ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) เปิดตัวหนังสือนิทานต้านหัด “อานีสเป็นหัด” หวังลดการเสียชีวิตจากโรคหัดของเด็กในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ในปี 2559 ประเทศไทย เริ่มประสบปัญหาโรคหัด โดยพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2561 พบผู้ป่วย จำนวน 4,372 ราย เสียชีวิตแล้ว 23 ราย และในปี 2562 ข้อมูลวันที่ 18 ตุลาคม 2562 พบผู้ป่วยแล้ว 2,926 ราย เสียชีวิต 18 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่อายุน้อยว่า 1 ปี ผู้ป่วยร้อยละ 84 ไม่เคยได้รับวัคซีนหัดมาก่อน โดยกลุ่มที่น่าห่วงคือ กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และ 4 อำเภอของสงขลาที่ได้วัคซีนไม่ครบ เนื่องจากความเชื่อด้านศาสนา และปัญหาอนามัยแม่ และเด็กในพื้นที่
นพ.บุญแสง บุญอำนวยกิจ ผู้อำนวยการศูนย์อนามัยที่ 12 เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ได้มีการร่วมมือกันแก้ปัญหาโรคหัดในพื้นที่หลายโครงการ เช่น มีการประสานไปยังจุฬาราชมนตรี เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงว่าวัคซีนดังกล่าวไม่ได้ขัดกับหลักศาสนา และได้ทำหนังสือไปยังพื้นที่เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมทั้งประสานไปยังผู้นำศาสนา ฝ่ายปกครองในพื้นที่ รวมถึงผู้นำหมู่บ้าน เพื่อขอความร่วมมือในการชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาไปได้บ้าง แต่ก็ยังมีค่าอัตราการรับวัคซีนต่ำกว่าอัตราการรับวัคซีนในประเทศ และมีการร่วมกับสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 ศึกษาความชุกภาวะขาดวิตามินเอ ของเด็กต่ำกว่า 5 ปีในพื้นที่ พบผู้ป่วยโรคหัดเสียชีวิตจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง ตลอดจนการแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการของเด็กในพื้นที่ชายแดนใต้อีกด้วย โดยในช่วงที่มีการระบาดของโรคหัด มีการเปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (Emergency Operations Center, EOC) ในระดับเขต เพื่อเร่งรัดการแก้ปัญหาให้หมดไป
ผศ.นพ.เทอดพงศ์ ทองศรีราช อาจารย์ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดเผยว่า ประเด็นที่ชาวมุสลิมกังวลเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนมีอยู่หลายประเด็น ตั้งแต่ประเด็นที่มีเหตุผลตามหลักศาสนาอิสลาม ไปจนถึงข่าวลือหรือความเชื่อผิดๆ ที่ส่งต่อกันมา โดยประเด็นหลักที่ชาวมุสลิมเชื่อกันเป็นส่วนมาก คือ เรื่องส่วนประกอบของวัคซีนซึ่งมีเจลาติน (gelatin) เป็นสารที่ทำให้วัคซีนคงตัว เจลาตินสกัดจากคอลลาเจนที่พบในเอ็น กระดูก และกระดูกอ่อนของสัตว์ เช่น ไก่ วัว หมู และปลา โดยชาวมุสลิมเชื่อว่า หากมีการสกัดสารจากสัตว์ต้องมีกระบวนการทำแบบฮาลาลตามหลักศาสนาอิสลาม กรณีนี้ จุฬาราชมนตรี เคยมีคำวินิจฉัย (ฟัตวา) ไว้ในปี 2556 ว่าสามารถฉีดวัคซีนได้ เพราะตามคำสอนของศาสนาอิสลาม ชาวมุสลิมต้องป้องกันอันตรายอย่างสุดความสามารถ และรักษาไว้ซึ่งสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ของร่างกายที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้ ซึ่งความจำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนนี้เป็นสิ่งที่อยู่เหนือข้อห้ามในเรื่องความฮาลาลของวัคซีน เพราะในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่เป็นแบบฮาลาล นอกจากนี้ ในประเทศอื่นๆ บางประเทศ เช่น ประเทศอินโดนีเซีย ยังมีการประกาศจากองค์กรด้านบทบัญญัติของศาสนาอิสลามแห่งอินโดนีเซีย ว่าสามารถใช้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดได้เช่นเดียวกัน
