คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ / โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
ต้องยอมรับความจริงว่าสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อนจะสิ้นปี 2562 ความรุนแรงยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง และเหตุการณ์รุนแรงที่สุดที่มีชาวบ้านเป็นผู้รับเคราะห์กรรมคือ การที่ “โจรใต้” หรือ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน “บีอาร์เอ็น” รุมถล่มจุดตรวจ ชรบ.บ้านทางลุ่ม ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา จนเกิดความสูญเสียสูงถึง 15 ศพ
หลังเหตุการณ์นั้นก็เป็นธรรมดาอยู่ที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องปฏิบัติการอย่างเข้มข้นด้วยการ “ไล่ล่า” บรรดาโจรใต้ หรือแนวร่วมทั้งเครือข่ายที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ ซึ่ง “ฉก.ปัตตานี” ก็ประสบความสำเร็จในการ “วิสามัญ” แนวร่วมระดับปฏิบัติการได้อีก 2 ศพ ที่บ้านคอตันหยง ต.บางเขา จ.ปัตตานี
ที่สำคัญมากคือ ในการวิสามัญครั้งนี้เจ้าหน้าที่ยึดหลักฐานได้มากมาย ส่วนหนึ่งเป็นหลักฐานที่บ่งบอกถึงแผนการก่อเหตุทั้งในและนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งมีรายชื่อคน วิธีการปฏิบัติการ อันทำให้รู้ว่าพื้นที่ไหนเป็น “หมู่บ้านเข้มแข็ง” หรือ “หมู่บ้านที่กำลังฟักตัว” หรือ “หมู่บ้านที่ยังต้องเฝ้าระวัง” ของฝ่ายขบวนการบีอาร์เอ็น
ปฏิบัติการไล่ล่าที่เป็นงานในเชิง “ยุทธวิธี” อันถือเป็น “งานถนัด” ของผู้บริหาร กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งแม้ขณะนี้ก็ยังคงเปิด “ยุทธการ” ในชื่อต่างๆ ด้วยการส่ง “ชุดปฏิบัติการจรยุทธ์ (ชป.จรยุทธ์)” จำนวนมากมายเข้าไปกดดัน ไล่ล่าและตรวจค้น ตั้งแต่หมู่บ้านไปจนถึงเทือกเขาต่างๆ ที่เชื่อมต่อในพื้นที่ 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส
.
แต่หลายครั้งในการเข้าไปปฏิบัติการของ “ชป.จรยุทธ์” ก็ไม่มีการประสานแผนกับกองกำลังของ “ฉก.ในพื้นที่” แต่อย่างใด!!
.
สุดท้าย ชป.จรยุทธ์ก็ “พลาดพลั้ง” เมื่อนำกำลังเข้าลาดตระเวนในเทือกเขาตะเว ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส แล้วปฏิบัติการวิสามัญชาวบ้านไป 3 ศพ ซึ่งทั้งหมดเป็นคนในหมู่บ้านที่เข้าป่าไปทำไม้เถื่อน ทั้งนี้ การลักลอบทำไม้เถื่อนและหาของป่าเป็นอาชีพของคนบางกลุ่มในพื้นที่ดังกล่าวมาเนิ่นนานแล้ว
มีความเป็นไปได้ด้วยว่ามอดไม้เหล่านี้อาจจะเป็นสมาชิกของขบวนการแบ่งแยกดินแดน และอาจจะทำหน้าที่ส่ง “ข่าวสาร” และ “ส่งเสบียงอาหาร” ให้แก่ “อาร์เคเค” หรือ “กองกำลังคอมมานโด” ของบีอาร์เอ็นที่เคลื่อนไหวอยู่บนเทือกเขา ทั้งนี้ ก็เพื่อความ “อยู่รอด” และ “อยู่ร่วม” ได้ระหว่าง “โจร” กับ “ชาวบ้าน” จึงจำเป็นอยู่เองที่ผู้อาศัยอยู่ตีนเขาจำต้องเป็นแนวร่วมทั้งแบบ “จำเป็น และ “จำยอม” นั่นเอง
ประเด็นของ “ความผิดพลาด” ไม่ได้อยู่ที่การพลาดพลั้งไปวิสามัญคนทำไม้เถื่อนเพียงประการเดียว เนื่องจากการที่ทหารเข้าใจผิดแล้วยิงชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ตายเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งหลายครา เพราะสิ่งนี้ก็นับเป็น “กลศึก” ที่ฝ่ายตรงข้ามวางไว้เพื่อให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตกหลุมพราง จากนั้นจะได้นำไปใช้เป็น “เงื่อนไข” สร้าง “สงครามประชาชน” ให้เกิดขึ้นเป็นจริงเป็นจัง
.
