.
โดย... ศูนย์ข่าวหาดใหญ่
.

นับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของสังคมไทย และสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นผู้กุมกลไกอำนาจรัฐ เมื่อกลุ่มคนร้ายที่เชื่อว่ามีจำนวนหลายสิบคนบุกเข้าไปยิงถล่มจุดตรวจชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) บ้านทางลุ่ม ม.5 ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา กลางดึกของคืนวันที่ 5 พ.ย.2562 ซึ่งวันนั้นมีการนัดหมายให้มาประชุมกัน จึงมีทั้ง ชรบ. และ อรบ. (อาสาสมัครรักษาหมู่บ้าน) รวมทั้งเครือญาติ นักศึกษาและประชาชนร่วมกันตกเป็นเหยื่อถึง 15 ศพ แถมยังมีผู้บาดเจ็บอีก 5 ราย
เมื่อสิ้นเสียงปืนก็มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที 11 ศพ ที่เหลืออีก 9 คนมีทั้งบาดเจ็บสาหัสไปจนถึงเล็กน้อย มีความพยายามต่อกรกับฝ่ายตรงข้ามจนหมดแรงจะต่อสู้ขัดขืน ที่สุดพวกเขาก็ทำได้แต่นอนนิ่งยอมรับชะตากรรม แต่ก็เป็นเรื่องสุดสะเทือนใจเมื่อ 4 ใน 9 คนนั้นไม่อาจจะต้านทานต่อความเจ็บปวดต่อไปได้ ได้เสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาลยะลา รวมมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ 15 คน ส่วนอีก 5 คนยังคงต้องรับการรักษาตัวต่อไป
หนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้คือ นายอาหาหมัด รัตตัญญู บอกเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า คืนนั้นอากาศเย็น เพราะมีฝนตก จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากทางทิศใต้ หลังจากนั้นกระสุนจำนวนมากก็สาดเข้าใส่ชุด ชรบ.และ อรบ.ที่ล้อมวงร่วมรับประทานอาหารและพูดคุยกันอยู่ในศาลาที่แปรสภาพเป็นจุดตรวจ โดยที่ทุกคนยังไม่มีเวลาตั้งตัวและต่างอยู่ในอาการตกใจจนทำอะไรแทบไม่ถูก
.
“ผมเห็นเพื่อนๆ ถูกยิงล้มลงนอนแน่นิ่งต่อหน้าต่อตา”
.
เมื่อตั้งสติได้นายอาหาหมัดและเพื่อนๆ จึงคว้าอาวุธปืนยิงตอบโต้ออกไป แต่กลุ่มคนร้ายยังคงยิงถล่มแบบไม่ขาดสาย ชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อหลายคนถูกยิงล้มลงคนแล้วคนเล่า ส่วนตัวเขาเองก็ถูกคมกระสุนด้วยเช่นกัน แม้บาดเจ็บไม่มาก แต่สุดท้ายเขาตัดสินใจจำต้องหยุดยิง แล้วนอนนิ่งๆ แบบไม่ไหวติงเพื่อตบตากลุ่มคนร้ายที่บุกเข้าไปในศาลารื้อค้นหยิบเอาทรัพย์สินและอาวุธปืนไป
อีกคนที่รอดชีวิตมาได้ นายณรงฤทธิ์ สิทธิพันธ์ บอกเล่าช่วงระทึกให้ฟังว่า ช่วงเกิดเหตุการณ์ตนได้ยินแต่เสียงอาวุธปืนที่กลุ่มคนร้ายกลาดยิงจากรอบทิศเข้าไปยังศาลาจุดตรวจ ทุกคนในป้อม ชรบ.ก็ได้ใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้กับกลุ่มคนร้ายจนกระสุนหมดกันไปทุกกระบอก แต่กลุ่มคนร้ายก็ยังระดมยิงทั้งกระสุนปืนและปาระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตในป้อมจำนวนมากดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มคนร้ายจำนวนหนึ่งก็น่าจะถูกยิงได้รับบาดเจ็บก่อนที่จะพากันหลบหนีไป

หลังเสียงปืนและระเบิดสงบลงม่นานก็มีกลุ่มชาวบ้านนำโดย นายทนง ไหมเหลือง นายก อบต.ลำพะยา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่และผู้นำศาสนาหลายร้อยคน ร่วมกันประณามการใช้ความรุนแรงของกลุ่มคนร้าย นอกจากนี้ยังมีการส่งสารเป็นข้อความจากญาติผู้เสียชีวิตออกมาให้สังคมรับรู้ด้วย อาทิ ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ศรัญญา พูลแก้ว ระบุว่าเป็นลูกสาวของ นายพูลสวัส พูลเเก้ว เเพทย์ประจำ ต.ลำพะยา โพสต์ข้อความว่า...
