คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ / โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
เป็นความต่อเนื่องในปฏิบัติการของขบวนการแบ่งแยกดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งวันนี้ กองทัพ และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า คงจะไม่กล้าที่จะ “ปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ” อันหมายถึงการพร่ำพ่นปฏิเสธว่าไม่มี “บีอาร์เอ็น” รวมถึงไม่มีสถานการณ์ความรุนแรงที่อาจเรียกว่า “สงครามประชาชน” อันเป็นสงครามในรูปแบบ “กองโจร” ที่เป็นการ “สั่งการ” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่มี “บีอาร์เอ็น” เป็นศูนย์กลาง
เนื่องเพราะหลังจากปฏิบัติการ “ละลายป้อม ชรบ.” ที่ ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา จากนั้นยิง “สามี-ภรรยาไทยพุทธ” ตกตายไปอีก 2 ศพที่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี แล้วตามต่อด้วยมี “แถลงการณ์” รับว่าเป็นผู้ลงมือปฏิบัติการเอง แถมยัง “ข่มขู่” กองกำลังติดอาวุธภาคประชน ที่อาสาช่วยเจ้าหน้าที่รัฐให้รู้ว่าได้ตกเป็นกลุ่มเป้าหมายที่พร้อมจะถูกทำลายล้างแล้ว ปฏิบัติการล่าสุดของบีอาร์เอ็น คือ การ “ระเบิดรางรถไฟ” ที่ ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส จนสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนที่ต้องเดินทางโดยรถไฟสายใต้ได้พอสมควร
ไม่เพียงเท่านั้นยังมีปฏิบัติการที่ต่อเนื่องของ โจรใต้ หรือ แนวร่วม ขบวนการบีอาร์เอ็นตามมาอีก อันแสดงให้เห็นว่า ณ วันนี้การควบคุมสถานการณ์ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ “เอาไม่อยู่” แล้ว เพราะยังมี “ช่องว่าง” ในการดูแลรักษาความปลอดภัย ซึ่งทำให้บีอาร์เอ็นยังสามารถปฏิบัติการต่อเป้าหมายที่ต้องการได้ อย่างที่แสดงให้เห็นแล้วกับการวางระเบิดเส้นทางรถไฟนั่นเอง
หลักฐานที่เจ้าหน้าที่ค้นได้จาก 1 ใน 2 ศพโจรใต้ที่ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญที่ ต.คอลอตันหยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เมื่อหลายวันก่อน ปรากฏมีข้อมูลที่ระบุถึงรายละเอียดเกี่ยวกับหมู่บ้านและตำบลที่เป็นพื้นที่สีต่างๆ ซึ่งพื้นที่ไหนเป็น “หมู่บ้านเข้มแข็ง” หรือพื้นที่ไหนเป็น “หมู่บ้านพึ่งพาได้” หรือ “หมู่บ้านที่พึ่งพาไม่ได้” นั่นเป็นการแสดงให้เห็นชัดว่า บีอาร์เอ็นมีการพัฒนา “งานด้านมวลชน” อยู่ตลอดเวลา
อันเป็นข้อมูลที่ “ขัดแย้ง” กับรายงานของหน่วยงานความมั่นคงที่เชื่อว่า อิทธิพลของบีอาร์เอ็นในหมู่บ้านต่างๆ “ถูกลดทอน” ลงไปมากมาย ซึ่งเป็นผลจากนโยบายของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า โดยเฉพาะการส่งเจ้าหน้าที่ “ชุดปฏิบัติการจรยุทธ์ (ชป.จรยุทธ์)” เข้าควบคุมพื้นที่ได้แล้วถึงกว่า 900 ชุดปฏิบัติการ
หากเชื่อในเอกสารต่างๆ ที่ยึดได้จาก 2 ศพของเครือข่ายบีอาร์เอ็นที่ถูกวิสามัญ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็จำเป็นต้อง “สืบสภาพ” ในพื้นที่ต่างๆ ที่ถูกระบุในเอกสารที่ยึดได้อีกครั้ง แต่อาจจะมีแม่ทัพนายกองบางส่วนยังเชื่อว่าเอกสารที่ยึดได้เป็นของ “ไม่จริง” เหมือนกับที่จนถึงบัดนี้ที่ยังมี “บางนายพล” ที่ยังไม่เชื่อว่า “เอกสารบันได 7 ขั้น” ที่ยึดได้จากบ้านของ มะแซ อุเซ็ง เป็น “ของจริง” แต่เชื่อว่าเป็นเอกสารที่ “ฝ่ายข่าว” สร้างขึ้น เพื่อต้องการสร้างตัวตนของขบวนการบีอาร์เอ็นว่ามีอยู่จริงเท่านั้น
