xs
xsm
sm
md
lg

ขอปีหนู “บิ๊กตู่” หายเมาหมัด แล้วรู้ว่ายาแก้โรคไฟใต้ยี่ห้อ “ประวิทย์โอสถ” หมดอายุไปนานแล้ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้  /  โดย… ไชยยงค์ มณีพิลึก
  


 
บรรทัดนี้ขอกล่าวคำว่า “สวัสดีปีใหม่” กับท่านผู้อ่านคอลัมน์ “จุดคบไฟใต้” เพื่อที่จะได้บอกกล่าวว่า ในที่สุด พวกเราก็ได้ผ่านพ้น “ปีหมู” 2562 แบบลุ่มๆ ดอนๆ โดยเฉพาะผู้คนในแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ตลอดทั้งปีต้องทนทุกข์อยู่กับทางเลือก กลิ่นดินปืนและความตาย ทั้งของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนในพื้นที่
 
ตลอด 16 ปี “ไฟใต้ระลอกใหม่” คนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้ไม่เคยได้สัมผัสกับวาระเฉลิมฉลองวันปีใหม่ที่ “สดสวย” หรือ “มีความหวัง” เหมือนกับผู้คนในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทย เพราะเมื่อถึงห้วงแห่งส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ของทุกปี สิ่งแรกที่พบเห็นคือต้องมี “เหตุร้าย” เกิดขึ้น เพราะมี “วันสัญลักษณ์รัฐไทย” ที่รับรู้กันว่าจะมีการ “จูแว” หรือสมาชิกของขบวนการแบ่งแยกดินแดน “บีอาร์เอ็น” จ้องที่จะสร้างสถานการณ์
 
โดยเฉพาะเดือนแห่งการส่งท้ายปี 2562 มีเหตุสลดใจหลายเหตุการณ์ด้วยกัน ตั้งแต่เหตุการณ์ 15 ศพ ชรบ.” ที่ ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา เหตุการณ์ 2 ศพ “ผู้เฒ่าไทยพุทธ” ที่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี และเหตุการณ์ 3 ศพมุสลิมทำไม้บนเทือกเขาตะเว” อ.บองอ จ.นราธิวาส ทั้งหมดล้วนคือ “เหยื่อ” ของสถานการณ์แห่งความขัดแย้งระหว่างขบวนการแบ่งแยกดินแดนกับรัฐไทย
 
“ปีหนู” หรือปี 2563 ก็เป็นอีกปีหนึ่งที่ผู้คนในพื้นที่จะไม่มีความสุขในช่วงปีใหม่เหมือนใครเขา เพราะสิ่งที่ได้รับรู้ทุกวันเวลาคือ “ข่าว” จากหน่วยงานความมั่นคงที่แจ้งเตือนกองกำลังในพื้นที่ให้เฝ้าระวังการก่อเหตุของ “โจรใต้” หรือ “แนวร่วม” บีอาร์เอ็นที่มีข่าวว่านอกจากจะจ้องก่อเหตุในพื้นที่แล้ว อาจจะมีการก่อเหตุนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย
 
ดังนั้น ปีใหม่ของคนใน 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย จึงเป็นเหมือนการอยู่แบบ “ตัวลีบ” เพราะต้องระมัดระวังตนเอง ทั้งในการสัญจรและการทำมาหากิน เพื่อที่จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ โดยเฉพาะกับ “ไทยพุทธ” ที่ถูกจับจ้องตลอดกาล
 
แม้แต่เจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายตำรวจและทหารที่ปฏิบัติการในพื้นที่ พวกเขาก็ไม่มีวันปีใหม่กับใครเขา เพราะยิ่งต้องทำหน้าที่ปกปักและรักษาความปลอดภัยมากกว่าช่วงธรรมดาอีกหลายเท่าตัว ทั้งมีคำสั่ง “ห้ามขาด” และ “ห้ามลา” ซึ่งเป็นเช่นนี้มาถึง 16 ปีแล้ว
.
นี่คือสถานการณ์ไฟใต้ภายใต้ “รัฐเซียงกง” ที่มี “อิเหนาเมาหมัด” นั่งเป็น “ท่านผู้นำ” อยู่ในเวลานี้
.
วันนี้เหตุการณ์ 15 ศพ ชรบ.ที่ ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลานิ่งแล้ว เพราะผู้เสียชีวิตทั้งหมดได้รับการ “เยียวยา” จาก “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)” ตามกรอบกฎหมายรายละ 5 แสนบาท” รวมทั้งการช่วยเหลือในด้านอื่นๆ แก่ครอบครัว เช่น เรื่องอาชีพและการศึกษา รวมเลยไปถึงเรื่องการเยียวยาชุมชนด้วย
 
