xs
xsm
sm
md
lg

เด็ก ม.2 น้ำใจงาม! ถูกเพื่อนทำร้ายแขนหักในโรงเรียน แต่พร้อมให้อภัยหากผู้ก่อเหตุสำนึกผิด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สุราษฎร์ธานี - นายอำเภอพุนพิน พร้อมคณะครูรุดเยี่ยมอาการน้องวาย เด็กชาย ม.2 ถูกเพื่อนทำร้ายร่างกายสาหัส แขนซ้ายหัก เผยเป็นญาติและเป็นเพื่อนตั้งแต่ชั้นอนุบาล หากผู้ก่อเหตุสำนึกผิดพร้อมให้อภัยไม่โกรธเคือง ด้านตำรวจเผยเป็นคดีอาญาชั้นพนักงานสอบสวนยอมความไม่ได้ เป็นดุลพินิจของศาลเยาวชนและครอบครัว

จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กได้นำภาพคลิปนักเรียนชาย มีเรื่องทะเลาะวิวาทชกต่อย ทำร้ายร่างกายกันในห้องเรียนโรงเรียนขยายโอกาสแห่งหนึ่งในอำเภอพุนพิน จนอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัส พร้อมข้อความว่า "ขอพื้นที่หน่อยนะครับ พอดีหลานผมโดนทำร้าย คุณครูไปอยู่ไหนกันหมดครับ ทำไมให้นักเรียนทะเลาะกันแบบนี้ แล้วแบบนี้ไม่ตายโหงกันหมดเห้อ คือแบบนี้มันรุนแรงเกินไปนะครับ แล้วแบบนี้ใครจะรับผิดชอบ กระดูกแตกหัวบวม แล้วชายโครงมีรอยมีจี้ 3 จุด ตอนนี้น้องรอผ่าตัดอยู่ แบบนี้มันแรงไป ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้กับลูกหลานพวกคุณคุณจะรับได้มั้ยครับ #ช่วยกันแชร์หน่อยนะครับ" ซึ่งมีคนเข้ามากดแชร์และร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ภายในคลิปจำนวนมาก ต่อมาได้มีการลบคลิปนี้ออกไปแล้ว


ล่าสุด เมื่อเวลา 12.00 น. วันนี้ (22 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ตึกฉุกเฉินชั้น 5 เตียง 23 พบกับ น.ส.ลูกปลา จำนงค์พันธุ์ อายุ 38 ปี ผู้เป็นแม่ที่เฝ้าดูอาการของน้องวาย อายุ 14 ปี เด็กชายที่ถูกทำร้ายร่างกาย เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 2/2 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ได้รับบาดเจ็บแขนซ้ายหัก ใบหน้า ลำตัวฟกช้ำ ศีรษะปูดบวม ชายโครงขวามีรอยแดงจ้ำๆ 3 จุด โดยแพทย์ได้เข้าเฝือก และอนุญาตให้กลับบ้านได้ในวันนี้ หลังจากที่นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี เป็นเวลา 2 วัน และแพทย์นัดดูอาการอีกครั้งในวันที่ 31 ม.ค.นี้ โดยวันนี้อาการของน้องดีขึ้นมาก อาการรอยฟกช้ำเริ่มหาย มีเพียงแขนด้านซ้ายที่ต้องเข้าเฝือกและมือยังบวม

โดยวันนี้ นายสิทธิชัย ไทยเจริญ นายอำเภอพุนพิน นายชัยยศ กล่อมทอง นายก อบต.เขาศรีวิชัย พร้อมคณะครูประจำชั้นได้มาเยี่ยมดูอาการของน้องวาย พร้อมกับมอบกระเช้าของเยี่ยม พูดให้กำลังใจ พร้อมพูดไกล่เกลี่ยประนีประนอม อย่าไปโกรธแค้นอาฆาตเพื่อน ให้อภัยน้องแชมป์ ผู้กระทำที่อาจจะทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และรุนแรงไป ทั้งที่เป็นญาติและเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล ซึ่งทางครอบครัวของน้องแชมป์ ผู้กระทำผิดพร้อมที่จะรับผิดชอบเยียวยาทุกอย่าง ขณะที่น้องวาย ผู้บาดเจ็บพยักหน้า เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า แขนที่หักถูกแรงเหวี่ยงไปกระแทกกับขอบประตูห้องเรียนจนแตกหัก และพร้อมที่จะให้อภัยและยอมเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเพียงแต่ขอว่าอย่ามาทำร้ายกันอีก