“พ่อเก่ง พ่อเป็นฮีโร่ แต่พ่อเคยบอกว่าพ่อจะอยู่กับลูก จะกลับไปทำสวนที่พัทลุง พ่อจะเป็นกำลังใจให้ลูกๆ ทำไมพ่อไม่กลับมา ใจขาดสลายแล้วพ่อเห้อ ทำไมเค้าถึงทำพ่อ พ่อไปทำไรให้เค้า ทำไมเค้าทำแบบนี้ ในหัวมีแต่คำถามมากมายไปหมด”
.
ก่อนจะตบท้ายด้วยข้อความว่า...
.
”หลับให้สบายนะสุดที่รัก ลูกจะเป็นพี่ที่ดีให้น้อง ลูกจะทำความดีเหมือนที่พ่อสอน ลูกจะเดินตามพ่ออย่างสมเกียรติ รักเท่าชีวิต”
.
ด้าน น.ส.ธิดารัตน์ ยอดแก้ว ลูกสาวของผู้เป็นพ่อ นายสุนทร ยอดแก้ว หนึ่งในผู้ทำหน้าที่ ชรบ. และผู้เป็นแม่ นางรัชนก ยอดแก้ว หนึ่งในผู้ทำหน้าที่ อรบ. ซึ่งก็คือสองสามีภรรยาที่เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ด้วย เธอกล่าวทั้งน้ำตานองหน้าว่า ช่วงกลางดึกได้ยินเสียงระเบิดและเสียงปืน รู้เลยว่าต้องเป็นจุดตรวจป้อม ชรบ.ที่พ่อกับแม่ไปเข้าเวร เสียใจกับการสูญเสียในครั้งนี้อย่างล้นเหลือ
“แต่ก็ดีใจที่พ่อกับแม่ได้เสียสละทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว เพราะคนที่รอดชีวิตมาได้นั้นเล่าว่า พ่อใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้กับกลุ่มคนร้ายจนกระสุนปืนหมด ก่อนที่จะถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต”

ว่ากันว่างานนี้เป็นฝีมือของขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ใช่ชื่อว่า “บีอาร์เอ็น” ที่เพิ่งนำเข้า “ชุดปฏิบัติการพิเศษ” กลับเข้ามาในพื้นที่ หลังจากได้ส่งคนรุ่นใหม่จากจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปฝึกการรบแบบกองโจรที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีจำนวน 4 ชุดๆ ละ 6 คน และได้กลับเข้ามาเมื่อราว 2 เดือนแล้ว
สอดคล้องกับคำกล่าวของ พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ที่ระบุว่า กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นเป็นผู้ก่อเหตุในครั้งนี้ รวมถึง พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ที่พูดตรงกันว่า เป็นฝีมือของบีอาร์เอ็นแน่นอน
“ชุดปฏิบัติการพิเศษ” นี้เคยร่วมกับแนวร่วมในพื้นที่ก่อเหตุมาแล้วคือ เมื่อคืนวันที่ 31 ต.ค.2562 โดยบุกเข้า อบต.น้ำดำ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี จับ รปภ.มัดมือ ก่อนจะปล้นเอารถยนต์ไปทำคาร์บอมบ์แล้วนำไปวางหน้าสภ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี งานนี้เจ้าหน้าที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่ฝ่ายโจรใต้กลับถูกวิสามัญไป 2 ศพ อีกทั้งล่าสุดมีการจับกุมผู้ต้องสงสัยแล้ว 2 ราย หนึ่งในนั้นเป็นน้องชายของ นายมะกูรอซี แมเลาะ หรือ ดาโต๊ะ สมาชิกกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบระดับแกนนำสั่งการ มีหมายจับของศาลจังหวัดปัตตานีที่ จ.237/48 อยู่ 1 หมาย
กรณีคนร้ายถูกวิสามัญไป 2 ศพนั้น ต้องนับเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายคาดหมายว่าน่าจะเป็นสาเหตุให้บีอาร์เอ็นสั่งชุดปฏิบัติการพิเศษให้ปฏิบัติการ “เอาคืน” โดยเล็งไปที่เป้าหมายที่อ่อนแออย่าง “ไทยพุทธ” และโดยเฉพาะกับ “กองกำลังท้องถิ่น” อย่าง ชรบ.และ อรบ.
นอกจากนี้ยังมองกันว่า กรณีที่เจ้าหน้าที่จับกุมตัว นายมะหะมะรอมือลี สาแม อายุ 56 ปี คนพื้นที่ ม.3 ต.ลำใหม่ อ.เมืองยะลา ผู้ต้องสงสัยคดีลอบวางระเบิดและยิงชุดคุ้มครองครูที่ ต.นาประดู่ อ.โคกโพธ์ จ.ปัตตานี จนทำให้ อส.เสียชีวิต 2 นาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 16 ก.ย. ตามหมายจับของศาลปัตตานี ฉฉ.ที่ 130/62 ลงวันที่ 20 ก.ย. 2562 สิ่งนี้อาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของปฏิบัติการยิงถล่มป้อม ชรบ.ที่ ต.ลำพะยา
เนื่องเพราะนายมะหะมะรอมือลีมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้า “ดาแอเราะห์” หรือผู้รับผิดชอบในเขตพื้นที่ 5 ตำบลใน จ.ยะลา ได้แก่ ต.ลิดล, ต.พร่อน, ต.ลำใหม่, ต.ยะลา และ ต.ลำพะยา

ทั้งนี้ นายรักชาติ สุวรรณ์ ตัวแทนเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ วิเคราะห์ต่อเพจ Patani Notes ว่า เหตุการณ์ 15 ศพที่เกิดขึ้นที่ ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา ถือเป็นสิ่งที่สั่นสะเทือนความเชื่อมั่นของ “ชุมชนที่ต้องดูแลตัวเอง” เนื่องจากลำพะยาถือเป็นพื้นที่ที่เรียกกันว่า “ชุมชนเข้มแข็ง”
ที่ผ่านมาแม้ด้านนอกชุมชนลำพะยาจะมีเจ้าหน้าที่ เช่น มีป้อม อส.อยู่ แต่ภายในชุมชนนั้นอาศัยพลเรือนด้วยกันเองดูแลความปลอดภัยร่วมกันในรูปแบบของ ชรบ. อันเป็นรูปแบบที่หวังกันว่าจะเป็นคำตอบสำหรับการแก้ปัญหาความไม่ปลอดภัยใน “ชุมชนคนพุทธ” ในขณะที่หลายฝ่ายชี้ว่า การมี “กองกำลังทหาร” อาจไม่ตอบโจทย์ และอยากให้มีการถอนทหารออกไป เหตุการณ์นี้จับต้องนับว่าท้าทายความคิดเรื่องการ “ถอนทหารออกจากไฟใต้” อย่างชัดเจน
“เราไม่ใช่อยากให้ทหารอยู่กับเราตลอดไป เราเองก็อยากให้พื้นที่บ้านเราสามจังหวัดกลับไปเหมือนเดิม แต่พอมีเรื่องอย่างนี้ขึ้นก็ต้องเข้าใจว่า คนพุทธส่วนใหญ่ต้องพึ่งทหาร เวลาที่พวกเขาถูกกระทำเขาก็ไม่รู้จะไปพึ่งใคร ก็ต้องพึ่งทหาร พอหลายคนบอกให้ทหารออก เราก็บอกว่าโอเคก็ให้ดูแลกันเอง แต่ว่ามันต้องปลอดภัย เมื่อมีแบบนี้เกิดขึ้น เรื่องจะมายืนยันคำเดิมให้ถอนทหาร ผมว่ายากแล้ว โดยเฉพาะในความเห็นพี่น้องคนพุทธ”
ด้าน พล.ท.พรศักดิ์ กล่าวว่ากลุ่มคนร้ายหวังสร้างภาพข่าวให้คนไทยทั้งประเทศตกใจ ขณะนี้ทั้ง อส.และ ชรบ.ต่างเป็นเป้าหมายหลักของเขา เป็นจุดอ่อนที่เลือกก่อเหตุ ถ้าสังเกตุให้ดีเหตุที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เราโต้ตอบอย่างทันควัน เพราะมีกำลังทั้งทหารหลักและทหารพราน
ตรงจุดนี้เราต้องปรับแผนพอสมควรคือ เปลี่ยนเป็นเข้าพื้นที่แทนการประจำตามป้อม จะไม่อยู่ตามป้อม อาจจะต้องจรยุทธ์ ไม่ให้สามารถจับเป้าหมายได้ถูก ทำเลต้องปรับ และต้องเจาะลึกคือ ไม่ใช่นอนในป่า แต่ต่อไปต้องนอนใต้ถุนบ้าน ในหมู่บ้าน นี่คือสิ่งที่ต้องปรับแน่นอน

อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวอิศราได้เผยแพร่ข้อสังเกตจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงว่า การก่อเหตุครั้งนี้อาจจะมาจากการที่มีข่าวการเตรียมพบปะหารือระหว่างหัวหน้าคณะพูดคุยฝ่ายรัฐบาลไทย พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ กับผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุยของรัฐบาลมาเลเซีย เพื่อเดินหน้ากระบวนการพูดคุยรอบใหม่ โดยมีการกดดันให้กลุ่มบีอาร์เอ็นสายฮาร์ดคอร์ หรือตัวแทนกลุ่มติดอาวุธเข้าร่วมโต๊ะพูดคุยด้วย อาจเป็นสาเหตุให้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ต้องสร้างสถานการณ์เพื่อแสดงศักยภาพและเพิ่มอำนาจต่อรอง
นอกจากนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงว่า ช่วงหลายปีหลังมานี้การก่อเหตุรุนแรงครั้งใหญ่มักมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กับความเคลื่อนไหวเรื่อง “กระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข” และความเคลื่อนไหวขององค์กรต่างประเทศ โดยเฉพาะมาเลเซียที่เกี่ยวกับแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
นั่นจะเห็นได้ว่าทั้งเสียงปืนและเสียงระเบิดที่ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตคนไทยด้วยกันถึง 15 ศพ เหตุการณ์นี้ได้พุ่งเข้ากระทบต่อ “องคาพยพไฟใต้” อย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง รวมไปถึงชาวบ้านไม่ว่าจะเป็น “ไทยพุทธ” หรือ “ไทยมุสลิม”
พร้อมๆ กับมีคำถามต่อทุกฝ่ายว่า บรรดาองค์ประกอบที่ก่อตัวขึ้นเป็น “องคาพยพไฟใต้” เหล่านี้จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนไปเช่นนี้ได้อย่างไร
โดยเฉพาะฝ่ายกองทัพที่ “แม่ทัพภาคที่ 4” ประกาศจะปรับแผนขยายพื้นที่ให้ทหารเข้าไปเป็นกำลังหลักในแต่ละหมู่บ้าน จะมีผลออกมาเช่นไร จะหยุดยั้งป้องกันการก่อเหตุได้มากน้อยแค่ไหน และแม้แต่ “บีอาร์เอ็น” ก็เช่นกัน ต่อจากนี้ไปสังคมไทยจะได้เห็นรูปแบบความเคลื่อนไหวเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างที่ไม่ควรจะประมาทได้อีกต่อไป
โดย... ศูนย์ข่าวหาดใหญ่
.
นับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของสังคมไทย และสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นผู้กุมกลไกอำนาจรัฐ เมื่อกลุ่มคนร้ายที่เชื่อว่ามีจำนวนหลายสิบคนบุกเข้าไปยิงถล่มจุดตรวจชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) บ้านทางลุ่ม ม.5 ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา กลางดึกของคืนวันที่ 5 พ.ย.2562 ซึ่งวันนั้นมีการนัดหมายให้มาประชุมกัน จึงมีทั้ง ชรบ. และ อรบ. (อาสาสมัครรักษาหมู่บ้าน) รวมทั้งเครือญาติ นักศึกษาและประชาชนร่วมกันตกเป็นเหยื่อถึง 15 ศพ แถมยังมีผู้บาดเจ็บอีก 5 ราย
เมื่อสิ้นเสียงปืนก็มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที 11 ศพ ที่เหลืออีก 9 คนมีทั้งบาดเจ็บสาหัสไปจนถึงเล็กน้อย มีความพยายามต่อกรกับฝ่ายตรงข้ามจนหมดแรงจะต่อสู้ขัดขืน ที่สุดพวกเขาก็ทำได้แต่นอนนิ่งยอมรับชะตากรรม แต่ก็เป็นเรื่องสุดสะเทือนใจเมื่อ 4 ใน 9 คนนั้นไม่อาจจะต้านทานต่อความเจ็บปวดต่อไปได้ ได้เสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาลยะลา รวมมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ 15 คน ส่วนอีก 5 คนยังคงต้องรับการรักษาตัวต่อไป
หนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้คือ นายอาหาหมัด รัตตัญญู บอกเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า คืนนั้นอากาศเย็น เพราะมีฝนตก จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากทางทิศใต้ หลังจากนั้นกระสุนจำนวนมากก็สาดเข้าใส่ชุด ชรบ.และ อรบ.ที่ล้อมวงร่วมรับประทานอาหารและพูดคุยกันอยู่ในศาลาที่แปรสภาพเป็นจุดตรวจ โดยที่ทุกคนยังไม่มีเวลาตั้งตัวและต่างอยู่ในอาการตกใจจนทำอะไรแทบไม่ถูก
.
“ผมเห็นเพื่อนๆ ถูกยิงล้มลงนอนแน่นิ่งต่อหน้าต่อตา”
.
เมื่อตั้งสติได้นายอาหาหมัดและเพื่อนๆ จึงคว้าอาวุธปืนยิงตอบโต้ออกไป แต่กลุ่มคนร้ายยังคงยิงถล่มแบบไม่ขาดสาย ชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อหลายคนถูกยิงล้มลงคนแล้วคนเล่า ส่วนตัวเขาเองก็ถูกคมกระสุนด้วยเช่นกัน แม้บาดเจ็บไม่มาก แต่สุดท้ายเขาตัดสินใจจำต้องหยุดยิง แล้วนอนนิ่งๆ แบบไม่ไหวติงเพื่อตบตากลุ่มคนร้ายที่บุกเข้าไปในศาลารื้อค้นหยิบเอาทรัพย์สินและอาวุธปืนไป
อีกคนที่รอดชีวิตมาได้ นายณรงฤทธิ์ สิทธิพันธ์ บอกเล่าช่วงระทึกให้ฟังว่า ช่วงเกิดเหตุการณ์ตนได้ยินแต่เสียงอาวุธปืนที่กลุ่มคนร้ายกลาดยิงจากรอบทิศเข้าไปยังศาลาจุดตรวจ ทุกคนในป้อม ชรบ.ก็ได้ใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้กับกลุ่มคนร้ายจนกระสุนหมดกันไปทุกกระบอก แต่กลุ่มคนร้ายก็ยังระดมยิงทั้งกระสุนปืนและปาระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตในป้อมจำนวนมากดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มคนร้ายจำนวนหนึ่งก็น่าจะถูกยิงได้รับบาดเจ็บก่อนที่จะพากันหลบหนีไป
หลังเสียงปืนและระเบิดสงบลงม่นานก็มีกลุ่มชาวบ้านนำโดย นายทนง ไหมเหลือง นายก อบต.ลำพะยา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่และผู้นำศาสนาหลายร้อยคน ร่วมกันประณามการใช้ความรุนแรงของกลุ่มคนร้าย นอกจากนี้ยังมีการส่งสารเป็นข้อความจากญาติผู้เสียชีวิตออกมาให้สังคมรับรู้ด้วย อาทิ ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ศรัญญา พูลแก้ว ระบุว่าเป็นลูกสาวของ นายพูลสวัส พูลเเก้ว เเพทย์ประจำ ต.ลำพะยา โพสต์ข้อความว่า...
“พ่อเก่ง พ่อเป็นฮีโร่ แต่พ่อเคยบอกว่าพ่อจะอยู่กับลูก จะกลับไปทำสวนที่พัทลุง พ่อจะเป็นกำลังใจให้ลูกๆ ทำไมพ่อไม่กลับมา ใจขาดสลายแล้วพ่อเห้อ ทำไมเค้าถึงทำพ่อ พ่อไปทำไรให้เค้า ทำไมเค้าทำแบบนี้ ในหัวมีแต่คำถามมากมายไปหมด”
.
ก่อนจะตบท้ายด้วยข้อความว่า...
.
”หลับให้สบายนะสุดที่รัก ลูกจะเป็นพี่ที่ดีให้น้อง ลูกจะทำความดีเหมือนที่พ่อสอน ลูกจะเดินตามพ่ออย่างสมเกียรติ รักเท่าชีวิต”
.
ด้าน น.ส.ธิดารัตน์ ยอดแก้ว ลูกสาวของผู้เป็นพ่อ นายสุนทร ยอดแก้ว หนึ่งในผู้ทำหน้าที่ ชรบ. และผู้เป็นแม่ นางรัชนก ยอดแก้ว หนึ่งในผู้ทำหน้าที่ อรบ. ซึ่งก็คือสองสามีภรรยาที่เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ด้วย เธอกล่าวทั้งน้ำตานองหน้าว่า ช่วงกลางดึกได้ยินเสียงระเบิดและเสียงปืน รู้เลยว่าต้องเป็นจุดตรวจป้อม ชรบ.ที่พ่อกับแม่ไปเข้าเวร เสียใจกับการสูญเสียในครั้งนี้อย่างล้นเหลือ
“แต่ก็ดีใจที่พ่อกับแม่ได้เสียสละทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว เพราะคนที่รอดชีวิตมาได้นั้นเล่าว่า พ่อใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้กับกลุ่มคนร้ายจนกระสุนปืนหมด ก่อนที่จะถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต”
ว่ากันว่างานนี้เป็นฝีมือของขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ใช่ชื่อว่า “บีอาร์เอ็น” ที่เพิ่งนำเข้า “ชุดปฏิบัติการพิเศษ” กลับเข้ามาในพื้นที่ หลังจากได้ส่งคนรุ่นใหม่จากจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปฝึกการรบแบบกองโจรที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีจำนวน 4 ชุดๆ ละ 6 คน และได้กลับเข้ามาเมื่อราว 2 เดือนแล้ว
สอดคล้องกับคำกล่าวของ พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ที่ระบุว่า กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นเป็นผู้ก่อเหตุในครั้งนี้ รวมถึง พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ที่พูดตรงกันว่า เป็นฝีมือของบีอาร์เอ็นแน่นอน
“ชุดปฏิบัติการพิเศษ” นี้เคยร่วมกับแนวร่วมในพื้นที่ก่อเหตุมาแล้วคือ เมื่อคืนวันที่ 31 ต.ค.2562 โดยบุกเข้า อบต.น้ำดำ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี จับ รปภ.มัดมือ ก่อนจะปล้นเอารถยนต์ไปทำคาร์บอมบ์แล้วนำไปวางหน้าสภ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี งานนี้เจ้าหน้าที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่ฝ่ายโจรใต้กลับถูกวิสามัญไป 2 ศพ อีกทั้งล่าสุดมีการจับกุมผู้ต้องสงสัยแล้ว 2 ราย หนึ่งในนั้นเป็นน้องชายของ นายมะกูรอซี แมเลาะ หรือ ดาโต๊ะ สมาชิกกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบระดับแกนนำสั่งการ มีหมายจับของศาลจังหวัดปัตตานีที่ จ.237/48 อยู่ 1 หมาย
กรณีคนร้ายถูกวิสามัญไป 2 ศพนั้น ต้องนับเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายคาดหมายว่าน่าจะเป็นสาเหตุให้บีอาร์เอ็นสั่งชุดปฏิบัติการพิเศษให้ปฏิบัติการ “เอาคืน” โดยเล็งไปที่เป้าหมายที่อ่อนแออย่าง “ไทยพุทธ” และโดยเฉพาะกับ “กองกำลังท้องถิ่น” อย่าง ชรบ.และ อรบ.