ซึ่งจะว่าไปแล้วเวลานี้สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ถูกพัฒนาไปสู่ “สงครามกองโจร” อย่างอยากปฏิเสธไปแล้ว!!
.
ประเด็นสำคัญที่สุดคือ หลังจากที่รู้ว่าเป้าหมายที่ถูกวิสามัญเสียชีวิตไม่ใช่อาร์เคเคอย่างที่เข้าใจ แทนที่จะเร่งแก้ไขปัญหาด้วยการ “ยอมรับ” ถึงความผิดพลาด แต่เปล่าเลย!!
.
เพราะหลังปฏิบัติการผิดพลาดยังได้พยายามที่จะทำให้ “มอดไม้” ที่ทำผิดแค่กฎหมายป่าไม้ได้กลายเป็น “นักรบ” ระดับอาร์เคเคให้จงได้ อันเป็นการยกระดับสู่ความผิดด้านความมั่นคงและต้องรับโทษฐานแบ่งแยกดินแดน
.
ด้วยการใช้ “นักข่าว 4,500” ในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้ปีกโอบเขียนรายงานข่าวแบบตีไข่ใส่สีให้เห็นว่า มีการ “ปะทะ” กันอย่างดุเดือดระหว่างเจ้าหน้าที่กับอาร์เคเคถึง 2 ระลอก แถมยังบรรยายอย่างตื่นเต้นมากสีสันด้วยว่า ฝ่ายอาร์เคเคมีจำนวนมากถึงกว่า 10 คน
ไม่เพียงเท่านั้น หลังการปะทะยังระบุอย่างหน้าตาเฉยว่า ฝ่ายตรงข้ามเจ้าหน้าที่รัฐสูญเสียไป 3 ศพ ส่วนที่เหลือราว 10 ชีวิตอาศัยความชำนาญพื้นที่หลบหนีไปได้ และที่น่าตื่นตาตื่นใจก็คือ เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพื้นที่หลังปะทะก็ได้พบปืน 2 กระบอก โดยเป็น “ปืนสงคราม” หรือ “อาก้า” 1 กระบอก และเป็นปืนพกสั้น 9 มม.อีก 1 กระบอก
.
ประเด็นนี้ต่างหากที่ต้องถือเป็น “จุดตาย” ของสถานการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นแบบจงใจ!!
.
ทั้งที่ข้อเท็จจริงมีชาวบ้านที่ขึ้นเขาเข้าป่าไปตัดไม้เถื่อนด้วยกันรวม 6 คน ซึ่งสามารถหลบหนีจากการถูกวิสามัญกลับเข้าหมู่บ้านได้ 3 คน ส่วนที่ถูกวิสามัญ 3 ศพเชื่อว่าหนีไม่ทันและถูกล้อมจับได้เสียก่อน
.
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้เรื่องราวจะเป็นอย่างไรก็ต้องไป “พิสูจน์” กันที่สภาพของศพว่า เป็นการยิงในระยะ “เผาขน” หรือ “ระยะไกล” และ “บาดแผล” ที่ถูกยิงอยู่บริเวณไหน แต่ประเด็นนี้ครอบครัวผู้สูญเสียก็ไม่ได้ติดใจ เพราะต้องการแค่นำศพไปฝังให้ทันตามพิธีกรรมที่ศาสนาอิสลามกำหนดไว้เท่านั้น
สิ่งที่ชาวบ้านต่างเชื่อกันไปแล้วคือ “มีการสร้างสถานการณ์” ให้ “ผิด” กลายเป็น “ถูก” ทั้งที่ฝ่ายชาวบ้านที่เสียชีวิตมีความผิดแค่เพียงเป็น “มอดไม้” ถ้าจับได้ก็ผิดกฎหมายในเรื่องการทำไม้เถื่อนเท่านั้น ซึ่งเป็นโทษที่ไม่ถึงตายแต่อย่างใด ผิดกับการเป็นกองกำลังอาร์เคเคที่เป็นคดีความมั่นคง อันต้องโดนโทษหนักสาหัสสากรรจ์ทีเดียว
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อที่ให้ฝ่าย “เจ้าหน้าที่พ้นผิด” อีกทั้งยังจะได้รับ “ความดีความชอบ” จากการปลิดชีพกองกำลังฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จ อันเป็นไปตามคำสั่งของ “ผู้นำ” ที่ต้องการสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์อีกด้วย!!
