ยะลา - ผู้การยะลา นำกำลังเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบเหตุปาหินใส่รถไฟจนทำให้ช่างเครื่องบาดเจ็บ 1 นาย คาดเป็นฝีมือกลุ่มวัยรุ่นชุมชนริมทางรถไฟที่คึกคะนอง ก่อนหน้านี้พบวัยรุ่นนำหินมาวางบนรางให้รถไฟทับ เตือนอันตรายทั้งต่อตนเองและผู้โดยสาร
วันนี้ (31 ธ.ค.) พล.ต.ต.ปราบพาล มีมงคล ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ยะลา และ พ.ต.อ.นราวี บินแวอารง ผกก.สภ.เมืองยะลา พร้อมด้วยตำรวจ ฝ่ายความมั่นคงอำเภอเมืองยะลา และเจ้าหน้าที่ ร.ฟ.ท. ได้เดินทางลงพื้นที่บริเวณชุมชนริมทางรถไฟ หมู่ 13 ต.สะเตงนอก ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างบ้านควน ต.วังพญา อ.รามัน จ.ยะลา กับหมู่ 7 ต.สะเตงนอก อ.เมืองยะลา ซึ่งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟยะลา ประมาณ 4 กิโลเมตร เพื่อตรวจพิสูจน์หาหลักฐานจากเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวนปาก้อนหินใส่หัวรถจักรขบวนรถเร็วที่ 176 (สุไหงโก-ลก-ชุมทางหาดใหญ่) ดีเซล 4151 ฝั่งช่างเครื่อง ทำให้เศษกระจกกระเด็นเข้าตาด้านขวาของนายปรัชญา สุขเกษม ช่างเครื่อง ได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดวานนี้เวลา 16.40 น.
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้จำกัดพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งมีประวัติเคยเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว และเป็นพื้นที่ชุมชนที่มีกลุ่มวัยรุ่น จึงวิเคราะห์พิกัดพื้นที่มีความน่าจะเป็นไปได้ คือพื้นที่ชุมชนริมทางรถไฟ หมู่ 13 ต.สะเตงนอก อ.เมืองยะลา จึงได้เข้าตรวจสอบ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ โดยจากการตรวจสอบไม่พบจุดเกิดเหตุที่แน่ชัด เพราะไม่มีหลักฐานที่พอจะระบุได้ชัดเจน มีเพียงคำให้การของเจ้าหน้าที่ประจำการของขบวนรถไฟดังกล่าว ระบุสถานที่บริเวณที่ประสบเหตุเท่านั้น พล.ต.ต.ปราบพาล จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสอบสวนลงพื้นที่หาเบาะแสของคนร้ายที่ก่อเหตุ ซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นกลุ่มวัยรุ่นในบริเวณชุมชนริมทางรถไฟ ที่อาจจะมีความคึกคะนองจึงได้ก่อเหตุ
อีกทั้งบริเวณดังกล่าวนั้น ที่ผ่านมาจะพบว่า มีเด็กๆ หรือวัยรุ่นที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์มักจะมีพฤติกรรมนำก้อนหินไปวางบนรางรถไฟ เพื่อให้รถไฟเหยียบ ซึ่งเจ้าหน้าที่ ร.ฟ.ท. ระบุว่า เป็นอันตรายทั้งต่อตัวเอง และขบวนรถไฟ หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแล้วก็จะมีโทษและความผิดทางกฎหมายด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ที่ผ่านมาในรอบ 3 เดือน มีการก่อเหตุในลักษณะของการปาก้อนหินใส่ขบวนรถไฟแล้ว 1 ครั้ง ที่ จ.นราธิวาส ซึ่งขณะนั้นเจ้าหน้าที่ประจำการขบวนรถไฟได้รับบาดเจ็บจากเศษกระจกที่บริเวณใบหน้าเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ ร.ฟ.ท.ได้ขอความร่วมมือไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ให้ช่วยสอดส่อง และแจ้งเตือนประชาชน อย่าให้บุตรหลานได้กระทำการในลักษณะดังกล่าว เนื่องจากมีความผิดทางกฎหมาย และอาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้ทั้งจากขบวนรถ และผู้โดยสารเอง
