ” ภูมิลำเนาเดิมก่อนที่จะหลบหนีเพราะถูกออกหมายจับจากทางการไทยอยู่ที่ ต.อาซ่อง อ.รามัน จ.ยะลา เคยเป็น “ครู” หรือ “อุสตาซ” ที่โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ สอนอยู่ในชั้น “ดิพโพล่า” เกี่ยวกับวิชาด้านการเมืองการปกครอง โดยมักจะมีการเน้นให้ความรู้เรื่องราวของ “เหมาเจอตุง” ผู้นำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน กับ “ซูกาโน่” ผู้นำแห่งอินโดนีเซียเป็นพิเศษ
 
ถือเป็นคนที่ “นายสะแปอิง บาซอ” อดีตเจ้าของโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ และอดีตประธานขบวนการบีอาร์เอ็นโคออดิเนตผู้ล่วงลับให้ความไว้วางใจอย่างมาก ด้านความสำคัญในขบวนการบีอาร์เอ็นโคออดิเนตนั้น เขาจัดว่าเป็นหนึ่งใน “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” และผู้รับผิดชอบแผนงานยุทธศาสตร์ในภาพรวมของขบวนการ
 
เขาจบการศึกษาปริญญาตรีจากเมืองบันดุง อินโดนีเซีย เป็นสมาชิก “เพอมิตี รุน 1888” รุ่นเดียวกับ “นายอำหมัดมูริส วาเต๊ะ” แล้วไปจบปริญญาโทที่ประเทศอียิปต์ และนี่เองที่เป็นที่มาว่าเขาคือ “นักบ่มเพาะ” ตัวยงสำหรับกลุ่มนักศึกษาคนไทยที่ไปเรียนที่อิยิปต์ให้เข้าสู่ขบวนการ
 
ที่สำคัญ “นายอานัส อับดุลเราะห์มาน” หรือ “นายหีพนี มะเระ” ผ่านการเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับ “ขบวนการสันติภาพ” จากประเทศเยอรมนีมาด้วย และที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษคือ เวลานี้เขามีอายุเพียง 54 ปี ซึ่งถือเป็นคนรุ่นกลางที่มีความสำคัญในขบวนการบีอาร์เอ็นโคออดิเนต
 
ส่วนบุคคลที่ 2 “นายอับดุลอาซิซ ญะบัล” นี่ก็เป็นชื่อตามบัตรประชาชนประเทศมาเลเซียอีกเช่นกัน ส่วนชื่อตามบัตรประชาชนไทยคือ “นายวาเหะ หะยีอาแซ” มีทะเบียนบ้านอยู่ใน จ.นราธิวาส หรือมีพื้นเพเป็นชาวจังหวัดชายแดนภาคใต้นั่นเอง
 
เขาจัดว่าเป็นคนใกล้ชิดของ “นายรอมลี อุตรสินธุ์” ผู้เป็นพี่ชายของ “นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์” อดีต รมช.ศึกษาฯ อดีตรองเลขาธิการนายกฯ และอดีต ส.ส.นราธิวาส ตั้งแต่สมัยที่นายรอมลี ยังไม่ถูกออกหมายจับจนต้องหลบหนีไปอยู่ในมาเลเซีย เคยเป็น “ครู” ที่โรงเรียนนราสิขาลัย สอนด้านอิสลามศึกษา และเคยเป็น “ผู้จัดการโรงเรียนบูกิ๊ตอิสลามียะห์” ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนศาสนาใน ต.บูกิ๊ต อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส
 
ด้านการศึกษา “นายอับดุลอาซิซ ญะบัล” จบจากประเทศปากีสถาน ณ วันนี้เขามีอายุถึง 69 ปีแล้ว แต่ก็ต้องถือเป็นหนึ่งในแกนนำคนสำคัญของขบวนการบีอาร์เอ็นโคออดิเนต โดยทำหน้าที่ “หัวหน้าฝ่ายการศึกษา” และที่สำคัญเขายังทำหน้าที่ “คุมหน่วยงานลับ” ที่ใช้ชื่อว่า PUSPA” หรือแปลว่า “กริช” ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญยิ่งชนิดที่แม้แต่ “เปาะซูเลาะ” หรือ “นายอับดุลเลาะ แวมะนอ” ประธานขบวนการบีอาร์เอ็นคนปัจจุบันยังต้องเกรงใจ
 
