xs
xsm
sm
md
lg

15 ศพยะลาฝีมือ 4 ชุดคนหน้าขาวผ่านการฝึกกองโจรที่อินโดฯ “บีอาร์เอ็น” เพิ่งนำเข้า อีกหนของการสังเวย “ผู้นำกองทัพ” ที่ไม่ยอมรับความจริง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้  /  โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
 


 
ก่อนเขียนถึงประเด็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของ “กองกำลังท้องถิ่น” จำนวนมากถึง 15 ศพ และบาดเจ็บอีก 5 ราย จากการโจมตีของโจรใต้ หรือแนวร่วม “ขบวนการบีอาร์เอ็น” ที่บ้านทางลุ่ม หมู่ 5 ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บก่อน เพราะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของฝ่ายประชาชนที่มีจิตอาสาในการป้องกันหมู่บ้าน
 
การสูญเสียครั้งนี้ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องของผู้เสียชีวิตเองเท่านั้น แต่เป็นการสูญเสียของครอบครัว ลูกๆ ต้องสูญเสียพ่อแม่ ส่วนพ่อแม่ก็ต้องลูกเสียลูก และที่สำคัญที่สุดคือ ประชาชนต้องสูญเสียความเชื่อมั่นต่อ “หน่วยงานความมั่นคง” ที่มักจะบอกว่า “เดินมาถูกทางแล้ว” แต่กลับไม่เคยสามารถที่จะปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ได้อย่างแท้จริง
 
ผู้เขียนเคยเขียนไว้ ณ ที่นี่บ่อยครั้งว่า สถานการณ์ที่ “สงบลงชั่วคราว” ในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย มาจากการที่ “ฝ่ายทหาร” ไม่มีการเปิด “ปฏิบัติการทางทหาร” ต่อเป้าหมายในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ มักไม่ค่อยทำการเปิดเกมรุก
 
แต่เมื่อมีการเปิดฉากรุกจนมีการจับกุม ตรวจค้นและวิสามัญเกิดขึ้นคราใด แนวร่วมขบวนการบีอาร์เอ็นก็จำเป็นจะต้อง“เอาคืน” โดยถ้าทำกับทหารหรือตำรวจไม่ได้ ผู้ที่ต้องถูกตกเป็นเหยื่อก็จะกลายเป็น “กองกำลังท้องถิ่น” ไม่ว่าจะเป็น ทหารพราน อาสาสมัคร (อส.) ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ชุดคุ้มครองตำบล (ชคต.)หรือ กองพันราษฎรอาสารักษาหมู่บ้าน (อรบ.) และที่เลวร้ายกว่านั้นคือ การเอาคืนกับ “ไทยพุทธ” ซึ่งเป็นเป้าหมายอ่อนแอ
 
เหตุการณ์เมื่อไม่กี่วันก่อนที่มีการวิสามัญโจรใต้หรือแนวร่วมขบวนการบีอาร์เอ็น 2 ศพ ที่ ต.ปะเสยะวอ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับมีการวางระเบิดคาร์บอมบ์ที่หน้า สภ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี แล้วหลังจากนั้นก็มีการจับกุมแนวร่วมในพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่เชื่อว่า เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุลอบวาระเบิดและคาร์บอมบ์ รวมถึงการโจมตีจุดตรวจรวม 4 เหตุการณ์
 
ว่ากันว่านี่คือที่มาของปฏิบัติการโจมตีชุด ชรบ.และ อรบ.ที่บ้านทางลุ่ม ต.ลำพะยา จนทำให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ต่อกองกำลังท้องถิ่นดังกล่าว ซึ่งจุดตรวจหรือป้อมยาม ชรบ.บ้านทางลุ่ม เวลากลางวันจะมีเจ้าหน้าที่ อส.มาประจำอยู่ด้วย แต่ในเวลากลางคืนจะมีกำลังของ ชรบ.และ อรบ.มาเข้าเวรเพื่อป้องกันเหตุและรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน
 
พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ “ชุมชนไทยพุทธเข้มแข็ง” เพราะมีชาวไทยพุทธอาศัยอยู่ถึงประมาณ 80% ที่เหลือเป็นมุสลิมราว 20% ในคืนเกิดเหตุมีการประชุมและสังสรรค์กัน โดยมีการทำข้าวปลาอาหารมากินรวมกัน ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า จะมีการพบปะประจำเดือนๆ ละ 1-2 ครั้ง ข้อมูลรายละเอียดเรื่องนี้จึงทำให้แนวร่วมขบวนการบีอาร์เอ็นที่เกาะติดความเคลื่อนไหวของกองกำลังท้องถิ่นชุดนี้รับรู้ได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร ดังนั้นแผนของบีอาร์เอ็นจึงสามารถปฏิบัติการได้อย่างบรรลุผล
 
จากการตรวจสอบ พบว่า บีอาร์เอ็นมีการจัดกำลังปฏิบัติการครั้งนี้ถึง 3 ชุด โดยใช้กองกำลังอาร์เคเคไม่ต่ำกว่า 60 คน ตั้งแต่เผายางรถยนต์ ยิงจุดตรวจ วางระเบิดเสาไฟฟ้า วางตะปูเรือใบ และวางระเบิดบนถนนเพื่อสกัดการส่งกำลังเข้าที่เกิดเหตุ รวมถึงต้องการสกัดกั้นไม่ให้เจ้าหน้าที่ตามไล่ล่าระหว่างหลบหนี 
 
การสูญเสียครั้งใหญ่ของกองกำลังท้องถิ่นที่เป็นประชาชนในครั้งนี้ ไม่ใช่พวกเขาไม่สู้หรือสู้ได้ไม่เก่ง แต่เป็นเพราะพวกเขาสู้ไม่ได้ทั้งในเรื่องของกองกำลัง อาวุธและยุทธวิธี พวกเขายิงต่อสู้จนฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บไปอย่างน้อย 1-2 คนเหมือนกัน
 
แต่เนื่องจากการโจมตีของบีอาร์เอ็นครั้งนี้ได้ถูกกำหนดแผนมาก่อนเป็นอย่างดี โดยใช้วิธีสู้รบแบบกองโจร โจมตี ฉาบฉวย ละลายฐาน เก็บกวาดอาวุธ แล้วจึงถอนตัว ซึ่งยุทธวิธีแบบนี้อย่าว่าแต่ชาวบ้านที่เป็นกองกำลังท้องถิ่นจะรับมือไม่ได้เลย แม้แต่ฝ่ายทหารและตำรวจก็เคยเพลี่ยงพล้ำมามากต่อมากแล้ว
 
ดังนั้น ความสูญเสียครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง จึงไม่ใช่เรื่องของการที่กองกำลังท้องถิ่นไม่สู้ หรือสู้รบได้ไม่เก่ง แต่เป็นเพราะ “งานการข่าว” ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ไม่ได้รับการพัฒนาขีดความสามารถให้มีประสิทธิภาพเพียงพอ จึงทำให้หน่วยงานกรองไม่ทราบความเคลื่อนไหวของฝ่ายขบวนการบีอาร์เอ็น
 
ปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับความล้มเหลวของการดับไฟใต้คือ ในยุคคนี้ “ผู้บังคับบัญชา” มักไม่สนใจหรือไม่ให้น้ำหนักในเรื่องราวของ “บีอาร์เอ็น” แถมหากหน่วยไหนพูดถึงชื่อขบวนการแบ่งแยกดินแดนนี้ในที่ประชุมก็จะกลาย “แกะดำ” ในหน่วยงานไปเลย จึงมีความพยายามเบี่ยงเบนว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของ “ภัยแทรกซ้อน” หรือโยนให้เป็นเรื่องของ “ขบวนการค้ายาเสพติด” หรือ “กลุ่มผู้มีอิทธิพล” แบบหน้าตาเฉย
 