กรณี 15 ศพ ชรบ.ที่ จ.ยะลา แม้จะเป็นโศกนาฏกรรม แต่ก็เงียบหายโดยเร็ววัน เพราะครอบครัวผู้สูญเสียและคนไทยพุทธในพื้นที่ไม่เรียกร้องอะไรมากไปกว่าสิ่งที่ควรได้ตามกรอบของกฎหมาย ระเบียบของการเยียวยา และรับรู้กันได้ว่าบีอาร์เอ็นเป็นผู้ลงมือ รวมทั้งกลุ่มก้อนคนไทยพุทธในพื้นที่แม้จะออกมาแสดงความคิดเห็น แต่ก็เป็นแค่โซเชียลมีเดียเท่านั้น ไม่มีการเคลื่อนไหวรวมตัวและก็เป็นไปแบบไฟไหม้ฟาง หรือกลุ่มใครกลุ่มมัน ซึ่งไม่มีพลังในการขับเคลื่อน เพียงแต่เป็นการได้ระบายในสิ่งที่อัดอั้นตันใจแล้วก็เท่านั้น
 
ผิดกับกรณี 3 ศพคนทำไม้เถื่อนบนเทือกเขาตะเว ทั้งหมดเป็นมุสลิมที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐหรือทหารพราน “ชป.จรยุทธ์” ไล่ยิงจนเสียชีวิตคากองไม้ เพราะเข้าใจว่าทั้งหมดเป็น “จูแว” หรือแนวร่วมบีอาร์เอ็น ซึ่งเป็นเหตุ “เจ้าหน้าที่รัฐฆ่าประชาชน” ซึ่งในกรณีดังกล่าวในอดีตเคยเกิดขึ้นและได้รับการเยียวยาจากรัฐศพละไม่เกิน 7.5 ล้านบาท”
 
ดังนั้น จึงเกิดการเปรียบเทียบระหว่าง “ไทยพุทธ” ส่วนใหญ่ที่ตายถึง 15 ศพจากเหตุโจมตี ชรบ.ที่ จ.ยะลา กับ “มุสลิม” ที่ตายแค่ 3 ศพจากกรณีเข้าใจผิดบนเทือกเขาตะเวที่ จ.นราธิวาส ว่าการณีมีการ “เยียวยา” ที่ห่างไกลกันลิบลับระหว่าง “5 แสน” กับ “7.5 ล้าน”
 
กลุ่มก้อนของมุสลิมทั้งในและนอกพื้นที่มีการ “ขับเคลื่อน” เพื่อกดดันและเรียกร้องต่อเจ้าหน้าที่อย่างเป็นระบบ ผู้นำภาคประชาสังคม ผู้นำศาสนาและผู้นำทุกภาคส่วนที่เป็นมุสลิมล้วนดาหน้าออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบ ทั้งทางด้านกฎหมายคือ การดำเนินคดีอาญาต่อเจ้าหน้าที่ตามกระบวนการยุติธรรม และเรียกร้องการเยียวยาที่อาจจะจบลงที่ศพละ 7.5 ล้านบาท
 
สถานการณ์ของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” หลังเกิดเหตุ 3 ศพที่เทือกเขาตะเว จ.นราธิวาส มีสภาพของการ “ญะญ่ายพ่ายจะแจ” เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเป็นการศึกก็ต้องถือว่าถูก “ตีขนาบ” ทั้งจากฝ่าย “มวลชน” ในพื้นที่ อันหมายถึงทุกภาคส่วนของเครือข่ายที่เป็นมุสลิม
.
ในขณะที่แนวรบ “ด้านการเมือง” ก็ถูกถล่มโดย ส.ส.พรรคฝ่ายค้านในสภา และคณะกรรมาธิการคณะแล้วคณะเล่าที่เรียก “ผู้นำ” ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าไป “ขึ้นเขียง” ทั้งในเรื่องงบประมาณ เรื่อสิทธิมนุษยชน เรื่องความล้มเหลวของการดับไฟใต้ จนเกิดสภาพการ “เสียศูนย์”
.
ที่แม้แต่ “โฆษก” ที่เคยทำหน้าที่แก้ต่างได้อย่างเข้มแข็งก็กลายเป็น “ขากรรไกรแข็ง” ที่ไม่ได้ออกมาช่วยแก้ต่างในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนก่อน
.
อีกประเด็นที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ถูกตั้งคำถามหนาหูจากผู้คนทั้งประเทศ ภายหลังเกิดเหตุการณ์เข้าใจผิดของ ชป.จรยุทธ์ที่ยิงคนตัดไม้เถื่อนบนเทือกเขาตะเว จ.นราธิวาส คือ ทำไมตลอด 16 ปีไฟใต้ระลอกใหม่เจ้าหน้าที่รัฐถึงแทบไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการลักลอบตัดไม้เถื่อนในป่าสงวนแห่งชาติในชายแดนใต้ ทั้งที่มีบรรดา “มอดไม้” ที่ถูกว่าจ้างโดย “นายทุน” ให้ผลาญป่ากันอย่างมากมาย ซึ่งก็มีภาพปรากฏให้เห็นทางโซเชียลมีเดียมาโดยตลอด
 
ทำไมกองกำลังของเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 80,000 คนที่กระจายกันปฏิบัติหน้าที่ในชายแดนใต้ จึงทำอะไรกับ “มอดไม้” และ “นายทุน” เหล่านี้ไม่ได้เลย ไม้เถื่อนจำนวนมากที่โค่นล้มและแปรรูปถูกนำออกจากป่าไปยังแหล่งจำหน่ายที่ไหนอย่างไร ทำไม่จึงแทบไม่เคยปรากฏว่าเป็นข่าวว่ามีการจับกุมให้เห็น
.
กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มีนโยบายอย่างไรกับการจัดการกับ “มอดไม้” และ “นายทุน” ล้างผลาญป่า
.
มีอีกประเด็นคือ ณ วันนี้เยาวชนใน “หมู่บ้านจัดตั้งของบีอาร์เอ็น” มีการขับเคลื่อนอย่างเข้มแข็ง มีการกำหนด ชี้เป้า หาข่าวให้กลุ่มผู้ลงมือปฏิบัติการที่เข้าไปก่อเหตุ ซึ่งผ่านมาหลายปีแล้วเจ้าหน้าที่รัฐทำไมเข้าไม่เคยถึง “กลุ่มเยาวชน” และ “กลุ่มสตรี” ที่บีอาร์เอ็นจัดตั้ง
.
ทำไม กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จึงไม่สามารถ “คัดกรอง” คนเหล่านี้ออกจากประชาชนที่ส่วนใหญ่เป็น “จ่าเฉย” ในหมู่บ้าน
.
หากยังปล่อยให้ขบวนการเยาวชนทั้งชาย-หญิงสามารถให้การสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธ หรือหน่วยจรยุทธ์ของบีอาร์เอ็นต่อไป กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เกิดขึ้นไม่สำเร็จอย่างแน่นอน ซึ่งสังเกตว่า ที่ผ่านมามีการกำหนดหมู่บ้านจัดตั้งได้แล้วก็จริง แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังเข้าไม่ถึง ไม่สามารถแยกแยะและตัดวงจรของกลุ่มเยาวชนและกลุ่มสตรีที่ถูกบีอาร์เอ็นจัดตั้งได้
 
ประเด็นต่อไป ณ วันนี้กองกำลังฝ่ายรัฐไทยทำได้แค่การต่อสู้กับกองกำลังติดอาวุธชั้น “ปลายแถว” ที่เคลื่อนไหวเพื่อก่อเหตุในพื้นที่ต่างๆ แบบหมุนเวียนเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีแผนในการต่อสู้กับ “ขบวนการบีอาร์เอ็น” ที่มีสายงานตั้งแต่ชั้นผู้นำ ผู้สั่งการ ซึ่งผู้นำทั้ง 2 ระดับมีทั้งที่เคลื่อนไหวในพื้นที่และอยู่ในมาเลเซีย สิ่งสำคัญที่เฝ้าติดตามแต่มองไม่เคยเห็นคือ “การข่าวในชิงรุก” และ “ข่าวลับ” เพื่อให้ “เข้าถึง” เครือข่ายผู้นำและผู้สั่งการทั้งในฝั่งไทยและมาเลเซีย
.
นี่คือเรื่องสำคัญในการที่จะดับไฟใต้ แต่ทว่าเวลานี้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กลับยังไม่มีการปฏิบัติที่เป็นชิ้นเป็นอัน
.
ดังนั้น ปีหมูหรือปี 2562 ที่กำลังผ่านไป ถ้าต้องให้คะแนนกับ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แล้วล่ะก็คงต้องบอกได้ “สอบตก” แบบต้องซ้ำชั้นอย่างแน่นอน
.
เนื่องเพราะแม้แต่งานที่ต้องการโชว์คือ การแก้ปัญหาการระบาดของยาเสพติดก็ยังไม่ถือว่าเป็น “ผลงานชิ้นโบแดง” ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้เลย ซึ่งแม้ว่าจะจับยาเสพติดได้จำนวนมากก็จริง แต่ก็ไม่ได้ทำให้พื้นที่ชายแดนใต้เป็นพื้นที่ปลอดยาเสพติดแต่อย่างใด
 
