คอลัมน์ : จากนาบอนถึงริมฝั่งเจ้าพระยา / โดย... ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที ผู้ดำเนินรายการสภากาแฟช่อง NEWS 1
.
ในห้วงแห่งกาลเวลา เมื่อโลกเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน ชะตากรรมก็ย่อมเปลี่ยน!
.
นโยบายความสัมพันธ์ทางการทูตเปลี่ยนชีวิตคนใน “ชุมชนชาวจีนโพ้นทะเล” ที่ อ.นาบอน จ.นครศรีธรรมราช ก็เปลี่ยนเช่นเดียวกัน
.
หลังปี 2518 รัฐบาลไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับ “สาธารณรัฐประชาชนจีน” หรือ “จีนแผ่นดินใหญ่”
.
ชุมชนคนจีนโพ้นทะเลใน อ.นาบอนก็การฉลองวันชาติจีน และการประดับธงชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีนในทุกวันที่ 1 ตุลาคมของปี ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องปกติอันธรรมดาที่ไม่ผิดกฎหมายอีกต่อไป ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ หรือสนทนากันแบบซุบซิบเหมือนในอดีตที่ผ่านมาก่อนหน้าปี 2518
.
สำหรับสังคมชาวจีนฮกจิวโพ้นทะเลของที่ อ.นาบอนถือว่าเป็น “1 ชุมชนที่มี 2 จีน”
.
.
หลังปี 2518 ถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตชาวจีนในชุมชนนาบอน ซึ่งมาพร้อมกับนโยบายความสัมพันธ์ทางการทูตที่เปิดศักราชแห่งความสัมพันธ์ขึ้นใหม่ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่
.
ในงานเขียนของ ศ.ภูวดล ทรงประเสริฐ บอกเล่าไว้ว่า ภายหลัง “จีนคณะชาติ” ภายใต้การนำของ จอมพลเจียง ไคเชก ต้องอพยพกันไปอยู่ที่ไต้หวันแล้วสถาปนา “สาธารณรัฐจีน” ขึ้นนั้น
.
ท่านประธาน เหมา เจ๋อตง ก็ได้สถาปนาการปกครอง “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ขึ้นใหม่ในปี 2492 ชาวจีนในประเทศไทยที่นิยมชมชอบประธานเหมาและรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ต่างก็มีการเคลื่อนไหวแสดงออกคึกคักกว่าปกติ
.
ชาวจีนที่สนับสนุน “พรรคก๊กมินตั๋ง” หรือ “พรรคชาตินิยมจีน” ของรัฐบาลสาธารณรัฐจีน ซึ่งมีสถานเอกอัครราชทูตจีนในไทยให้การสนับสนุนมาตลอด โดยเฉพาะกับคนจีนในประเทศไทยที่สนับสนุนจีนคณะชาติของไต้หวัน การสอดส่องความเคลื่อนไหวของรัฐบาลไทยต่อชาวจีนเริ่มมีความเข้มงวดมากขึ้น อันเป็นผลภายหลังการสถาปนาจีนใหม่ของแผ่นดินใหญ่
.
1 ตุลาคม 2492 ประธานเหมา เจอตุง กล่าวคำสถาปนาตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน
.
21 พฤศจิกายน 2492 รัฐบาล จอมพล.ป พิบูลสงคราม มีคำสั่งถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ให้เพิ่มการสืบสวนและสอดส่องเกี่ยวกับชาวจีนในพื้นที่ เพื่อที่รัฐบาลจะได้ทราบความเคลื่อนไหวการเปลี่ยนแปลงใดๆ ของชุมชนคนจีนในประเทศไทยและดำเนินการแก้ไขปัญหาได้ทันที
.
ตัวอย่างให้มีการสอดส่องว่า มีการลักลอบเปิดโรงเรียนจีน สอนภาษาและหนังสือจีนกันหรือไม่? มีกิจกรรมทางการค้า การโยกย้ายเงินหรือโพยก้วนของชุมชนคนจีนหรือไม่? มีการส่งกลับทั้งคนและทรัพย์สินไปช่วยเหลือญาติพี่น้องชาวจีนในแผ่นดินใหญ่มากน้อยอย่างไร?
.
ขณะเดียวกันทางกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นก็ได้ตั้ง “คณะกรรมมการ” ขึ้นมาใหม่เพื่อทำการสอดส่องเฝ้าติดตามชาวจีนทั่วราชอาณาจักรอย่างเป็นพิเศษ
.
23 พฤศจิกายน 2492 ทางกระทรวงหมาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการ ได้เข้มงวดติดตามสอดส่องโรงเรียนที่สอนภาษาจีน โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าระวัง และให้ปิดโรงเรียนสอนภาษาจีนที่ดำเนินกิจการทางการเมือง และหากมีการลักลอบสอนภาษาจีนหนังสือจีน หรือตั้งโรงเรียนเถื่อน ซึ่งจะให้มีการเพิ่มโทษหนักกว่าเดิมให้มีโทษทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้มีสถิติระบุไว้ว่าในช่วงก่อนหน้ารัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม มีจำนวนโรงเรียนจีนในประเทศประมาณกว่า 600 แห่ง ต่อมาในหลังปี 2495 โรงเรียนสอนภาษจีนในประเทศไทยถูกปิดไปประมาณ 336 แห่ง หรือเมื่อเทียบแล้วกว่าครึ่งของจำนวนที่มีอยู่
ในชุมชนชาวจีนโพนทะเลที่ อ.นาบอน มีโรงเรียนจีน 3 โรงเรียนที่เปิดสอนภาษาจีน และถูกทางราชการสั่งปิดไปเสีย 2 โรงเรียนที่ตั้งอยู่ในสวนยาง ได้แก่
“โรงเรียนจงหัวเซียะเสี้ยว (中華学校 )” และ “โรงเรียนซิงหมิงเซียะเสี้ยว ( 新明学校)” ซึ่งแปลได้ทำนองเดียวกันว่าเป็น “โรงเรียนสังคมใหม่” เมื่อโรงเรียนถูกสั่งปิด ครูที่สอนภาษีจีนต้องหลบซ่อนและบางคนถึงขั้นต้องหลบหนี
.
เนื่องเพราะถูกทางการไทยมองว่าเป็นโรงเรียนที่เปิดสอนกลุ่มลูกหลานผู้นิยมใน “จีนแผ่นดินใหญ่”
.
ส่วน “โรงเรียนเคอะหนานเซียะเสี้ยว (克難学校)” ซึ่งแปลว่า โรงเรียนพิชิตความลำบาก แม้จะตั้งอยู่ในสวนยางเช่นกัน แต่ยังคงสามารถเปิดทำการสอนได้
เนื่องเพราะทางราชการให้การผ่อนปรนด้วยถือว่าเป็นกลุ่มคนจีนในชุมชนผู้ที่นิยมสาธารณรัฐจีนหรือคณะชาติ ซึ่งทางรัฐบาลไทยถือว่ายังคงมีความสัมพันธ์ทางการทูตค่อนข้างใกล้ชิดในช่วงเวลานั้น
สังเกตได้ว่าหลังปี 2492 เมื่อจีนแผ่นดินใหญ่ภายใต้การนำของประธานเหมา เจ๋อตง สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นใหม่ การเมืองชนชาติจีนในระดับสากลที่เกิดเป็น “2 จีน” ย่อมสั่นไหวกระเพื่อมมาถึงชุมชนชาวจีนโพ้นทะเล โดยเฉพาะกับชาวจีนในชุมชนนาบอนอย่างอยากจะหลบเลี่ยง
ชาวจีนในไทยหรือคนไทยเชื้อสายจีนผู้ที่นิยมชมชอบในรัฐบาลเหมา เจ๋อตง ย่อมต้องได้รับการจับตาและถูกกวดขันระแวดระวังเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ได้เป็นสมาชิก “พรรคคอมมิวนิสต์จีน” กันเลยด้วย
ทั้งๆ ที่พวกเขาเป็นแค่ชาวจีนที่ต้องติดต่อข้องเกี่ยวกับการส่งเงินกลับมาตุภูมิ เพื่อให้ญาติพี่น้องที่ยังอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ได้นำไปใช้แก้ปัญหาความยากจน