นอกจากนี้ยังมองกันว่า กรณีที่เจ้าหน้าที่จับกุมตัว นายมะหะมะรอมือลี สาแม อายุ 56 ปี คนพื้นที่ ม.3 ต.ลำใหม่ อ.เมืองยะลา ผู้ต้องสงสัยคดีลอบวางระเบิดและยิงชุดคุ้มครองครูที่ ต.นาประดู่ อ.โคกโพธ์ จ.ปัตตานี จนทำให้ อส.เสียชีวิต 2 นาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 16 ก.ย. ตามหมายจับของศาลปัตตานี ฉฉ.ที่ 130/62 ลงวันที่ 20 ก.ย. 2562 สิ่งนี้อาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของปฏิบัติการยิงถล่มป้อม ชรบ.ที่ ต.ลำพะยา
เนื่องเพราะนายมะหะมะรอมือลีมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้า “ดาแอเราะห์” หรือผู้รับผิดชอบในเขตพื้นที่ 5 ตำบลใน จ.ยะลา ได้แก่ ต.ลิดล, ต.พร่อน, ต.ลำใหม่, ต.ยะลา และ ต.ลำพะยา
ทั้งนี้ นายรักชาติ สุวรรณ์ ตัวแทนเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ วิเคราะห์ต่อเพจ Patani Notes ว่า เหตุการณ์ 15 ศพที่เกิดขึ้นที่ ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา ถือเป็นสิ่งที่สั่นสะเทือนความเชื่อมั่นของ “ชุมชนที่ต้องดูแลตัวเอง” เนื่องจากลำพะยาถือเป็นพื้นที่ที่เรียกกันว่า “ชุมชนเข้มแข็ง”
ที่ผ่านมาแม้ด้านนอกชุมชนลำพะยาจะมีเจ้าหน้าที่ เช่น มีป้อม อส.อยู่ แต่ภายในชุมชนนั้นอาศัยพลเรือนด้วยกันเองดูแลความปลอดภัยร่วมกันในรูปแบบของ ชรบ. อันเป็นรูปแบบที่หวังกันว่าจะเป็นคำตอบสำหรับการแก้ปัญหาความไม่ปลอดภัยใน “ชุมชนคนพุทธ” ในขณะที่หลายฝ่ายชี้ว่า การมี “กองกำลังทหาร” อาจไม่ตอบโจทย์ และอยากให้มีการถอนทหารออกไป เหตุการณ์นี้จับต้องนับว่าท้าทายความคิดเรื่องการ “ถอนทหารออกจากไฟใต้” อย่างชัดเจน
“เราไม่ใช่อยากให้ทหารอยู่กับเราตลอดไป เราเองก็อยากให้พื้นที่บ้านเราสามจังหวัดกลับไปเหมือนเดิม แต่พอมีเรื่องอย่างนี้ขึ้นก็ต้องเข้าใจว่า คนพุทธส่วนใหญ่ต้องพึ่งทหาร เวลาที่พวกเขาถูกกระทำเขาก็ไม่รู้จะไปพึ่งใคร ก็ต้องพึ่งทหาร พอหลายคนบอกให้ทหารออก เราก็บอกว่าโอเคก็ให้ดูแลกันเอง แต่ว่ามันต้องปลอดภัย เมื่อมีแบบนี้เกิดขึ้น เรื่องจะมายืนยันคำเดิมให้ถอนทหาร ผมว่ายากแล้ว โดยเฉพาะในความเห็นพี่น้องคนพุทธ”
ด้าน พล.ท.พรศักดิ์ กล่าวว่ากลุ่มคนร้ายหวังสร้างภาพข่าวให้คนไทยทั้งประเทศตกใจ ขณะนี้ทั้ง อส.และ ชรบ.ต่างเป็นเป้าหมายหลักของเขา เป็นจุดอ่อนที่เลือกก่อเหตุ ถ้าสังเกตุให้ดีเหตุที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เราโต้ตอบอย่างทันควัน เพราะมีกำลังทั้งทหารหลักและทหารพราน