ถ้าติดตามบริบทการดับไฟใต้มาตลอดอย่างต่อเนื่องจะพบว่า ทุกครั้งหลังเกิดเหตุรุนแรงในพื้นที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า พยายามจะแก้เกมด้วยการเพิ่มกองกำลังและความเข้มข้นในการรับมือมาตลอด อย่างการจัดตั้ง “ชป.จรยุทธ์” ขึ้นกว่า 900 ชุดเพื่อเข้าควบคุมหมู่บ้านเป้าหมายต่างๆ เพื่อต้องการ “สลายมวลชน” ของบีอาร์เอ็น หลังจากที่ต้องสูญเสีย ชรบ.ไปถึง 15 ศพ
นอกจากนี้ “แม่ทัพ” ก็ยังจำต้องลงไปเล่นเองในภาคสนามด้วยตัวเอง ด้วยการเปิด “เวทีสภาสันติสุข” ในระดับตำบลและระดับอำเภอ พร้อมเปิดประชุมคณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนการสร้างสภาวะแวดล้อมในการ “พูดคุยสันติสุข” ในเวทีใหญ่ แถมยังปิดท้ายด้วยการเชิญตัวแทนจาก คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) มาตรวจสอบสถานที่ควบคุมตัวของผู้ถูกกล่าวหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อให้เห็นว่า “ไม่มีการซ้อมทรมาน” ผู้ถูกควบคุมตัวอย่างที่เป็นข่าว
ขณะที่ในระดับงานปฏิบัติการด้าน “ปสช.” และ “ไอโอ” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็ยังคงใช้นโยบายเก่าๆ หรือยังดักดานเหมือนเดิม ด้วยการจัดงบประมาณจ่ายเป็นค่าตอบแทนเดือนละ 4,500 บาทให้ “นักข่าว” ในพื้นที่เพื่อให้เสนอแต่ข่าวเชิงบวก หรือข่าวที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝ่ายความมั่นคง เพื่อหวังจะกลบข่าวลบต่างๆ ที่เป็นข้อเท็จจริงจากผู้สื่อข่าวที่ไม่ได้อยู่ในกระบวนการรับเงิน 4,500 บาทต่อเดือน แถมยังใช้การประกาศ “ข่มขู่” ว่าจะใช้กฎหมายจัดการกับ “สื่อมวลชน” ที่สร้างความเสียหายให้แก่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งเป็นการพยายามใช้ “กฎหมายปิดปาก” สื่อมวลชนที่ไม่อยู่ใต้อาณัตินั่นเอง
ในส่วนของ “คณะพูดคุยสันติสุข” ซึ่งเป็นคนจาก “ส่วนกลาง” ที่อยู่ในอาณัติของ “นายกรัฐมนตรี” โดยล่าสุดผู้ที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะคือ พล.อ.วัลลพ รักเสนาะ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ก็ได้เปิดเวทีให้แก่ “ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ” ซักถามถึงความคืบหน้าในการพูดคุยสันติสุขกับตัวแทนขบวนการแบ่งแยกดินแดนหลายๆ กลุ่มที่ฝังตัวอยู่ในประเทศมาเลเซีย โดยเฉพาะกลุ่มก๊วนเดิมๆ ที่ใช้ชื่อว่า “มาราปาตานี” อย่างที่เรียกขานกัน
ทั้งนี้ คำตอบที่ทั้งสื่อต่างประเทศและสื่อไทยได้รับก็คือ “วาทกรรมเดิมๆ” อันไม่แตกต่างจากที่หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขคนก่อนๆ เคยกล่าวไว้แล้ว นั่นคือ รัฐไทยพร้อมจะคุยกับทุกกลุ่มที่มีอุดมการณ์แตกต่างกันอย่างจริงใจ เพื่อให้เลิกใช้ความรุนแรงแล้วหันมาสู้กันด้วยเหตุผล แต่ที่นับว่าสำคัญมากและเป็นไปแบบไม่มีวาทกรรมนี้หลุดออกจากเรียวปากบางของหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขเป็นไม่ได้เลยก็คือ “เรายึดตามแนวทางของท่านนายกรัฐมนตรี”
แค่วาทกรรมของหัวหน้าคณะพูดคุยฝ่ายรัฐไทยดังกล่าว นั่นก็คงแสดงเห็นถึง “ความไม่คืบหน้า” ของกระบวนการพูดคุยสันติสุขได้อย่างเด่นชัดยิ่ง โดยที่กระบวนการพูดคุยครั้งใหม่ยังไม่เริ่มต้นด้วยซ้ำ เพราะการปฏิบัติตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีก็เป็นได้เพียงแค่ “ยาเก่า” แต่ถูกนำไปใส่ “ขวดใหม่” ซึ่งใช้รักษาโรคแบ่งแยกดินแดนไม่เคยได้เลย เนื่องจากบีอาร์เอ็นที่เป็นเหมือนเชื้อโรคร้ายปฏิเสธยายี่ห้อ “ประยุทธ์โอสถ” โดยเห็นว่าหมดอายุไปนานแล้ว
.