ทั้งๆ ที่พวกเขาเป็นแค่ผู้ที่ต้องการติดตามข่าวสารหรืออ่านหนังสือพิมพ์จีน เพื่อต้องการรับข่าวสารของฝั่งแผ่นดินใหญ่บ้างเท่านั้น
แต่ด้วยความหวาดระแวด “คอมมิวนิสต์จีน” ของรัฐบาลจอมพล.ป พิบูลสงคราม พวกเขาจึงถูกชี้เป้าและหมายหัวไปโดยปริยาย ซึ่งสร้างความสับสนอลหม่านกันไปทั้งชุมชน เวลาจะพูดจาสนทนาใดๆ ก็ต้องระมัดระวังกันเป็นพิเศษ
ปี 2495 รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ตรา “พระราชบัญญัติการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์” ที่ต้องจัดว่าเป็นกฎหมายที่ถูกนำไปใช้กับชาวจีนในไทยอย่างเข้มงวดกวดขัดเป็นพิเศษ
ปี 2496 ถัดมากระทรวงมหาไทยก็ได้ตั้ง “กองกำลังอาสาสมัคร” เพื่อให้เป็นหูเป็นตาเฝ้าระวังคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งถือเป็นหน่วยชี้เป้าสอดส่องเฝ้าระวังในชุมชนของชาวจีนของประเทศไทย โดยถือให้ประชาชนได้ช่วยเหลือทางราชการในช่วงระยะเวลานั้น
ต้นปี 2497 ปลายรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีการระดมจับกุมคนจีนในไทยในจังหวัดต่างๆ แทบทั่วทุกหัวระแหงจนเป็นข่าวใหญ่โต
ในส่วนของชาวจีนฮกจิวโพ้นทะเลที่ชุมชนนาบอนและใกล้เคียงมีคนที่ “ถูกอาสาสมัครหูตาจีน” ชี้เป้าว่านิยมชมชอบจีนแผ่นดินใหญ่ หรือถูกกล่าวหาว่าฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ถูกทางราชการจับกุมตัวไปในช่วงเช้าตรู่รวม 21 คน โดยถูกนำตัวไปคุมขังยังเรือนจำ จ.นครศรีธรรมราช และต่อมามีบางคนเนรเทศให้กลับสู่จีนแผ่นดินใหญ่
ในจำนวนนี้มีชื่อที่รู้จักมักคุ้นและจำกันได้ ประกอบด้วย นายเอี้ยว หงี่อิ่ง นายหลิน ฮุงหนาง นายผ่าง ซื่อพก นายเตื้อง เตียฮุง นายอ้วง แส่คึก เป็นต้น ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณชุมชนสถานีรถไฟนาบอนและชุมชนสถานีรถไฟคลองจันดี
“คุณอองหง่า” ลูกสาวของ “คุณตาเอี้ยว หงี่อิ่ง (姚宜應)” หนึ่งชาวจีนแห่งชุมชนนาบอนผู้ถูกจับกุมคุมขังในครั้งนั้นบอกเล่าให้ฟังว่า
“หลังพอคุณพ่อถูกจับตัวไป อาม่า(แม่) จึงได้รับความยากลำบากอย่างแสนสาหัส เพราะครอบครัวเรามีลูกหลายคนที่ต้องเลี้ยงดู อาม่าเล่าว่าตัวฉันเองก็เพิ่งคลอดได้เพียงขวบเดียว จึงยิ่งต้องดิ้นรนค้าขายและหาช่องทางทำมาหากินเลี้ยงลูกๆ...
อาม่าเลยต้องเอาตัวฉันที่ยังเล็กอยู่ไปส่งให้คุณยายเลี้ยงที่ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี งานก็ต้องทำ ร้านค้าก็ต้องเปิดให้บริการ ขณะเดียวกันก็ต้องหาเวลาเดินทางจาก อ.นาบอน นั่งรถไฟไปยังตัว จ.นครศรีธรรมราช เพื่อนำอาหารและเสบียงไปส่งให้คุณพ่อ...