เมื่อปฏิเสธว่าไม่มีบีอาร์เอ็นบนแผ่นดินไฟใต้ วันนี้สิ่งที่หน่วยงานความมั่นคงตั้งแต่ “ส่วนกลาง” ไล่เรียงลงมาจนถึง “ท้องที่” ควรต้องมีคำตอบให้ประชาชนเข้าใจได้ว่า การโจมตีป้อมยามหรือจุดตรวจ ชรบ.ที่บ้านทางลุ่ม ต.ลำพะยา ดังกล่าวเป็นฝีมือของใคร เป็นภัยแทรกซ้อนจากฝีมือคนกลุ่มไหนและหวังผลอะไร ทำไมจึงต้องถึงขั้นเปิดปฏิบัติการ “ละลายฐาน” ของกองกำลังท้องถิ่นในครั้งนี้
 
สถานการณ์ไฟใต้ระลอกใหม่ที่โชนไฟมายาวนานเกือบ 16 ปีเต็มเข้าแล้วในเวลานี้ ต้องยอมรับความจริงว่าเกิดจากฝีมือของขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ใช้ชื่อว่า “บีอาร์เอ็น” อย่างแน่นอน พวกเขาประกาศตัวเป็นแกนหลักในการสร้างสถานการณ์มานานแล้ว ซึ่งแม้แต่ “องค์การสหประชาชาติ “ หรือ “หน่วยงานฝรั่งหัวแดง” ต่างๆ ที่เข้าไปตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ใน จ.ปัตตานีมาหลายปีแล้ว พวกเขาต่างก็รู้เรื่องราวทั้งหมด พร้อมๆ กับการตั้งหน้าตั้งตารอให้สถานการณ์สุกงอมเพื่อที่จะได้เข้าแทรกแซงได้ในทันที
 
มิพักต้องลากยาวถึงเหตุการณ์ในอดีตไกลโพ้น เอาแค่เหตุการณ์ใกล้ๆ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์วางระเบิด 18 จุดในกรุงเทพฯ ก็เป็นฝีมือของบีอาร์เอ็นอย่างแน่นอน เหตุการปล้นทองครั้งใหญ่ใน อ.นาทวี จ.สงขลา ซึ่งจนป่านนี้ยังจับใครไม่ได้สักคน นี่ก็เป็นฝีมือของบีอาร์เอ็น รวมถึงเหตุการปล้นรถยนต์จาก อบต.น้ำดำ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี ไปใช้ทำคาร์บอมบ์ที่หน้า สภ.ไม่แก่น จ.ปัตตานี เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นั่นก็เป็นฝีมือของบีอาร์เอ็นอีก
 
หรือว่า “หน่วยงานความมั่นคง” รวมถึงหน่วยงานรัฐอื่นๆ มีหลักฐานว่าเป็นฝีมือของขบวนการค้ายาเสพติด หรือกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่ถูกจัดไว้ในประเภท “ภัยแทรกซ้อน” ซึ่งถ้ามีหลักฐานก็ควรจะแสดงให้สังคมเห็นกันแบบกระจ่างชัดตำลูกตากันไปเลย
 
มีข้อมูลที่เชื่อถือได้ระบุว่า ราว 2 เดือนมาแล้วที่ขบวนการบีอาร์เอ็นได้ส่ง “ชุดปฏิบัติการพิเศษ” ที่ผ่านฝึกหลักสูตรการโจมตีแบบกองโจรจากประเทศอินโดนีเซียให้เข้ามาเปิดปฏิบัติการในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ถึงจำนวน 4 ชุด นั่นคือมีเป้าหมายให้เปิดปฏิบัติการใน จ.ปัตตานี จ.ยะลา จ.นราธิวาส และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา คือ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้ายย้อย
 
ทั้งนี้ ชุดปฏิบัติการพิเศษของบีอาร์เอ็นดังกล่าวได้ลงมือทำงานกันไปแล้วอย่างน้อย 2 เหตุการณ์ คือ คาร์บอมบ์ที่หน้า สภ.ไม้แก่น จ.ปัตตานีเมื่อหลายวันก่อน กับล่าสุดการรวมตัวบุกโจมตีเพื่อละลายฐาน ชรบ.ที่บ้านทางลุ่ม ต.ลำพะยา อีกทั้งยังเชื่อว่าจะมีปฏิบัติการตามมาอีกหลายเหตุการณ์ในห้วงเวลา 2 เดือนที่เหลือของปี 2562 นี้
 
มีข้อมูลด้วยว่า ชุดปฏิบัติการพิเศษของบีอาร์เอ็นทั้ง 4 ชุดดังกล่าว มีการจัดกำลังไว้ชุดละ 6 คนที่ล้วนเป็น “คนหน้าขาว” ทั้งสิ้น ซึ่งหมายถึงเป็นแนวร่วมรุ่นใหม่ที่ไม่เคยมีประวัติก่อเหตุมาก่อน เพื่อให้ง่ายในการเคลื่อนไหว แต่ยุ่งยากสำหรับเจ้าหน้าที่ในการติดตามไล่ล่าหรือเข้าจับกุม โดยในการปฏิบัติการแต่ละครั้งจะมีการมอบให้แนวร่วมระดับต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่ประกอบกำลังเข้าร่วมด้วยครั้งละประมาณ 20 คนขึ้นไป ซึ่งก็แล้วแต่เป้าหมายว่าจะเล็กหรือใหญ่ หรือมีความสำคัญแค่ไหน
 
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่หน่วยงานรัฐควรต้องทราบไว้ด้วย เพื่อการต่อสู้ที่นำไปสู่ชัยชนะในอนาคต กล่าวคือ เมื่อ 2 ปีก่อนบีอาร์เอ็นได้บ่มเพาะเยาวชนเข้าสู่ขบวนการ เพื่อให้เป็นแนวร่วมในระดับต่างๆ ไว้ได้เพียงประมาณ 800 คน แต่เมื่อมาถึงวันนี้กลับมีเยาวชนที่ผ่านการบ่มเพาะจากขบวนการบีอาร์เอ็นเพิ่มเป็นกว่า 10,000 คนแล้ว
 
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมี “จุดอ่อน” ที่หน่วยงานความมั่นคงต้องรับรู้ไว้คือ มีจุดตรวจ ฐานปฏิบัติการหรือป้อมยามเป็นจำนวนไม่น้อยที่ยัง “ถูกละเลย” แบบแทบไม่มีการใส่ใจดูแล ไม่มีการจัดระเบียบ กองกำลังที่เข้าประจำการก็มักจะนั่งเล่นไลน์หรือเฟซบุ๊กกันสนุกสนาน บางจุดอาจมีการมั่วสุมทั้งกินเหล้าและเล่นไพ่ในเวลากลางคืน ซึ่งจุดตรวจหรือฐานปฏิบัติการแบบที่ว่านี้คือ “เป้าหมายต่อไป” ของชุดปฏิบัติการพิเศษที่บีอาร์เอ็นนำเข้ามาทั้ง 4 ชุดนั่นเอง
 
ทั้งหมดทั้งปวงนี้สรุปได้ว่า ถ้าหน่วยงานความมั่นคงยังปฏิเสธว่าบนแผ่นดินไฟใต้ไม่มี “บีอาร์เอ็น” ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของ “ภัยแทรกซ้อน” โดยเฉพาะเป็นฝีมือขบวนการค้ายาเสพติดหรือกลุ่มผู้มีอิทธิพล
 
นับแต่นี้ไปก็ให้ “แม่ทัพภาค 4” เตรียมเดินสายไปวางพวงหรีด และให้ “เลขาธิการ ศอ.บต.” เตรียมหาเงินไว้จ่าย “ค่าเยียวยา” ผู้สูญเสียรายต่อๆ ไปได้เลย
 
ส่วน “คนในพื้นที่” ก็ต้องเตรียมพร้อมในการป้องกันให้อยู่รอดปลอดภัยกันเอาเอง เพราะเมื่อผู้รับผิดชอบไม่ยอมรับความจริง นั่นก็อย่าหวังว่าจะเดินหน้าดับไฟใต้อย่างที่พร่ำบ่นไว้บ่อยๆ ว่า “เราเดินมาถูกทางแล้ว” นั่นเอง
 
 


กำลังโหลดความคิดเห็น