เหล่านั้นคือนโยบายดับไฟใต้ของฝ่ายรัฐไทย ในขณะที่ของฝ่ายบีอาร์เอ็นสังคมกลับยังได้เห็นว่ามี “ความคืบหน้า” ในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะกับการ “ยกระดับการต่อสู้” ในด้านต่างๆ
.
อันดับแรกหลังปฏิบัติการกับกองกำลังติดอาวุธฝ่ายประชาชนจน ชรบ.ต้องพลีชีพไปถึง 15 ศพ บีอาร์เอ็นได้ออกแถลงการณ์แสดงการยอมรับว่าเป็นปฏิบัติการของฝ่ายตน และยังตามด้วยแถลงการณ์เตือนให้กองกำลังติดอาวุธภาคประชาชนหยุดการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งจะเป็นแถลงการณ์จริงหรือไม่จริงก็ยังไม่มีใครทราบได้ แต่แทนที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะออกมาให้คำตอบหรือชี้ประเด็นให้สังคมเข้าใจ กลับมีเพียงคำพูดของผู้นำหน่วยว่า “ไม่ได้ให้ความสนใจ” กับแถลงการณ์ของบีอาร์เอ็น
นั่นจึงเท่ากับว่าบีอาร์เอ็นมีการยกระดับของการต่อสู้ที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะหลังมีแถลงการณ์ได้ทำให้ “มวลชน” จำต้องเลือกที่จะยืนข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่อความอยู่รอด อันเป็นการเลือกว่าจะอยู่ข้างใครระหว่าง “รัฐไทย” กับ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” รวมทั้งยังเหมือนเป็นการส่งสัญญาณตอกย้ำว่า ปฏิบัติการของบีอาร์เอ็นต่อจากนี้ไปจะมีแต่การใช้ “ความรุนแรง” ทั้งกับเจ้าหน้าที่รัฐและกองกำลังติดอาวุธภาคประชาชน อีกทั้งยังต้องรวมถึง “มวลชน” ที่ให้การช่วยหลือเจ้าหน้าที่รัฐด้วย
นอกจากนี้แล้ว ถ้าใครติดตามความเคลื่อนไหวใน “หัวเมืองหลัก” ของจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างใกล้ชิดก็จะพบว่า หลังเหตุการณ์สูญเสีย ชรบ. 15 ศพที่ จ.ยะลา และอีกหลายปฏิบัติการของบีอาร์เอ็นที่ต่อเนื่องตามมา ความคึกคักในด้านต่างๆ โดยเฉพาะทางเศรษฐกิจที่เคยมีในหัวเมืองหลักเหล่านั้น เวลานี้กลับเงียบเหงาลงไปถนัดตา ไม่ว่าจะเป็นเขตเมืองยะลา เมืองปัตตานี เมืองนราธิวาส หรือหัวเมืองชายแดนอย่างเมืองหาดใหญ่ สะเดา สุไหงโก-ลก ฯลฯ โดยเฉพาะกับ “คนไทยพุทธ” เลือกที่จะอยู่แบบระมัดระวังและป้องกันตนเองมากขึ้นกว่าเดิม
ในขณะที่ “ฝ่ายเรา” ยังย่ำเท้าอยู่ในวังวนเก่าๆ เช่น มุ่งเน้นปราบปรามยาเสพติด การประชุมสภาสันติสุข การประชุมขับเคลื่อนสร้างสภาวะแวดล้อมในการพูดคุยต่างๆ หรือกระทั่งตั้งงบประมาณให้เอ็นจีโอราว 50-60 ล้านบาทต่อปี เพื่อให้ไปทำโครงการเสริมสร้างสันติสุขบ้าง ขับเคลื่อนกำปงตักวาบ้าง ฯลฯ ซึ่งนั่นก็ทำกันต่อเนื่องยาวนานมาหลายปี ผ่านไปแล้วหลาย “ผบ.ทบ.” และหลาย “แม่ทัพ” โดยที่แทบไม่เคยประเมินกันเลยว่า ถ้าโครงการเหล่านี้มีความสำเร็จจริง ทำไมสถานการณ์จึงไม่ดีขึ้นเลย ทั้งที่ทุกโครงการต้องใช้ “งบประมาณ” จำนวนมากมายเป็นกลไกหลักขับเคลื่อน