ด้าน น.ส.ลูกปลา จำนงพันธ์ อายุ 38 ปี แม่ของน้องวาย กล่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยอมรับว่า เด็กทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ แต่พอได้ดูคลิปแล้วทำใจไม่ได้ ถึงแม้ว่าน้องที่ก่อเหตุก็เป็นญาติกันด้วย ส่วนจะยอมความหรือไม่นั้นต้องปรึกษากับสามีก่อน พ่อแม่ฝ่ายผู้ก่อเหตุจะต้องมาพูดคุยกันก่อนถึงจะเป็นญาติกันก็ตาม ในเบื้องต้น ก็อยากจะดัดนิสัยเด็กๆ นิดหน่อยที่ชอบทะเลาะและทำรุนแรงเกินไป ส่วนอาการบาดเจ็บของลูกชายแพทย์ได้ดึงกระดูกเข้าที่แล้ว และเข้าเฝือกดูการเชื่อมต่อของกระดูกที่แตก หากกระดูกไม่เชื่อมต่อก็จะต้องผ่าตัด โดยแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านในวันนี้ และนัดอีกครั้งในวันที่ 31 มกราคมนี้ ส่วนอาการบาดเจ็บอย่างอื่นๆ ทุเลาลงแล้ว

ส่วนกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่าตำรวจไม่รับแจ้งความนั้น ด้าน พ.ต.ท.เสวี เวชพิทักษ์ รอง ผกก.สภ.พุนพิน ในฐานะหัวหน้างานสอบสวน กล่าวว่า เป็นการเข้าใจผิดและคลาดเคลื่อน ซึ่งในเบื้องต้น พนักงานสอบสวนได้ลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว ส่วนจะรับเป็นคดีอาญาหลังจากผลการตรวจของแพทย์ลงความเห็นว่าบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายร่างกายอาการสาหัส จากนั้นเข้าสู่กระบวนการสอบปากคำเด็ก และต้องมีสหวิชาชีพเข้าร่วมด้วย เนื่องจากเป็นเด็กทั้งคู่ ทั้งผู้กระทำและถูกกระทำ ส่วนจะไกล่เกลี่ยได้หรือไม่นั้น ตอนนี้ผู้บาดเจ็บเข้าข่ายถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัส เป็นความผิดอาญาแผ่นดินไม่สามารถยอมความได้ ไม่ใช่ความผิดอันยอมความได้ อัตราโทษเกิน 3 ปี ในชั้นพนักงานสอบสวนไม่สามารถไกล่เกลี่ยได้ แต่ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายจะเยียวยากันโดยผู้ทำร้ายเยียวยาหรือจ่ายค่าทำขวัญให้แก่ฝ่ายผู้บาดเจ็บ ก็สามารถกระทำได้ โดยทางฝ่ายพนักงานสอบสวนจะทำบันทึกให้ แต่ในส่วนของคดีอาญาทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายได้รับบาดเจ็บสาหัส


ทางพนักงานสอบสวนจำเป็นต้องแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายบาดเจ็บสาหัส และสรุปส่งสำนวนให้อัยการเพื่อฟ้อง และส่งศาลเยาวชนและครอบครัว แต่เมื่อถึงชั้นศาลหากคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายไม่ติดใจหรือยอมความกัน และผู้ต้องหาเป็นเยาวชนอายุเพียง 14 ปี และอยู่ในวัยศึกษา ศาลก็อาจจะใช้ดุลพินิจให้โอกาสก็เป็นได้


กำลังโหลดความคิดเห็น