ทว่า หลังจากมีกระแสแสดงความไม่พอใจหนักหน่วงสะพัดไปทั่ว ทั้งจากชาวบ้านในพื้นที่ รวมถึงประชาชนคนไทยที่ได้รับข่าวสารข้อมูลที่ยากจะปิดกั้นได้ในเวลานี้ เพื่อมิให้สถานการณ์บานปลาย พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จึงต้อง “ยืดอก” แสดงความเป็น “ชายชาติทหาร” ออกมาแถลงข่าวยอมรับว่า
.
เป็นการปฏิบัติการผิดพลาดของ “ชป.จรยุทธ์” ที่เห็นมอดไม้กลายเป็นอาร์เคเค!!
.
ประเด็นนี้ก็ต้องขอชื่นชม พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ ในฐานะเจ้าของคำวลีเด็ดที่พูดกับชาวบ้านไว้หลายเวทีว่า สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุกฝ่ายต้อง “พูดความจริง” และ “แม่ทัพ” เองก็พร้อมรับได้กับความจริงที่เกิดจากความผิดพลาดของผู้ใต้บังคับบัญชา
.
มีประเด็นที่ผู้คนในสังคมและโดยเฉพาะฝ่ายชาวบ้าน “ยังคาใจ” ต่อเนื่องมาจนเดี๋ยวนี้ก็คือ
.
ประการหนึ่ง “ปืนสงครามและปืนสั้นรวม 2 กระบอก” เป็นของใคร? มีที่มาที่ไปอย่างไร? อีกประการหนึ่ง “มีเหตุปะทะ” กันเกิดขึ้นจริงหรือไม่? ซึ่งหากไม่มีการปะทะนั่นแสดงว่าปืนทั้ง 2 กระบอกย่อมไม่ใช่ของฝ่ายมอดไม้? และประการสุดท้ายภาพเหตุการณ์ที่ถูกเผยแพร่ช่วงหลังเกิดเหตุแทบจะทันทีนั้น เกิดจากการ “จัดฉาก” หลังปฏิบัติการผิดพลาดของฝ่ายเจ้าหน้าที่ใช่หรือไม่?!
.
อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการแถลงข่าวของฝ่ายเจ้าหน้าที่ในตอนหลังๆ ปรากฏว่าเรื่องราวของปืน 2 กระบอกได้ “อันตรธาน” ไปอย่างไร้ร่อยรอย!!
.
รวมถึงสภาพผู้เสียชีวิตทั้ง 3 ศพที่ “นอนคุดคู้” แบบ “ไม่สวมเสื้อ” ซึ่งไม่ต้องถึงขั้นผู้เชี่ยวชาญหรือชำนาญการอะไรเลยก็ดูออกว่า สภาพเช่นนี้เป็นผลจากการ “ต่อสู้” ถึงขั้น “ปะทะดุเดือด” หรือไม่?!
.
ความที่ชาวบ้านในพื้นที่และผู้คนในสังคมไทยยังคาใจมากมายกับเรื่องราวเหล่านี้ จึงต้องนับเป็นอีกประเด็นใหญ่ที่มีแนวโน้มจะกลายเป็น “ปมเงื่อน” อันเป็นการเพิ่ม “ไฟแค้น” ให้แก่สถานการณ์ของ “วิกฤตไฟใต้” ได้ลุกโชนต่อเนื่องต่อไปอย่างยากจะมอดดับลงได้เลย
.
ก็ได้แต่หวังว่า “คณะกรรมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่ กอ.รมน.ภาค 4 แต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจสอบในเรื่องนี้จะสามารถให้ “คำตอบ” แก่สังคมจนคลายความฉงนสนเท่ห์ได้
.
เพียงแต่ขออย่าให้ดำเนินไปซ้ำรอยแบบเดียวกับการเข้าไปทำการตรวจสอบการตายของ “อับดุลเลาะ อีซอมูซอ” ที่มีอาการ “สมองตาย” ตั้งแต่ถูกควบคุมตัวอยู่ใน “ศูนย์ซักถาม” ภายใน “ค่ายทหาร” ซึ่งปรากฏเป็นข่าวใหญ่โตมาแล้ว และจนถึงทุกวันนี้สังคมยังไม่คลายข้อกังขากับการทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการชุดดังกล่าวนี้
ประเด็นสำคัญยังมีอีกประการที่ทุกฝ่ายควรต้องขบคิดคือ ในอนาคตหลังจากนี้ถ้าเจ้าหน้าที่มีการวิสามัญกลุ่มอาร์เคเคเกิดขึ้นจริง จากนั้นมีการแถลงข่าวถึงการปะทะกันจริง และมีอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นหลักฐานที่ประจักษ์ชัดจริง คิดว่าผู้คนในสังคมยังจะให้ความเชื่อถือต่อบรรดา “โฆษก” หรือ “ฝ่ายประชาสัมพันธ์” ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า อยู่หรือไม่?!