ล่าสุด มีเรื่องที่ต้องจับตาและให้ความสำคัญอย่างเป็นพิเศษคือ แม้ในเวทีโลกเวลานี้ก็ได้มีการยกระดับปรากฏให้เห็น กล่าวคือ มีตัวแทนของ “ชาวมลายูปาตานี” ถูกเชิญให้พูดในเวทีประชุมที่องค์การสหประชาชาติ (UN) อันเป็นการไปให้ข้อมูลเรื่องความไม่เป็นธรรมต่างๆ ที่รัฐไทยกระทำต่อคนมลายูปาตานี โดยเน้นในเรื่องอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติและภาษา รวมถึงผลกระทบต่อบรรดาโรงเรียนปอเนาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้
สำหรับ “ใคร” ที่ได้รับเชิญให้ไปพูดในเวทีที่ UN แล้วเขาจะเป็นตัวแทนของชนชาวมลายูปาตานีจริงหรือไม่ หรือจะเป็นตัวแทนขององค์กรใด รวมถึงมีความสัมพันธ์กับขบวนการใดหรือไม่ อย่างไร เชื่อว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ทราบเรื่องราวนี้ดีที่สุด เพราะบุคคลดังกล่าวมีชื่ออยู่ในรายงานลับที่อยู่ในมือฝ่ายความมั่นคงมานานหลายปีแล้ว
.
สรุปแล้ว ณ เวลานี้ใครเคลื่อนไหวได้ก้าวหน้ากว่ากันระหว่าง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กับ ขบวนการบีอาร์เอ็น เชื่อว่าผู้คนในสังคมคงมีความคิดเห็นในเรื่องนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
.
โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวในห้วงปี 2562 ที่กำลังจะผ่านไป ซึ่งถ้าดูจากปฏิบัติการของทั้ง 2 ฝ่ายก็จะพบข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า วันนี้ “ฝ่ายเขา” มีการ “ยกระดับ” ไปแล้วหลายขั้นตอน แถมยังก้าวสู่เวทีโลกแล้วด้วย ในขณะที่ “ฝ่ายเรา” แม้ไม่ได้ “ถอยหลัง” แต่ก็น่าเสียดายที่ยัง “ย่ำเท้าอยู่กับที่”
ไม่เพียงเท่านั้น ที่น่าเสียดายแบบสุดๆ ก็คือ กว่า 5 ปีของ “รัฐบาล คสช.” ซึ่งต้องถือว่าเป็น “ยุคทอง” ของ “กองทัพ” ในแทบจะทุกด้านในการดับไฟใต้ก็ว่าได้ แต่ “ฝ่ายเรา” กลับปล่อยผ่านเลยไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรให้เกิดมรรคผลแบบเป็นชิ้นเป็นอันเลย
อีกทั้งยังน่าเสียดายมากคือ การที่จะได้ “พึ่งพา” ความสัมพันธ์อันดีกับ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อขอความร่วมมืออย่าให้ขบวนการบีอาร์เอ็นให้ใช้ประเทศมาเลเซียเป็น “หลังพิง” ก็เลือนหายไปแล้ว เพราะเวลานี้นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเองก็ตกอยู่ในช่วงอาทิตย์อัสดงทางการเมืองเหมือนกับผู้นำประเทศไทยไปแล้วนั่นเอง
ว่ากันว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มี “เอกสารสำคัญมาก” ชิ้นหนึ่งอยู่ในมือ ซึ่งถูกระบุว่าเป็นของขบวนการบีอาร์เอ็นเสียด้วย เนื้อหาอันเป็นสาระหลักของเอกสารชิ้นนั้นชี้ไปในทำนองว่า สาเหตุที่บีอาร์เอ็นต้องใช้ความรุนแรงเข้าต่อสู้ก็เพราะข้อความใน “มาตรา 1” ของรัฐธรรมนูญไทยนั่นเอง
แน่นอนราชอาณาจักรไทยแบ่งแยกไม่ได้ ดังนั้น หากไม่สามารถเจรจาให้ยุติสงครามหรือไม่สามารถทำลายขบวนการบีอาร์เอ็นให้หมดไปได้ คนจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังต้องทนอยู่กับ "ความรุนแรง" แบบที่ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า แล้ว "ไฟใต้จะมอดดับ" ได้เมื่อไหร่