xs
xsm
sm
md
lg

เลขาฯ ประชาชาติซัด “ประยุทธ์” แก้ปัญหาชายแดนใต้ มองไม่เห็นอนาคตสันติภาพ-สันติสุข

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



 
ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” เลขาธิการพรรคประชาชาติ โพสต์เฟซบุ๊กซัด “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังมองไม่เห็นอนาคตสันติภาพ และสันติสุข

เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในชื่อ “พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง” ระบุว่า...การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มองไม่เห็นอนาคตของสันติภาพและสันติสุข!!!

นโยบายและการปฏิบัติในการแก้ไขปัญหา จชต. ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 12 ปี นับแต่ดำรงตำแหน่งเป็นรอง ผบ.ทบ. ที่รับผิดชอบแก้ปัญหา จชต. เมื่อปี 2550-2553 เป็น ผบ.ทบ.ในปี 2553-2557 เป็น หน.คสช. และนายกรัฐมนตรี ปี 2557-2562 จนถึงปัจจุบันที่ พล.อ.ประยุทธ์ รับผิดชอบโดยตรงอย่างมีเอกภาพทางกฎหมายและการปฏิบัติในฐานะ กอ.รมน. และนายกรัฐมนตรีต่อเนื่องมาตลอด ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ได้ใช้นโยบาย “การทหารนำการเมือง” จากการนำกฎหมายพิเศษด้านความมั่นคงมาใช้พร่ำเพรื่อ ยาวนานเกินความจำเป็น ทำให้แม้ท่านจะพูดปฏิเสธเมื่อถูกถาม แต่ในทางปฏิบัติไม่สามารถปฏิเสธได้

สถานการณ์และปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องยอมรับความจริงว่าเกิดจากผู้ก่อเหตุรุนแรงที่มีความเห็นต่างจากรัฐจำนวนหนึ่งที่มีน้อยมากๆ เมื่อเทียบสัดส่วนกับประชาชนคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ และเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนด้วย ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากความขัดแย้งที่มีรากเหง้าของปัญหามาจากพื้นฐานบนความสลับซับซ้อน พื้นฐานการแก้ปัญหาต้องเริ่มจากการบริหารและการปกครองที่ประชาชนทุกคนต้องได้รับความปลอดภัยและความเป็นธรรม บนหลักการประชาธิปไตย และสำหรับพื้นที่แห่งนี้ที่มีความแตกต่างหลากหลายทางด้านวัฒนธรรม ความเชื่อและอุดมการณ์ ต้องสามารถอยู่ร่วมกันในสังคม “พหุวัฒนธรรม” ได้อย่างปกติสุขทุกชาติพันธุ์ สามารถมีพื้นที่เข้าถึงอำนาจทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคง อย่างเสมอหน้ากัน โดยตระหนักถึงการที่จะต้อง “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง”

ดังนั้น นโยบายที่ใช้ “การทหารนำการเมือง” ที่รัฐใช้ต่อเนื่องอาจทำให้ประชาชนในพื้นที่โดยเฉพาะที่มีวัฒนธรรมแตกต่างจากผู้นำประเทศและผู้นำทหารมีโอกาสถูกเหมารวมเป็นภัยต่อความมั่นคงได้ ทั้งที่บุคคลทุกคนเป็นพลเมืองไทยที่ร่วมเป็นเจ้าของประเทศด้วยกัน นโยบายดังกล่าวจะมีสภาพเป็น “รัฐซ้อนรัฐ” โดยอ้างคำว่าบูรณาการ แต่ทหารและหน่วยความมั่นคงจะเป็นผู้นำ และมีกฎหมายพิเศษใช้บังคับอยู่เหนือกฎหมายอาญาและกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รัฐใช้ทรัพยากรในการบริหารและงบประมาณแผ่นดินถูกทุ่มเทไปเพื่อแก้ปัญหาที่อ้างความมั่นคงของรัฐ (ทหาร) มากกว่ากระจายความสุข อำนาจ สิทธิเสรีภาพ ทรัพยากรที่ดินสิ่งแวดล้อม และประโยชน์ให้ราษฎรที่เป็นประชาชนพลเมืองของประเทศ ที่ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีภาพที่อิสระใช้สติปัญญาความรู้รวมกันเป็นเอกภาพของปวงชนในการอยู่ร่วมกันที่ถือเป็น “ความมั่นคงของประชาชน” ที่มีความจำเป็นและสำคัญยิ่ง

ดังนั้น หากรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังใช้นโยบายการทหารนำการเมือง ไม่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและสถานการณ์ในพื้นที่ จชต. ก็คงจะมีสภาพไม่ต่างจากเมื่อ 12 ปีที่ผ่านมา จึงไม่มีความหวังที่จะเกิดสันติภาพ และสันติสุขที่แท้จริงในพื้นที่ขึ้นได้

การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินมีทั้งเกิดจากผู้ก่อเหตุรุนแรง และเกิดจากการกระทำของทหารและเจ้าหน้าที่รัฐอื่น เช่นเมื่อเร็วๆ นี้

- เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา คนร้ายได้บุกยิงจุดตรวจชุดรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้าน ที่ตำบลลำพะยา จังหวัดยะลา มีผู้เสียชีวิต จำนวน 15 ศพ เป็นประชาชน 14 ศพ และตำรวจ 1 ศพ หรือ

- เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2562 ทหารใช้อาวุธปืนยิงประชาชน บนภูเขาอาปีเทือกเขาตะเว อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส มีผู้เสียชีวิต 3 ศพ

ทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นเรื่องสะเทือนขวัญ สร้างความเสียหายกับครอบครัวผู้เสียชีวิต และภาพลักษณ์ของประเทศ ที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวไปทั่วประเทศและทั่วโลก รวมถึงได้มีการนำเรื่องอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร อาทิ ล่าสุด นายกูเฮง ยาวอฮาซัน ส.ส.พรรคประชาชาติ จังหวัดนราธิวาส ตั้งกระทู้สดถามรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม เหตุการณ์ครั้งหลังที่จังหวัดนราธิวาส

ตามคลิป เสนอข่าวรายการโอเวอร์วิวของ อาจารย์ศิโรจน์ คร้ามไพบูลย์ พิธีกรและนักวิชาการ เผยแพร่ครับ https://youtu.be/4-FAiZm0FIM
 



กำลังโหลดความคิดเห็น