xs
xsm
sm
md
lg

“คุยให้จบ-สยบดรามา” คาถานี้ท่องไว้ บทเรียนที่ “หนังน้องเดียว” จะก้าวต่อ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
โดย... ศูนย์ข่าวภาคใต้
 


 
เมื่อพูดถึง “นายหนังตะลุง” ผู้ดำเนินชีวิตในฐานะศิลปินผู้ทำการแสดงศิลปวัฒนธรรมประจำท้องถิ่นภาคใต้แล้ว ณ เวลานี้คนที่ถูกนึกถึงมากที่สุดคงหนีไม่พ้น “หนังน้องเดียว” หรือ นายบัญญัติ สุวรรณแว่นทอง ผู้มีเอกลักษณ์การเล่าเรื่องราวที่โดดเด่น น่าติดตาม มีการสาดมุกทำคนชมให้หัวเราะสนุกสนานต่อเนื่อง อันถือเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของนายหนังผู้พิการทางสายตามาแต่กำเนิด แต่กลับมากพรสวรรค์ที่เกิดจากพรแสวงในการแสดงหนังตะลุงได้เกินกว่าคนปกติทั่วๆ ไป
 
หากลองย้อนดูประวัติ “หนังน้องเดียว” จะพบว่า พ่อเสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุได้ราว 5 ขวบ ครอบครัวเหลือเพียงแม่คนเดียวที่ทำงานหาเลี้ยงลูก 3 คน ซึ่งแม่ต้องดิ้นรนทำมาหากินอย่างลำบากยากแค้น อีกทั้งต่อมาไม่นานพี่ชายคนเดียวก็มีอันต้องมาเสียชีวิตไปตามไปอีก เวลานี้เหลือแต่เพียงพี่สาวกับตัวเขาเท่านั้น ที่สำคัญลูก 2 คนที่เหลือกลับไม่สามารถบวชทดแทนบุญคุณแม่พ่อได้ ส่งผลให้ในชาตินี้แม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่สามารถที่จะ “จับชายผ้าเหลือง” ขึ้นสวรรค์กับลูกคนไหนได้เลย
 
ส่วนชีวิตการก้าวเข้าสู่แวดวงศิลปินของ “หนังน้องเดียว” แม้จะเริ่มต้นได้ค่อนข้างดีจากการได้รับการชักชวนจาก “เอกชัย ศรีวิชัย” นักร้องนักแสดงสายเลือดสะตอที่ถือเป็นซุปตาร์ระดับแนวหน้าเมืองไทย โดยชักชวนให้ไปร่วมคณะวงดนตรีลูกทุ่งในฐานะนักร้องหน้าเวทีเมื่ออายุได้เพียง 14 ปี และแค่ร่วมเดินสายตระเวนเปิดการแสดงได้ปีเดียว หัวหน้าวงก็ยอมรับในฝีมือถึงขั้นลงทุนปลูกบ้านให้ที่ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช
 
แต่เมื่อพี่สาวเพียงคนเดียวที่คอยช่วยเหลือและดูแลในระหว่างเดินสายกับวงดนตรี “เอกชัย ศรีวิชัย” ตัดสินใจแต่งงานมีครอบครัว ด้วยความที่ “หนังน้องเดียว” ตาบอดทำให้ขาดคนดูแล เขาจึงเดินสายร้องเพลงต่อไปไม่ได้อีก เพราะจำต้องกลับไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ที่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช
 
ช่วงที่กลับมาอยู่กับแม่นี่เองที่เขาเริ่มฝึกเล่นหนังตะลุงอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่เพียงเท่านั้นยังคิดจะทำเพลงอัดแผ่นซีดีขายหารายได้เลี้ยงครอบครัวด้วย จึงตัดสินใจนำที่ดินและสร้อยทองของแม่ไปแปลเป็นเงินนำมาใช้ดำเนินการ โชคดีที่เพลงชุดแรกขายดิบขายดีจนได้เงินไปใช้หนี้ได้ทั้งหมด หลังจากนั้นความเป็นนายหนังตะลุงก็เริ่มฉาวแววขึ้นเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นนายหนังน้องมากชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้
 