.
สิ่งนี้อาจจะกลายเป็นอีก “วิกฤตศรัทธา” ครั้งใหม่และครั้งใหญ่ที่พุ่งเข้าใส่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้หรือไม่?!
.
และจริงหรือไม่ที่มีข่าวว่า การปฏิบัติการของ “ชป.จรยุทธ์” ในหลายๆ ครั้ง “ไม่เคยประสาน” กองกำลังในพื้นที่ให้รับทราบ หรือแม้แต่ในครั้งนี้ก็เช่นกัน ที่กองกำลังทหารใน อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ก็ “ไม่ได้รับรู้” มาก่อนว่าจะมีปฏิบัติการไล่ล่าอาร์เคเคบนเทือกเขาตะเว ไม่เพียงเท่านั้น หลังมี “ความผิดพลาดเกิดขึ้น” กองกำลังทหารในพื้นที่ยังกลับถูก “กีดกัน” ไม่ให้เข้าไปในที่เกิดเหตุอีก ทั้งที่มีความคุ้นเคยทั้งกับผู้คนและภูมิประเทศก็ตาม
.
หรือว่าวันนี้แม้แต่ทหารด้วยกันต่างก็ “ไม่ไว้วางใจกัน” แล้วกระนั้นหรือ?! เพราะต่างคนต่างมีเป้าหมายปฏิบัติการเพื่อสร้าง “ผลงาน” รวมถึงสร้าง “ความดีความชอบ” เพื่อให้เข้าตา “นาย” มากกว่ากันอย่างนั้นหรือ?!
.
โดยข้อเท็จจริงปฏิบัติการทางทหารย่อมเกิด “ความผิดพลาด” ขึ้นได้ตลอดเวลา และเหตุการณ์ผิดพลาดอย่างนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง อย่างที่สังคมจำได้แม่นยำก็มีอาทิ เหตุการณ์ยิงชาวบ้านที่ ต.ปุโละปูโย อ.เมือง จ.ปัตตานี เหตุการณ์ยิงชาวบ้านที่บ้านโต๊ะชูด อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี แม้แต่การยิงเด็กเล็กเสียชีวิตในตลาดสดเพราะความเข้าใจผิดหรือหวาดระแวงก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เป็นต้น
ทั้งนี้ ก็เนื่องจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็ต้องรักษาชีวิตของตนเองเท่าๆ กับที่ต้องทำลายเป้าหมายที่เป็นฝ่ายตรงข้าม ความผิดพลาดจึงเกิดขึ้นได้สำหรับ “คนที่ทำงาน” ซึ่งแตกต่างอย่างแน่นอนกับ “คนที่ไม่ได้ทำงาน” พวกเขาจะไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เลย หรือหากจะเปรียบเทียบได้กับ “นักรบในสนาม” กับ “นักรบเพาเวอร์พอยนต์” ก็น่าจะได้
แต่เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นสมควรต้องรับผิดโดยเร็ว ต้องเร่งคลี่คลายสถานการณ์อย่าปล่อยให้ตึงเครียดสะสมจนเกินเลย และที่สำคัญต้องไม่สร้างสถานการณ์ด้วยการ “ป้ายสี” ให้คนที่ตายไปแล้วต้องแบกรับ “ตราบาป” ที่เขาเองไม่ได้ก่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องระมัดระวังและต้องไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำรอยขึ้นอีก
เพราะสังคมเชื่อว่าถ้ารู้ว่าผิดและยอมรับโดยไม่พยายามจัดฉากให้เป็นอย่างอื่น การทำความเข้าใจต่อฝ่ายสูญเสีย การขอโทษและการเยียวยาจะทำได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญจะไม่เป็นการ “จุดไฟแค้น” ให้เกิดขึ้นในหัวใจของผู้คน เนื่องจากไฟใต้ที่คุโชนอยู่ก็ยากที่จะดับได้อยู่แล้ว
.