ดังนั้น ในส่วนชิ้นงานอื่นๆ คงมิพักต้องถามถึงอะไรอีก เพราะแค่เรื่องสามัญธรรมดาอย่าง “ภัยแทรกซ้อน” ทั้งน้ำมันเถื่อน หรือสินค้าเถื่อนอื่นๆ อย่างพืชกระท่อม หัวหอม หัวกระเทียม น้ำมันปาล์ม เนื้อสัตว์ จากประเทศเพื่อนบ้านก็ยังคงทะลักเข้าชายแดนใต้ได้เป็น “ปกติ” เรื่องราวเหล่านี้ตรวจสอบได้ เพราะนายทุนฝั่งมาเลเซียยังเปิดโกดังขายส่งให้นายทุนฝั่งไทยได้ขนสินค้าเถื่อนต่างๆ ข้ามแดนได้อย่างเป็นปกติสุขของนายทุนทั้ง 2 ประเทศ
 
ส่วนเรื่องราวไฟใต้อันเกิดสถานการณ์ “เหตุร้ายรายวัน” นั้น แม้จะมีการตั้ง “ชป.จรยุทธ์” ไปแล้วถึงกว่า 900 ชุด แต่เอาเข้าจริงกลับยังพบว่าแนวร่วมบีอาร์เอ็นยังอาศัย “ช่องว่าง” และความร่วมมือจาก “มวลชน” ตอดเล็กตอดใหญ่เพื่อสร้างความสูญเสียให้เกิดขึ้นเรื่อยๆ ได้ตลอดทั้งปี
 
แถมก่อนที่จะส่งท้ายปีเก่าก็ยังสามารถก่อเหตุยิง “สายข่าว” เจ้าหน้าที่ได้ที่ อ.เทพา และ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา รวมถึงยิงรถยนต์บรรทุก จยย.จาก กทม.ที่จะนำไปส่งให้ดีลเลอร์ในพื้นที่บนถนนสายปัตตานี-นราธิวาสเพื่อ “สร้างข่าว” ให้เห็นว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนยังเคลื่อนไหวเพื่อก่อการร้ายได้อย่างเสรี
.
ก็ได้แต่หวังว่า “ปีหนู” หรือปี 2563 ที่กำลังจะมาถึง “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะสามารถสรุปบทเรียนที่ผ่านๆ มาเพื่อใช้ประโยชน์ในการเปิด “เกมรุก” ต่อขบวนการบีอาร์เอ็นทั้ง “ทางการเมือง” และ “การทหาร” อย่างได้ผล
.
ก็ได้แต่หวังอีกเช่นกันว่า ในส่วนของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ก็ขอให้หายเมาหมัด มีความแจ่มใส สามารถมองเห็น “รากเหง้า” ของปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างแท้จริง
.
ถึงวันนี้ยายี่ห้อ “ประวิทย์โอสถ” ที่ใช้มากว่า 5 ปีในสมัย คสช.นั้น ต้องถือเป็น “ยาหมดอายุ” ไปแล้ว เพราะไม่สามารถรักษาโรคไฟใต้ได้อีกต่อไป ดังนั้น ถ้า “บิ๊กตู่” ยังคิดจะใช้นโยบายเดิมๆ ในการดับไฟใต้ นั่นก็เท่ากับว่า ปล่อยให้คนชายแดนใต้ต้องตกตายตามยถากรรม
 .
ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับให้ไฟใต้เผาผลาญงบประมาณปีละกว่า 30,000 ล้านบาทไปเรื่อยๆ อย่างเปล่าดายนั่นเอง
  


กำลังโหลดความคิดเห็น