 
เมื่อพอได้ทราบที่มาที่ไปและประวัติบางช่วงบางตอนของชีวิตนายหนังคนดังไปบ้างแล้ว ลองมาสัมผัส “เรื่องราวดรามา” ที่ได้ซัดเข้าใส่หนังน้องเดียวในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ดูบ้าง ทั้งการพ่นพร่ำ “ด่าพระ” หรือแม้กระทั่งข่าวคราวในเรื่อง “ชู้สาว” ซึ่งก็ยังไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าตกลงแล้ว ตัวเขาเองหรือภรรยากันแน่ที่แอบนอกใจ หรือท้ายที่สุดแล้วแค่เป็นเรื่องที่ผู้คนในสังคมเข้าใจผิดกันไปเอง
 
ปฐมบทของเรื่องราวดรามาจนเป็นที่จับตาจากผู้คนในสังคมคงต้องย้อนกลับไปเมื่อค่ำคืนวันที่ 18 ต.ค.2562 ที่เพิ่งผ่านมา “หนังตะลุงน้องเดียว” ได้รับเงินค่าลาดให้ไปเล่นหนังตะลุงที่ “วัดเนินพิจิตร” ต.เนินพิจิตร อ.นาหม่อม จ.สงขลา เผอิญช่วงก่อนทำการแสดงมีแม่ค้าตามค้าขายกับคณะนำความไปบอกเล่าให้ได้ยินถึงหูว่า มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จาก “พระในวัด” ที่เปิดการแสดงทำนองว่า
 
“รับมาเล่นตั้ง 8 หมื่นแพง หากเป็นตนเองคงไม่จ้าง เพราะมานั่งเล่นอยู่คนเดียว”
 
และนั่นน่าจะเป็นจุดเริ่มของเคราะห์หามยามร้ายก็ว่าได้ เนื่องเพราะเมื่อนายหนังดังได้ฟังแล้วใช่แค่หูผึ่งเท่านั้น แต่กลับเกิดอาการ “ของขึ้น” ตามมาโดยฉับพลัน ส่งผลตลอดการแสดงคืนนั้น “หนังน้องเดียว” รู้สึกเหมือนตัวขึ้นธรรมมาส แสดงไปเทศน์ไป แต่แทนที่จะสาดมุกตลกให้คนชมได้หัวเราะ กลับกลายเป็นสาด “ผรุสวาท” ให้เป็นที่สงสัยใคร่รู้ตลอดเวลา และไม่เพียงเท่านั้นหลังเลิกแสดงกลับบ้านไปแล้วก็ยังตกค้างถึงขั้นต้องอัดคลิประบายต่อ ทั้งตำหนิและเชิงสั่งสอนพระสงฆ์องคเจ้าด้วยถ้อยคำที่รุนแรง แล้วนำไปลงยูทูปจนนักรบออนไลน์ช่วยกันแชร์เผยแพร่ส่งต่อในโซเซียลมีเดียกันไปอย่างสนุกสนาน
 
ไม่เพียงเท่านั้นคืนวันที่ 22 ต.ค.2562 ต่อมาขณะที่ “หนังน้องเดียว” ยังคงทำการแสดง เขาก็ยังมุ่งมั่นด่าทอและประกาศท้าให้ “พระคู่กรณี” ออกมาตั้งกล่องรับบริจาคเงินทำบุญแข่งกัน ฝ่ายใดได้เยอะกว่าถือว่าชนะ แล้วหากตนชนะพระที่ต่อต้านตนต้องสึกจากความเป็นสาวกพระพุทธเจ้า แต่หากตนแพ้ตนก็พร้อมจะเลิกเล่นหนังตะลุงไปตลอดชีวิต ซึ่งก็ได้เรียกกระแสวิพากษ์วิจารณ์เพิ่มขึ้นได้อีกแบบทบเท่าทวีคูณ
 
ขณะที่ศิลปินรุ่นพี่อย่าง “บ่าววี” หรือ นายวีรยุทธิ์ นานช้า นักร้องสายเลือดสะตอชื่อดัง ก็ได้ออกมาสะกิดเตือนศิลปินรุ่นน้องให้หยุดหรือเพลาๆ ท่าทีลงหน่อยด้วยถอยคำประมาณว่า “เรื่องแบบนี้ตนเองเจอบ่อย ขอให้น้องเดียวนิ่งๆ เอาไว้ คิดถึงวันที่ไม่มีอะไร คนจริงเห็นไม่รอดสักราย”
 


 
พลันที่กระแสความขัดแย้งถูกปั่นในสังคมจนแทบจะติดลมบน ไม่กี่วันหลังจากนั้นทางฝ่ายองค์กรสงฆ์ก็ไม่พร้อมที่จะนิ่งเฉยอีกต่อไป “พระราชวรเวที” เจ้าคณะจังหวัดสงขลา จึงได้ทำหนังสือร่อนถึงเจ้าคณะทุกอำเภอในพื้นที่ จ.สงขลา เพื่อขอความร่วมมือจากวัดต่างๆ ให้ระงับหรือยกเว้นการนำหนังตะลุงคณะ “หนังน้องเดียว ลูกทุ่งวัฒนธรรม” ไปเปิดการแสดงในวัดอีก
 
แถมยังกำชับกำชาถึงผู้รับสารอย่างหนักแน่นด้วยว่า จนกว่า “หนังน้องเดียว” จะแสดงความรับผิดชอบในพฤติกรรมของตนเอง โดยการขอขมาต่อคณะสงฆ์ โดยบันทึกคลิปการขอขมาดังกล่าวโพสต์ลงในยูทูป และให้ลบโพสต์ที่กล่าวใส่ร้ายพระสงฆ์ในยูทูปทั้งหมดออกจากระบบด้วย 
 
จากนั้นทิศทางของกระแสกลับผันผวนตีกลับ จากที่มีคนพร้อมเชียร์มากมาย กลายเป็นติติงถึงความก้าวร้าว ความไม่เหมาะสม ซึ่งต่อมาจะด้วยสำนึกได้เองหรือมีผู้ใหญ่ชี้แนะ สุดท้ายแล้วเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2562 “หนังน้องเดียว” ก็ยอมเดินทางไปที่วัดมหัตตมังคลารามหรือวัดหาดใหญ่ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อพบกับ พระครูสุวัฒนาภรณ์ หรือ อาจารย์ภัตร อริโย เจ้าอาวาสวัดนาทวี พระครูปลัดพลกฤต กลฺยาณธมฺโม เจ้าคณะตำบลหาดใหญ่ เขต 1 และ พระครูบัณฑิตธรรมาลังการ เจ้าคณะอำเภอสะเดา ซึ่งทั้ง 3 รูปได้รับมอบหมายจากเจ้าคณะจังหวัดสงขลาให้เป็นตัวแทนเพื่อคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้น
 
ไม่เพียงเท่านั้น “หนังน้องเดียว” ยังยินยอมทำพิธีขอขมาพระรัตนตรัยภายในวัดหาดใหญ่ในด้วย ซึ่งผู้คนในสังคมต่างก็มองว่าเรื่องราวความขัดแย้งกับพระสงฆ์องคเจ้าดูเหมือนจะจบลงไปแบบแฮปปี้แอนดิ้งได้นับจากนั้น
 


 
แต่แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรบันดาลให้กลายเป็นเรื่อง “ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก” เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2562 บนหน้าสื่อทั้งประเภทสื่อสารมวลชน และสื่อสังคมออนไลน์กลับปรากฏชื่อของ “หนังน้องเดียว” ผงาดขึ้นมาอีกคราครั้ง
 
ด้วยมีข่าวว่า “หนังน้องเดียว” บุกขึ้นโรงพักเข้าแจ้งความต่อตำรวจเพื่อให้ช่วยตามหา “ภรรยา” ที่หนีไปอ้อมอกอุ่นๆ พร้อมๆ รถยนต์โตโยต้าฟอร์จูนเนอร์และรถยนต์โตโยต้ายาริส แถมยังหยิบเอาทั้ง “สมุดบัญชีธนาคาร” และ “สมุดบันทึกคิวรับงานรับการแสดง” ติดไม้ติดมือไปด้วย 
 
แน่นอนข่าวดังกล่าวนี้เกี่ยวข้องกับศิลปินคนดัง ที่สำคัญเพิ่งจะมีเรื่องราวฉาวๆ ดังๆ ที่ยังไม่ทันจางหาย นั่นย่อมได้รับความสนใจจากชาวเน็ตเป็นอย่างยิ่ง เพราะใครต่อใครก็รู้จัก “หนังน้องเดียว” โดยเฉพาะเพิ่งจบศึกเรื่องดรามาด่าพระมาหมาดๆ กลับมีข่าวฉาวฉายกระซ่านกระเซ็นต่อเติมตามกันมาติดๆ อีกต่างหาก
 


 
ถัดมาอีกแค่เพียงชั่วข้ามคืนหรือวันที่ 5 ธ.ค.2562 นางสุนิสา สุวรรณแว่นทอง หรือ “น้องจิ๊ป” ผู้เป็นภรรยาพร้อมด้วย 2 ลูกน้อยหน้าตาบ้องแบ๊ว รวมทั้งมารดา น้องสาว และทนายความได้เดินทางไปพบพนักงานสอบสวน สภ.ทุ่งสง เพื่อขอลงบันทึกประจำวันไว้เพื่อเป็นการชี้แจงกรณีที่ “หนังน้องเดียว” ได้ไปแจ้งความว่า ภรรยาหนีไปพร้อมกับรถยนต์ 2 คันและสมุดคิวรับงานการแสดง
 
“น้องจิ๊ป” ชี้แจงว่าไม่ได้หนีไปไหนตามที่สามีกล่าวอ้าง และยังอยู่บ้านที่ทุ่งสงตลอด อยู่ดูแลลูกทั้ง 2 คน โดยตัวนายหนังเองที่ไม่ได้กลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม ส่วนเรื่องของ “สมุดคิวงานเล่นหนังตะลุง” ตนเป็นคนรับคิวหนังเอง และจะมีการแจ้งคิวงานแต่ละคืนลงในไลน์กลุ่มของคณะหนังตะลุง ซึ่งทุกคนในวงรวมถึง “หนังน้องเดียว” ก็รู้ และเรื่องคิวการแสดงไม่ได้มีปัญหาอะไร เจ้าภาพคนใดจะติดต่อจ้างหนังก็ยังคงติดต่อมาที่ตนเหมือนเดิม ขณะตนเองพยายามโทรหานายหนังแต่เขาไม่ยอมรับสาย
 
สำหรับเรื่องราวปัญหาครอบครัวที่เกิดขึ้น ความจริงเป็นปัญหาที่มีมานานแล้ว โดย “หนังน้องเดียว” กับ “น้องจิ๊ป” มีปัญหาระหองระแหงกันเนื่องจากภรรยาจับได้ว่า สามีแอบไปมี “ภรรยาน้อย” เป็นคนแถวภาคอีสาน ที่ผ่านมาทั้งคู่เคยกลับมาคืนดีกันเพราะเห็นแก่ลูก แต่มาทราบภายหลังอีกทีว่ายังคงติดต่อกับภรรยาน้อยอยู่
 
ไม่เพียงเท่านั้นช่วงปลายเดือน ธ.ค.2562 “หนังน้องเดียว” มีแผนจะเดินทางไปสู่ขอภรรยาน้อยที่ภาคอีสานอย่างเป็นการเป็นงาน จึงได้มีการระหองระแหงกันอีกถึงขั้นจะลงไม้ลงมือ แล้วนายหนังเองต่างหากที่ไปแจ้งความ จนทำให้เรื่องแดงขึ้นมานั่นเอง
 


 
สำหรับชะตาชีวิตค่อนข้างดรามาที่เกิดขึ้นกับ “หนังน้องเดียว” เวลานี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันไปมากแล้วว่า เป็นธรรมดาของวงการมายาที่ว่าเมื่อเกิดกระแส “ขาลง” อันเนื่องจากปรากฏการณ์ด่าพระ ก็ต้องหาทางเลี้ยงชื่อเสียงที่เคยติดลมบนไว้อย่าให้สายขาด ด้วยการ “สร้างข่าว” เพียงเพื่อเรียกร้องการรับรู้ของสังคม หรือบ้างก็ว่านี่แหละ “ผลกรรมตามทัน” ชนิดติดหัวจรวดเลย 
 
แต่เชื่อเหลือเกินว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่ถาโถมเข้าใส่ชีวิตของ “หนังน้องเดียว” นั่นคงไม่เป็นผลดีกับหน้าที่การงานของ “คณะหนังน้องเดียว ลูกทุ่งวัฒนธรรม อย่างแน่นอน ซึ่งที่ผ่านๆ มาเคยมีการต้องจองคิวงานกันแบบข้ามเดือนข้ามปี การพูดคุยเคลียร์ปัญหากันภายในครอบครัวเพื่อให้สามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้นั้น จึงเป็นหนทางที่ควรกระทำเป็นอันดับแรก
 
ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าเรื่องราวปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัวของ “นายหนังตะลุงตาบอด” ชื่อดังจะดำเนินต่อไปอย่างไรก็คงต้องติดตามกันต่อไป
 




กำลังโหลดความคิดเห็น