ว่ากันว่าสิ่งที่จะทำให้ขบวนการบีอาร์เอ็นได้รับชัยชนะก็คือ การ “จุดไฟแค้น” ให้เกิดขึ้นในหัวใจของผู้คนนั่นเอง!!
.
ณ วันนี้ไฟใต้ไม่เพียงแต่ “คุคั่ง” จากสถานการณ์ทั้ง “ชาวไทยพุทธ” และ “ชาวไทยมุสลิม” ต่างรู้สึกว่าฝ่ายตนกำลังถูกกระทำอย่างหนัก จนถือเป็นบรรยากาศที่ยากจะนำไปสู่ “ความปรองดอง” ยากที่จะร่วมกันสร้าง “พหุวัฒนธรรม” อันถือเป็นงานยากของผู้ที่ถูกแต่งตั้งให้เป็น “คณะทำงาน” เพื่อสร้างบรรยากาศของการ “พูดคุยสันติสุข” ให้เป็นจริง
ประเด็นสำคัญของปรากฏการณ์ไฟใต้ในวันนี้อีกประเด็นคือ การที่มี “กลุ่มไทยพุทธ” ออกมาขับเคลื่อนคัดค้านการสร้าง “มัสยิด” ขึ้นใหม่ในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ถึงขั้นมีการรุกยื่นหนังสือถึง “จุฬาราชมนตรี” เพื่อให้แก้ปัญหาไปแล้ว แถมยังมีความพยายามสร้าง “ข่าวปลอม” หรือ “เฟกนิวส์” ให้แพร่ระบาดมากมาย ซึ่งจะด้วยฝีมือขบวนการบีอาร์เอ็นหรือไม่ก็ตาม แต่เป้าประสงค์เพื่อให้กลายเป็น “สงครามประชาชน” อย่างแท้จริง
นี่ก็เป็นอีกประเด็นร้อนเหมือน “ก่อไฟกองใหม่” เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นการช่วยขยายไฟใต้ให้ลุกลามไปทั่ว และอาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งจนกลายเป็น “สงครามศาสนา” ก็เป็นได้ ซึ่งถ้าหน่วยงานต่างๆ ยังพยายามที่จะไม่สนใจ ยังทำเป็นแบบเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ หรือยังมีความพยายามปิดบังอำพรางด้วยเป็น “งานถนัด” นั่นเท่ากับเป็นการ “ซุกกองไฟไว้ใต้พรม” เข้าไปอีก
เชื่อว่าหลายๆ เงื่อนไขดังที่ว่ามาเป็นแผนของขบวนการบีอาร์เอ็นในการวาง “กลยุทธ์” และ “กลศึก” เพื่อให้ทั้งคนพุทธและมุสลิม รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐเดินเข้าสู่ “กับดัก” และแม้แต่เรื่องของการชักนำ ชป.จรยุทธ์เข้าสู่เทือกเขาตะเวก็อาจเป็นหนึ่งใน “หลุมพราง” ที่บีอาร์เอ็นขุดล่อเอาไว้ก็เป็นได้
ถ้าสังเกตให้ถี่ถ้วนจะเห็นว่าบีอาร์เอ็นชื่นชอบที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะใช้ “ชป.จรยุทธ์” เข้าปิดล้อม ตรวจค้นและไล่ล่าทั้งในชุมชนและบนเทือกเขา เพราะการยิ่งปฏิบัติการบ่อยครั้งเท่าไหร่ ยิ่งกระทบต่อวิถีชีวิตของคนในพื้นที่มากขึ้นเท่านั้น หากผิดพลาดก็สามารถขยายสู่สังคมวงกว้าง อันนำไปสู่กระแสความไม่พอใจต่อเจ้าหน้าที่จะยิ่งสูงปรี๊ดขึ้นเรื่อยๆ
.
นี่คือชัยชนะในงานมวลชนของบีอาร์เอ็น ขณะเดียวกัน ก็เป็นการเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า อย่างยากจะหลีกเลี่ยง!!
.