สรุปง่ายๆ ให้เห็นภาพชัดคือ นับตั้งแต่ “บิ๊กตู่” เข้าบริหารประเทศทั้งจากการรัฐประหารในนามหัวหน้า คสช. และจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ซึ่งได้มีการเปลี่ยนหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายไทยไปแล้วถึง 3 ราย คือ พล.อ.อักษรา เกิดผล ตามด้วย พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ และล่าสุด พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ มีเพียงคนหลังนี้เองที่ถือว่าคณะพูดคุยฝ่ายไทยได้เข้าถึงตัวแทนของบีอาร์เอ็นโคออดิเนตที่เป็น “ของจริง” อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
 
ดังนี้แล้ว จึงต้องถือว่าคณะพูดคุยสันติสุขชุดปัจจุบันภายใต้การนำของ พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เปรียบได้กับ “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” ของมาตรการดับไฟใต้ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้มากที่สุด เพราะนอกจากมาเลเซียจะรับหน้าที่อำนวยความสะดวกแล้ว ยังมีหน่วยงานจากประเทศที่เป็นกลางอย่างสวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี และอื่นๆ ได้เข้ามาร่วมเป็นองค์ประกอบสำคัญด้วย
.
และนี่ก็ยังต้องถือเป็นสัญญาณดีอีกด้วยว่า ณ วันนี้ทั้ง “บิ๊กตู่” และ “บิ๊กแดง” ต่างยอมรับความจริงของวิกฤตไฟใต้ระลอกใหม่ที่ดำเนินมา 17 ปีแล้วว่า เกิดจาก “ขบวนการบีอาร์เอ็นโคออดิเนต” นั่นเอง
.
ดังนั้น หากต้องการยุติความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้ จึงมีแต่เพียงหนทางที่จะต้อง “เจรจา” กับ “บีอาร์เอ็นตัวจริง” พร้อมๆ กับต้องกล้าที่จะ “พูดคุย” กับ “มาเลเซีย” อย่างเปิดอก หรือชนิดที่พร้อมจะแตกหักในฐานะที่ให้แหล่งพักพิงอย่างเปิดอกด้วยเช่นกัน
 
อย่างไรก็ตาม “กระบวนการพูดคุยสันติสุข” ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหนทางในการดับไฟใต้ ซึ่งจะสำเร็จหรือล้มเหลวยังอีกยาวไกล แต่เรื่องราวเฉพาะหน้าที่ยังเกิดเหตุ “ละเลงเลือด” ในพื้นที่ก็ยังถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่จะต้องหาทางเร่งยุติให้ได้โดยเร็ว
 
เนื่องเพราะก่อนหน้าที่ “บิ๊กตู่” และคณะ “ครม.สัญจร” จะบินลงมาเหยียบแผ่นดินบางนราก็มีเหตุการณ์โหดร้ายเกิดขึ้นเสมือนเป็นการต้อนรับ เช่น การยิงอิหม่ามถึงในมัสยิด ยิงสองสามีภรรยาที่ อ.บันนังสตา และยิงผู้หญิงที่ ต.สะเตง อ.เมือง จ.ยะลา รวมถึงบึ้มชุดคุ้มครองครู เป็นต้น
 
แล้วเมื่อปรากฏการณ์ “ช้างเหยียบนา พญาเหยียบเมือง” จบลงได้ไม่กี่ชั่วโมง สถานการณ์ความรุนแรงก็หวนกลับมาเกิดเหตุแบบถี่ยิบเสมือนเป็นการสั่งลา มีทั้งการประกบยิงทหารพราน ยิง อส. และการวางลอบระเบิด เป็นต้น
 


กำลังโหลดความคิดเห็น