โดย... เมือง ไม้ขม
ช่วงเดือน พ.ย.2562 นี้ “นักรบขบวนการบีอาร์เอ็น” ปฏิบัติการเข่นฆ่า “ประชาชนผู้บริสุทธิ์” ตกตายไปอย่างน่าใจหาย โดยเหตุการณ์แรกถล่มป้อมค่ายชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน(ชรบ.) ที่ ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา มีผู้เสียชีวิต 15 ราย แล้วตามด้วยการประกบยิงสามีภรรยาที่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี เสียชีวิตไปอีก 2 ราย โดยทั้ง 17 ศพเป็นพี่น้อง “ชาวไทยพุทธ” ถึง 15 ศพ ถือเป็นเรื่องราวเขย่าขวัญสังคมไทยแบบสุดๆ เลยก็ว่าได้
จึงมีคำถามจากคนในพื้นที่ว่าทั้ง 2 เหตุการณ์ได้ส่งผลกระทบ “โครงการพาไทยพุทธคืนถิ่น” ที่มีแม่งานหลักคือ พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) โดยการสนับสนุนอย่างแข็งขันจาก กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า(กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ซึ่งดำเนินการช่วง 1 ปีที่ผ่านมาหรือไม่? อย่างไร?
ความจริงแล้ว ศอ.บต.ในฐานะหน่วยงานฝ่ายพลเรือน ซึ่งแม้เวลานี้จะมีนายพลจากกองทัพเรือถูกโยกมานั่งกุมบังเหียนก็ตาม แต่บทบาทหลักที่ถูกวาดวางไว้คือ ให้รับผิดชอบงานการพัฒนาด้านต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเป็นด้านหลัก เพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่ๆ ส่งเสริมอาชีพเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่ทั้งในภาคการเกษตร การท่องเที่ยว การค้า การลงทุนและภาคอุตสาหกรรมต่างๆ
.
ทั้งนี้ทั้งนั้นมีเป้าหมายในเรื่องของการลดเงื่อนไขการอพยพโดยย้ายของผู้คนออกจากพื้นที่รวมอยู่ด้วย ซึ่งโครงการพาไทยพุทธคืนถิ่นจึงมีความสำคัญไม่แพ้กัน
.
สถานกาณณ์ไฟใต้ในเวลานี้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการพัฒนาเศรษฐกิจแทบจะทุกด้านอย่างหนักหน่วง ภาพที่ประจักษ์ชัดคือความถดถอยของภาวะเศรษฐกิจตามหัวเมืองชายแดนต่างๆ โดยเฉพาะด้าน อ.สะเดา-อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา อ.สุไหงโก-ลก-อ.ตากใบ จ.นราธิวาส และ อ.เบตง จ.ยะลา การท่องเที่ยวและการค้าขายบริเวณชายแดนถูกฉายภาพชัดอย่างน่าใจหายใจคว่ำ เนื่องจากฝ่ายความมั่นคงเปิดปฏิบัติการสแกนพื้นที่อย่างเข้มข้นทุกกระเบียดนิ้ว ซึ่งหากเป็นผลกระทบระยะสั้นๆ ก็ดีไป แต่หากต่อเนื่องทอดเวลานานเนินออกไปมีแต่ยิ่งถลำลึก มิพักต้องกล่าวถึงการผลักดันโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ต่างๆ เพื่อจุดพลุเศรษฐกิจระลอกใหม่ๆ
นี่จึงเป็นอีกหนึ่งบททดสอบต่อ พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต.ว่า จะสามารถทำความเข้าใจกับบรรดานักลงทุนจากต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนได้หรือไม่ เพื่อมิให้เกิดภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจ
หันมาว่าด้วยผลกระทบต่อโครงการพาไทยพุทธคืนถิ่น เชื่อว่าเหตุร้ายล่าสุดที่ต้องสูญเสียพี่น้องประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธถึง 15 ศพ กณรีนี้ไม่น่าจะทำให้เกิดการอพยพโยกย้ายทิ้งถิ่นฐานของไทยพุทธออกจากจังหวัดชายแดนภาคใต้เพิ่มขึ้นไปอีกอย่างมีนัยะ เนื่องจากกว่า 15 ปีที่ไฟใต้ระลอกใหม่ปะทุคุโชน ก็มีชาวไทยพุทธตกเป็นเหยื่อไปแล้วจำนวนมากมาย พร้อมๆ กับมีการอพยพโยกย้ายหนีหายไปแล้วก็เป็นจำนวนมากมายเช่นกัน
จากตัวเลขอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานรัฐที่เชื่อถือได้ระบุว่า ช่วงก่อนปี 2547 ที่เป็นต้นกำเนิดไฟใต้ระลอกใหม่ ในพื้นที่ 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส มีชาวไทยพุทธอาศัยอยู่กว่า 200,000 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของประชากรทั้งหมดในพื้นที่ แต่ในเวลานี้ที่เป็นห้วงก่อนสิ้นปี 2562 เหลือชาวไทยพุทธอาศัยในพื้นที่อยู่เพียงประมาณ 50,000 คนเศษ
จึงเชื่อกันว่าคนไทยพุทธที่เหลือกว่า 5 หมื่นคนน่าจะเป็นตัวเลขที่นิ่งแล้ว เพราะชุมชนคนไทยพุทธที่เคยอยู่อย่างกระจัดกระจายน่าจะหมดไปแล้ว ที่เหลือคือชุมชนไทยพุทธที่อยู่กันอย่างเป็นกลุ่มก้อนและสามารถดูแลตนเองได้ และคนไทยพุทธส่วนที่ยังเกิดความสูญเสียอยู่บ้างก็เป็นผลจากถูกลอบทำร้ายระหว่างเดินทางหรือบนถนน มากกว่าการจะถูกบุกเข้าไปโจมตีถึงในบ้านเรือนหรือในชุมชนเหมือนในอดีต
สำหรับ “ชุมชนไทยพุทธถดถอย” หรือ “กลุ่มไทยพุทธเปราะบาง” ที่ว่ากันว่ายังมีอยู่ที่ราว 45 ตำบลในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ในส่วนนี้ได้รับการดูแลด้านของความปลอดภัยอย่างดียิ่งจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า อีกทั้งยังได้รับงบประมาณทำกิจกรรมในส่วนของโครงการพาไทยพุทธคืนถิ่นจาก ศอ.บต.อย่างเต็มที่ด้วย
นอกจาก 45 ตำบลที่อยู่ในกลุ่มไทยพุทธเปราะบางแล้ว ศอ.บต.ยังมีการจัดสรรงบประมาณทำกิจกรรมอาสาสมัครพัฒนาศาสนสถานให้กับอีก 46 ชุมชนไทยพุทธในพื้นที่ 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส กับอีก 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ สะบ้าย้อย เทพา นาทวีและจะนะ แถมยังมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อทำกิจกรรมการดูแลวัดและพระสงฆ์ในชุมชนกลุ่มเป้าหมายรอบๆ วัดรวม 24 วัดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย
มาตรการส่งเสริมชุมชนไทยพุทธเหล่านี้ที่เองที่ทำให้เชื่อว่า นับจากนี้ไปจำนวนคนไทยพุทธในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่น่าจะลดน้อยถอยลงมากไปอีกแล้ว เพียงแต่จะต้องดำเนินการโครงการพาไทยพุทธคืนถิ่นให้เข้มข้นและต่อเนื่องไป เพื่อดึงคนไทยพุทธที่อพยพออกนอกพื้นที่ส่วนหนึ่งให้กลับเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในถิ่นฐานเดิม โดยเน้นแรงจูงใจในเรื่องของการสร้างอาชีพใหม่ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น พร้อมๆ กับปกป้องให้มีความปลอดภัยจากการตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์
เช่นเดียวกับเรื่องราวของ “พระ” และ “วัด” รวมถึง “ครู” และ “โรงเรียน” ที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยตกเป็นเป้าหมายของการโจมตี เพราะมวลชนของขบวนการบีอาร์เอ็นไม่เห็นด้วย แต่ในเมื่อไม่นานมานี้สถานการณ์ได้แปรเปลี่ยนไป จึงเชื่อว่าสนับสนุนให้มีการฟื้นฟูศาสนสถานและหันมาให้ความสำคัญกับการดูลความปลอดภัยอย่างเป็นพิเศษ ถ้า ศอ.บต.และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จับมือเดินร่วมทางกันอย่างเป็นระบบต่อไป เชื่อว่าจะสามารถสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นได้อย่างไม่ยากจนเกินไป
.
นี่คือความท้าทายที่ ศอ.บต.และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะต้องร่วมมือร่วมใจกันเดินหน้าสร้างความสงบให้เกิดขึ้นแก่ชุมชนไทยพุทธในพื้นที่
.
อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้มีปัญหาใหม่ที่เกิดเพิ่งขึ้นคือ ขบวนการบีอาร์เอ็นมีความพยายามที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่าง “ไทยพุทธ” กับ “มุสลิม” แล้วยังพยายามเชื่อมโยงไปให้ถึงคนไทยพุทธนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย จนเป็นบ่อเกิดของการก่อตั้ง “องค์กรพุทธ” ต่างๆ ตามมามากมาย โดยมีความคิดเพื่อปกป้องศาสนาและออกมาเคลื่อนไหวรณรงค์ต่อต้านการรุกคืบของศาสนาอิสลาม ทั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และกระจายไปทั่วประเทศ
ตัวอย่างที่ชัดเจนมากในเรื่องนี้คือ การรณรงค์ต่อต้านการเผยแผ่ศาสนาอิสลามทางสื่อสังคมออนไลน์อย่างเข้มข้นและแข็งกร้าว โดยเฉพาะคัดค้านอย่างหนักหน่วงต่อการดำเนินการขอสร้างมัสยิดในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ถึงขั้นพยายามสร้างข่าวและภาพที่เป็น “เฟกนิวส์” หรือจะเรียกว่า “ข่าวปลอม” หรือ “ข่าวลวง” ขึ้นมามากมาย ซึ่งจะด้วยฝีมือใครก็ไม่ทราบได้ แต่วัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้เกิดความแยกแยกระหว่างผู้คน 2 ศาสนาอย่างแน่นอน
สิ่งที่ยืนยันได้ดีที่สุดในประเด็นนี้ก็คือ แม้กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยภริยาก็ยังตกเป็นเหยื่อของการสร้างเฟกนิวส์ในเรื่องนี้อย่างแทบจะไม่เว้น
.
นี่ต่างหากที่ถือเป็นปัญหาใหม่และยิ่งใหญ่ยิ่งของแผ่นดินไฟใต้ แถมกำลังถูกทำให้ลุกลามไปทั่วประเทศ สำหรับพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในเวลานี้มีการต่อต้านการเผยแผ่ศาสนาอิสลามหนักถึงขั้นเรียกขานกันว่า เป็นภาวะของ “อิสลามโมโฟเบีย (Islamophobia)” กันไปแล้ว
.
ประเด็นปัญหานี้ต่างหากที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยตรงจะต้องเร่งหาทางแก้ไข เพราะในรอบ 2 ปีที่ผ่านมาความรุนแรงบนแผ่นดินไฟใต้ได้ถูกนำไปสร้างข่าวปลอมเพื่อให้สังคมเข้าใจผิดมากมาย ไม่เช่นนั้นแล้วเครือข่ายไทยพุทธไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม ชมรมหรือสมาคมที่มีอยู่ในพื้นที่มากมายอาจจะผสมโรง
.
จนในอนาคตอาจนำไปสู่ “สงครามศาสนา” อย่างที่ขบวนการบีอาร์เอ็นต้องการให้เกิดขึ้นก็เป็นได้
.
นี่คือโจทย์ที่ทั้ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้ และ ศอ.บต.จะต้องจับมือกันเร่งปรับเปลี่ยน “ยุทธศาสตร์” อันไม่ใช่เพื่อนำไปสู่การดับไฟใต้เท่านั้น แต่ต้องป้องกันไม่ให้เกิดการลุกลามบานปลายไปสู่ “ไฟสงครามศาสนา” กระจายไปทุกหย่อมหญ้าทั่วประเทศด้วย