อาม่าบอกว่านอกจากจะต้องว้าเหว่เพราะขาดคนดูแลแล้ว ยังต้องถือเป็นช่วงชีวิตที่ต้องตกทุกข์ได้ยากอย่างแสนสาหัส ซี่งเวลานั้นแทบไม่รู้ชะตากรรมเลยว่าครอบครัวจะเดินกันต่อไปเช่นไร แต่สุดท้ายประมาณ 3 เดือนทางการไทยก็ปล่อยคุณพ่อกลับสู่ครอบครัวที่นาบอน”
ส่วน “คุณย่าเฉิน กิมจู่” น้องสาวของ “คุณปู่หลิน ฮุงหนาง (林雲南)” ที่ถูกทางการจับกุมตัวไปด้วยคราวนั้น เล่าช่วงสำคัญของชะตากรรมชีวิตตอนนั้นให้ฟังว่า
“เราเองก็ทุกข์ใจอย่างมาก ทุกคนในครอบครัวก็ร้องห่มร้องไห้แทบทุกวัน แถมยิ่งต้องเป็นห่วงหนักเข้าไปอีกจากการที่คุณปู่หลินเองพูดไทยไม่ได้เลย การสื่อสารกับเจ้าหน้าที่เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก จนมีข่าวพูดกันไปทั้งชุมชนว่า ชะตากรรมของคนที่ถูกจับในครั้งนี้อาจจะต้องมีการเนรเทศให้กลับไปที่จีนแผ่นดินใหญ่...
ตอนนั้นครอบครัวเราต้องเดินทางไปเยี่ยมคุณปู่กันแทบทุกอาทิตย์ พร้อมๆ กับญาติพี่น้องและลูกหลานชาวจีนที่ถูกจับกุมไปด้วยกันในครั้งนั้น เราจะชวนกันไปเยี่ยมพร้อมๆ กัน โดยนั่งรถไฟจากสถานีนาบอนไปลงรถที่สถานีรถไฟนครศรีธรรมราช นำอาหารและเสบียงไปจากนาบอนไปให้ที่เรือนจำนครศรีธรรมราช...
ครอบครัวเราถือเป็นความทุกข์ใจอย่างหนักหนาสาหัสเอามากๆ แล้วคุณปู่หลิน ฮุงหนาง เล่าจะเป็นเช่นไรนั้น ดูได้จากตอนที่ทางการปล่อยตัวคุณปู่กลับบ้าน ตอนนั้นร่างกายคุณปู่ถึงกลับทรุดโทรมไปมากมายอย่างเห็นได้ถนัดตา”
ลูกชายคนหนึ่งที่ไม่อยากให้เอ่ยชื่อของ “คุณตาผ่าง ซื่อพก (彭仕博)” เล่าถึงความรู้สึกต่อชะตากรรมชีวิตในช่วงเวลานั้นให้ฟังว่า
.
“คุณพ่อโชคดีหน่อย เจ้าหน้าที่มาจับกันที่บ้าน ที่โชคดีเพราะมีความพยายามสื่อสารผ่านล่ามในชุมชนนาบอนที่มาช่วยเป็นแปลความให้กับทางเจ้าหน้าที่ชุดที่มาจับกุมว่า หนังสือเอกสารที่เป็นภาษาจีนที่ค้นเจอในบ้านเรานั้น เป็นตำราเรียนหนังสือปกติทั่วไปของลูกๆ ในบ้าน และอีกส่วนเป็นตำหรับยาจีน...
ซึ่งทางฝ่ายล่ามในชุมชนก็พยายามยืนยันเรื่องสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ว่า หนังสือจีนทั้งหมดไม่ได้เป็นเอกสารทางการเมืองที่จะบ่งบอกว่า ครอบครัวเราฝักใฝ่กับการเมืองของประเทศจีนแผ่นดินใหญ่แต่อย่างใด แถมกำนันในชุมชนเราก็มาช่วยสื่อสารกับทางการด้วย ทำให้คุณพ่อรอดมาได้ โดยไม่ต้องถูกส่งตัวไปเรือนจำจังหวัดเหมือนเพื่อนบ้านคนอื่นๆ”
.
“คุณสุรพล” ลูกชายของ “คุณลุงเตื้อง เตียฮุง (張啟丰)” บอกเล่าเรื่องนี้ให้กับผู้เขียนอย่างออกรสชาติว่า
.