ความจริงแล้วบีอาร์เอ็นต้องการ “ผู้นำหน่วยแบบนี้” และต้องการให้ผู้นำแบบนี้ “อยู่ในพื้นที่” ให้ยาวนานที่สุด ซึ่งวิธีการที่ใช้ก็คือให้ “องค์กรภาคประชาสังคม” และ “องค์กรศาสนา” ต่างๆ ช่วยกันยกย่อง ชื่นชม หรืออวยแบบสุดๆ ต่อตัวผู้นำแบบนี้ อีกทั้งให้การรับรองกับ “รัฐบาล” และ “กองทัพ” ว่ามาตรการดับไฟใต้ “เดินมาถูกทางแล้ว” ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นการเดินถูกทางที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐเป็นผู้กำหนด
ในขณะเดียวกัน บีอาร์เอ็นก็จะรู้ว่าบรรดา “นายพล” หรือ “นายพัน” คนไหนที่เป็นภัยหรือรู้ทันก็มักจะถูกกดดันให้โยกย้ายออกจากตำแหน่งหน้าที่ด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งในอดีตเคยมี “นายพลท่านหนึ่ง” ในสังกัด กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่บีอาร์เอ็นเกรงกลัว เพราะรู้และเข้าใจยุทธศาสตร์ยุทธวิธีของบีอาร์อาร์เอ็นเป็นอย่างดี จึงถูกแซะออกจากพื้นที่ด้วยวิธีการ “ป้ายสี” กับผู้ใหญ่ในกองทัพในข้อหาตั้งแต่ “เลี้ยงโจร” ไปจนถึงมี “เมียน้อย” เป็นมุสลิมมะห์มาแล้ว
ทั้งหมดทั้งปวงที่กล่าวมาเพียงต้องการบอกกับผู้อ่าน “จุดคบไฟใต้” ว่าสถานการณ์ในไฟใต้ปี 2563 ที่ใกล้จะมาถึงนี้ เชื่อว่าจะยังเป็นปีที่บีอาร์เอ็นยังยืนหยัดใน “ยุทธศาสตร์” เดิมๆ นั่นคือการใช้ “ความรุนแรง” ต่อเจ้าหน้าที่รัฐและกองกำลังประชาชนติดอาวุธ เพื่อหลอกล่อให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ตอบโต้ด้วย “ความรุนแรง” ไม่ต่างกัน
.
อีกทั้งเชื่อว่าในปี 2563 ที่จะเป็นปีที่เริ่มขับเคลื่อนกระบวนการ “พูดคุยสันติสุข” ครั้งใหม่ ซึ่งถ้าสังเกตให้ถี่ถ้วนก็จะเห็นว่า การตั้งโต๊ะพูดคุยสันติสุขทุกครั้ง สถานการณ์ไฟใต้มีแต่จะทวีความรุนแรงขึ้นเท่านั้น!!
.
อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าถ้าจับประเด็นจาก “เอกสาร” ที่ยึดได้จาก “แกนนำ” ขบวนการบีอาร์เอ็น และจากการ “ซักถาม” ผู้ที่ร่วมขบวนการก็น่าจะเชื่อได้ว่า ช่วงปี 2563 จะมีการ “ก่อการร้ายนอกพื้นที่” 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อยอย่างแน่นอน
มิพักต้องพูดถึงพื้นที่อื่นๆ ของภาคใต้ ซึ่งประมาทไม่ได้เลยก็คืออาจจะมีการก่อเหตุทะลวงเข้าไปถึงใน “เมืองหลวง” ของประเทศ เพราะนี่คือ “จุดแข็ง” ที่บีอาร์เอ็นใช้ข่มขู่รัฐไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่อถึงเวลาต่อรองในเวทีของการพูดคุยสันติสุข
.
เนื่องเพราะเท่าที่ทราบ “ยุทธศาสตร์” ของบีอาร์เอ็นสำหรับปี 2563 ไม่เปลี่ยนแปลง ด้าน “ยุทธวิธี” ก็ไม่น่าจะแตกต่างไปจากปี 2562 ที่ผ่านมา
.
จึงอยู่ที่ว่ารัฐบาล กองทัพ และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบมาตรการดับไฟใต้จะมีการกำหนด “ยุทธศาสตร์” และใช้ “ยุทธวิธี” ในการรับมืออย่างไร และจะเอาใครมาเป็น “แม่ทัพนายกอง” เพื่อให้มีความเท่าทัน “หมากกล” ของบีอาร์เอ็น
.
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อ “หยุดเลือด” เพื่อ “ลดความสูญเสีย” และเพื่อนำพาจังหวัดชายแดนภาคใต้ออกจาก “ดาวมฤตยู” ไปสู่ “แสงสว่าง” ที่แท้จริง!!
.
โดยเฉพาะต้องหยุด “วาทกรรม” ของผู้คนในสังคมที่ชอบกล่าวกันมาตลอด 16 ปีว่า “ใต้สงบ งบฯไม่มา” ให้ได้โดยสิ้นเชิง?!?!