ตรงจุดนี้เราต้องปรับแผนพอสมควรคือ เปลี่ยนเป็นเข้าพื้นที่แทนการประจำตามป้อม จะไม่อยู่ตามป้อม อาจจะต้องจรยุทธ์ ไม่ให้สามารถจับเป้าหมายได้ถูก ทำเลต้องปรับ และต้องเจาะลึกคือ ไม่ใช่นอนในป่า แต่ต่อไปต้องนอนใต้ถุนบ้าน ในหมู่บ้าน นี่คือสิ่งที่ต้องปรับแน่นอน
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวอิศราได้เผยแพร่ข้อสังเกตจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงว่า การก่อเหตุครั้งนี้อาจจะมาจากการที่มีข่าวการเตรียมพบปะหารือระหว่างหัวหน้าคณะพูดคุยฝ่ายรัฐบาลไทย พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ กับผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุยของรัฐบาลมาเลเซีย เพื่อเดินหน้ากระบวนการพูดคุยรอบใหม่ โดยมีการกดดันให้กลุ่มบีอาร์เอ็นสายฮาร์ดคอร์ หรือตัวแทนกลุ่มติดอาวุธเข้าร่วมโต๊ะพูดคุยด้วย อาจเป็นสาเหตุให้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ต้องสร้างสถานการณ์เพื่อแสดงศักยภาพและเพิ่มอำนาจต่อรอง
นอกจากนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงว่า ช่วงหลายปีหลังมานี้การก่อเหตุรุนแรงครั้งใหญ่มักมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กับความเคลื่อนไหวเรื่อง “กระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข” และความเคลื่อนไหวขององค์กรต่างประเทศ โดยเฉพาะมาเลเซียที่เกี่ยวกับแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
นั่นจะเห็นได้ว่าทั้งเสียงปืนและเสียงระเบิดที่ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตคนไทยด้วยกันถึง 15 ศพ เหตุการณ์นี้ได้พุ่งเข้ากระทบต่อ “องคาพยพไฟใต้” อย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง รวมไปถึงชาวบ้านไม่ว่าจะเป็น “ไทยพุทธ” หรือ “ไทยมุสลิม”
พร้อมๆ กับมีคำถามต่อทุกฝ่ายว่า บรรดาองค์ประกอบที่ก่อตัวขึ้นเป็น “องคาพยพไฟใต้” เหล่านี้จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนไปเช่นนี้ได้อย่างไร
โดยเฉพาะฝ่ายกองทัพที่ “แม่ทัพภาคที่ 4” ประกาศจะปรับแผนขยายพื้นที่ให้ทหารเข้าไปเป็นกำลังหลักในแต่ละหมู่บ้าน จะมีผลออกมาเช่นไร จะหยุดยั้งป้องกันการก่อเหตุได้มากน้อยแค่ไหน และแม้แต่ “บีอาร์เอ็น” ก็เช่นกัน ต่อจากนี้ไปสังคมไทยจะได้เห็นรูปแบบความเคลื่อนไหวเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างที่ไม่ควรจะประมาทได้อีกต่อไป