“สมัยนั้นคุณพ่อเปิดร้านขายโกปี๊เตี่ยมในตลาดนาบอน ร้านของพ่อเป็นชมรมของกลุ่มคนจีนที่นิยมชมชอบจีนแผ่นดินใหญ่ มีน้อยมากที่นิยมจีนคณะชาติ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตคนจีนที่ผูกพันธ์กับมาตุภูมิถิ่นเกิดของเขา กลุ่มคนจีนก็มาอ่านหนังสือพิมพ์แล้ววิพากษ์วิจารณ์ข่าวสารบ้านเมืองกันที่โกปี๊เตี่ยมของครอบครัวเรา...
คุณพ่อเองถูกจับไปที่เรือนจำ จ.นครศรีธรรมราช ด้วยข้อหาว่าขายน้ำแข็งเกินราคาไป 2 สตางค์ ซึ่งแม้จะฟังดูเป็นเรื่องตลก แต่ก็เป็นสิ่งที่จุกอกคนในครอบครัวและชุมชนชาวจีนนาบอนเป็นอย่างมากในยุคนั้น...
จากนั้นในปี 2525 ผมเองมีโอกาสไปเรียนหนังสือต่อที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ช่วงปิดเทอมก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชาวจีนเชื้อสายฮกจิวที่ อ.กู่เถียน จ.ฝูโจว ซึ่งถือเป็นถิ่นฐานเดิมที่เป็นต้นกำเนิดของของชาวจีนฮกจิวที่ อ.นาบอน...
ตอนนั้นผมดีใจมากที่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับคนไทยที่เป็นลูกของชาวจีนจากชุมชนนาบอน ที่บอกว่าเขาคือคนไทยเพราะเขาเกิดบนแผ่นดินไทย แต่มีอันต้องไปอาศัยอยู่ที่นั่นเนื่องจากติดตามบิดาที่ถูกเนรเทศส่งกลับจีนแผ่นดินใหญ่ในยุครัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม”
วันเวลาเปลี่ยน โลกเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน วิถีชีวิตของชาวจีนโพ้นทะเลที่ชุมชนนาบอนก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัย คนที่หมดลมหายใจก็ฝังร่างกายในฮวงซุ้ยบนแผ่นดินของประเทศไทย ใครที่ยังมีลมหายใจก็ต้องต่อสู้กับชีวิตกันต่อไป
.
ยุคสมัยหนึ่งที่ประเทศไทยผูกสัมพันธ์ทางการทูตกับ “สาธารณรัฐจีน” หรือ “จีนคณะชาติ” หรือ “จีนไต้หวัน” อย่างแน่นแฟ้น เนื่องเพราะเล็งเห็นว่ายืนหยัดอยู่บนฟากฝ่ายชาติประชาธิปไตยแบบเดียวกับไทย
.
ดังนั้นโอกาสของวิถีชีวิตทางสังคมการเมืองของกลุ่มชาวจีนโพ้นทะเลในไทย ซึ่งนิยม “รัฐบาลสาธารณรัฐจีน” ของจอมพลเจียง ไคเชก ดูจะมีสิทธิพิเศษเหนือกลุ่มคนชาวจีนที่นิยม “รัฐบาลสาธารรัฐประชาชนจีน” ของประธานเหมา เจ๋อตง ในยุคนั้น
.
ความจริงแล้วเรื่องราวอันเป็นชะตากรรมอันแสนสาหัสสากรรจ์ของชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลรุ่นแรกๆ ที่ อ.นาบอน ต่างก็ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันกับชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลในอีกหลายจังหวัดทั่วประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นที่อุบลราชธานี อุดรธานี นครสวรรค์ ตรัง ภูเก็ต เป็นต้น ซึ่งต่างก็มีเรื่องราวเล่าขานเป็นตำนานชีวิตให้คนรุ่นต่อๆ มาได้จดจำไม่แพ้กัน
.
“จีนหนึ่งทำให้มีชีวิตเริงระบำได้ อีกจีนหนึ่งทำให้ต้องเดินเข้าเรือนจำ”
.
เรื่องราวเหล่านี้ถือเป็น “ชะตากรรมแห่งชีวิต” ที่เล่าขานกันต่อๆ มาได้แบบแทบจะไม่จบสิ้นในประวัติศาสตร์ของชุมชนชาวจีนโพ้นทะเล “บนแผ่นดินหนานหยาง”..?!