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน และเครือข่ายพลังอ่านชายแดนใต้ ได้จัดทำหนังสือนิทานภาพ “อานีสเป็นหัด” เพื่อร่วมรณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจ และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคหัด โครงการนี้เริ่มจากจุดเล็กๆ โดยเป็นโครงการของนักศึกษาแพทย์ปีที่ 4 รายวิชาส่งเสริมสุขภาพร่วมกับหลายๆ องค์กรในการพัฒนาแบบร่าง ทั้งจากสถาบันฮาลาล วิทยาลัยอิสลามศึกษา และกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีน หลังจากนั้น ผศ.นพ.เทอดพงศ์ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาได้นำมาต่อยอด โดยร่วมกับแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน และเครือข่ายพลังอ่านชายแดนใต้ ผลิตเป็นเล่มที่สวยงาม โดยได้รับการสนับสนุนการพิมพ์จากมูลนิธิ รพ.สงขลานครินทร์ ในวันนี้เป็นโอกาสดีที่ได้เชิญกรมอนามัย เปิดตัวหนังสือนิทานเล่มนี้ นอกจากนั้น ยังได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานท้องถิ่นในเขตพื้นที่สีแดง ซึ่งยังมีการพบการตายจากโรคหัดอยู่มารับหนังสือภาพดังกล่าวเพื่อนำไปกระจายต่อในพื้นที่ คณะผู้จัดทำคาดหวังว่าหนังสือนิทานอานิสเป็นหัดจะเป็นเครื่องมือทรงพลังที่สามารถสร้างวิถีสุขภาวะให้แก่เด็กๆ ได้ โดยจะได้มีการเก็บข้อมูลการรับวัคซีนหัดต่อไป
ด้านนักศึกษาแพทย์ธนกร ปรีชาสุชาติ ตัวแทนจากกลุ่มโครงการรายวิชาส่งเสริมสุขภาพของนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดเผยว่า ปัญหาการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด ถือเป็นปัญหาสำคัญที่พบมากในพื้นที่ภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากชาวมุสลิมมีความเชื่อว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดเป็นสิ่งที่ผิดต่อหลักศาสนา ทำให้มีเด็กมุสลิมจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้รับวัคซีน โดยคณะผู้จัดทำรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ซึ่งนำมาสู่การจัดทำโครงการหนังสือนิทานอานีสเป็นหัด และคาดหวังว่าหนังสือนิทานเล่มเล็กๆ นี้ จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อทำให้เด็กในพื้นที่ได้รับวัคซีน และช่วยให้มีสุขภาพที่ดี ปลอดภัยจากโรคหัด
ขณะที่ นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน กล่าวย้ำว่า ทั้งผลการวิจัย และประสบการณ์การทำงานของเครือข่ายส่งเสริมการอ่านทุกภูมิภาค พบว่า การอ่านทำให้เด็กมีพฤติกรรมสุขภาวะ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะได้รับการพัฒนาทั้ง 4 ด้าน ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม หนังสือและการอ่านไม่ได้เป็นเพียงสื่อสำหรับพัฒนาสมองเด็ก และการสื่อสารสร้างสัมพันธภาพในครอบครัวเท่านั้น แต่ยังเป็นกระบวนการให้ผู้ใหญ่ที่แวดล้อมเด็กได้ตระหนักถึงความสำคัญ และความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการดูแล ปกป้อง และพัฒนาเด็กปฐมวัย ซึ่งเป็นวัยสำคัญที่สุดของการวางรากฐานของการพัฒนาพลเมืองสร้างสรรค์ของประเทศ เราหวังว่า “อานีสเป็นหัด” จะเป็นอีกหนึ่งกรณีสำคัญ เช่นดังหนังสือเล่มอื่นๆ ที่จะช่วยฉุดเด็กๆ และครอบครัวออกจากสถานการณ์วิกฤติที่กำลังเผชิญ
ทั้งนี้ หลังพิธีเปิดตัวหนังสือ ณ ลานเวทีสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ จ.สงขลา ได้จัดให้มีการเสวนานิทานต้านหัด : สานพลังเครือข่ายร่วมป้องกันโรคหัดในเด็กปฐมวัยด้วยหนังสือ และการอ่านอีกด้วย ซึ่งได้รับความสนใจมีผู้ร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก