รายงานพิเศษ / โดย... ปิยะโชติ อินทรนิวาส

สุนทรพจน์ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ณ จัตุรัสเทียนอันเหมินกลางกรุงปักกิ่ง ในวาระเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 แม้ผ่านมานับสัปดาห์แล้ว สำหรับคนจีนทั้งในและนอกประเทศน่าจะยังก้องอยู่ในความรู้สึก อย่างน้อยก็สามารถหล่อเลี้ยงประชากรจีนที่มีอยู่ราว 1,400 ล้านคนให้มีความฝันอันหวานซึ้งหลับได้สบายใจไปอีกนาน
แต่สำหรับผู้คนทั่วโลกสุนทรพจน์ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ไม่เพียงทำให้ต้องเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจจนสร้างความตะลึงงึงงันไปตามๆ กัน ยังเป็นเหมือนลิ่มตอกย้ำความคิด นโปเลียน โบนาปาร์ต จักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่เคยกล่าวไว้ราว 200 ร้อยปีมาแล้วว่า จีนคือยักษ์หลับแห่งเอเชีย ถ้ามังกรตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่จะเขย่าโลกทั้งโลกให้สั่นไหวได้ทันที

ความจริงมังกรจีนตื่นจากหลับไหลและลุกขึ้นเขย่าโลกต่อเนื่องมาแล้วกว่า 3 ทศวรรษ โดยสุนทรพจน์ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และรัฐพิธีเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนอันสุดแสนอลังการคราวนี้ ต้องถือเป็นการประกาศย้ำชัดแจ้งให้นานาชาติรับรู้ว่า ต่อแต่นี้ไปมังกรจีนจะวาดปีกโจนทะยานผงาดขึ้นป่ายฟ้าอย่างมุ่งมันและสันติ
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง กล่าวสุนทรพจน์ไม่ยืดยาว เฟอะฟะ แถมยกตนข่มท่านเหมือนที่ผู้นำบางประเทศมักทำ ซึ่งห้วงเวลาประมาณ 20 นาทีนอกจากทุกคำพูดจะกระชับ ฉาดฉานและชัดเจนแล้ว ท่วงทำนองแต่ละประโยคที่ผ่านเรียวปากบางยังปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกบาดลึกลงใจคนฟัง เน้นย้ำผลประโยชน์จีน ให้ความสำคัญกับมวลมหาประชาชนสายเลือดมังกร โดยเฉพาะสร้างความฮึกเหิมให้กับชาวจีนโพ้นทะเลได้ไม่น้อย ดังบางส่วนที่ยกมาดังนี้

“...ในวันนี้เมื่อเจ็ดสิบปีที่ผ่านมา เหมา เจ๋อตง ประกาศอย่างชัดเจนต่อโลกว่า ที่นี่สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ก่อตั้งขึ้นและคนจีนยืนขึ้น และนับตั้งแต่นั้นมาประเทศจีนได้เริ่มดำเนินการบนเส้นทางแห่งการตระหนักถึงการฟื้นฟูประเทศ...
.
ไม่มีพลังใดที่จะหยุดจีนไม่ให้เดินไปข้างหน้า ไม่มีอำนาจใดที่จะสั่นคลอนสถานะของจีน หรือหยุดยั้งคนจีนและประเทศชาติไม่ให้เดินไปข้างหน้า...
ชาวจีนทุกกลุ่มทุกชาติพันธุ์ประสบความสำเร็จอย่างมากในการสร้างความประหลาดใจให้กับโลกในช่วง 70 ปี ที่ผ่านมา จีนจะอยู่บนเส้นทางการพัฒนาที่สงบสุข เราจะทำงานร่วมกับผู้คนจากทุกประเทศผลักดันให้เกิดการสร้างชุมชนร่วมกัน เพื่ออนาคตของมนุษยชาติ...

กองทัพปลดปล่อยประชาชนของจีนและกองกำลังตำรวจติดอาวุธของประชาชน ในฐานะกองกำลังของประชาชนจักปกป้องรักษาอำนาจอธิปไตย ความมั่นคงและผลประโยชน์การพัฒนาของจีน และรักษาสันติภาพของโลกอย่างมั่นคง...
ในการเดินทางไปข้างหน้า เราจะต้องรักษาหลักการของ ‘การอยู่รวมกันอย่างสันติ’ และ ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’ รักษาความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงที่ยั่งยืนในฮ่องกงและมาเก๊า ส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบอย่างสันติ มุ่งมั่นเพื่อให้การรวมชาติที่สมบูรณ์ของมาตุภูมิ จีนจะมีอนาคตที่สดใสยิ่งขึ้น”

หลังกล่าวสุนทรพจน์เสร็จสิ้นประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้ขึ้นรถยนต์ลีมูซีนหงฉีเปิดประทุนตรวจพลสวนสนาม จากนั้นเป็นขบวนสวนสนามของทหารทุกเหล่าทัพและตำรวจ ตามด้วยแสดงแสนยานุภาพอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จีนล้วนผลิตขึ้นเองทั้งหมด แล้วตามด้วยขบวนเฉลิมฉลองของภาคประชาชนพลเรือนชาวจีนที่สื่อแสดงถึงการพัฒนาในสมัยต่างๆ โดยเฉพาะมีการสะท้อนพัฒนาการความเจริญภายใต้ผู้นำชาติยุคใหม่ทั้ง 5 คน จนล่วงเข้าสู่ยุคสมัยที่จีนกำลังจะผงาดอย่างยิ่งใหญ่ในเวลานี้
จีนสมัยใหม่เริ่มขึ้นภายหลังประธาน เหมา เจ๋อตง นำทัพกรรมการและชาวนาลุกขึ้นทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ได้สำเร็จ ถือเป็นยุคที่คนจีนได้หยัดยืนขึ้นได้แล้ว ซึ่งประธานาธิบดีจีนคนที่ 1 ได้เคยยืนตระหง่านอย่างง่าผ่าเผยประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จัตุรัสเทียนอันเหมินจุดเดียวกันนี้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2492

ตามด้วยประธานาธิบดีคนที่ 2 เติ้ง เสี่ยวผิง ถือเป็นยุคที่คนจีนเริ่มรำรวยขึ้นจนก้าวสู่ความมั่งคั่ง เพราะมีการเปิดประเทศด้วยการนำเอาระบบสังคมนิยมกลไกตลาดในอัตลักษณ์แบบจีน หรือการประกาศว่าเป็น 1 ประเทศ 2 ระบบมาใช้ในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ซึ่งทิศทางการพัฒนาในรูปแบบนี้ดำเนินต่อเนื่องสู่ยุคประธานาธิบดีคนที่ 3 เจียง เจ๋อหมิน และยุคประธานาธิบดีคนที่ 4 หู จิ่นเทา
ยุคประธานาธิบดีคนที่ 5 สี จิ้นผิง เวลานี้ถือเป็นการต่อยอดการพัฒนาในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการป้องกันประเทศ การเกษตร อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะการก้าวสู่ยุคดิจิทัล มีการแลกเปลี่ยนนักเรียนและนักศึกษากับทั่วโลก ทั้งส่งชาวจีนไปเรียนต่างประเทศและระดมคนจากประเทศต่างๆ ให้มาเรียนที่จีน ถือเป็นยุคที่มีความแข็งแกร่งทั้งทางด้านสังคม การเมือง การทหาร ที่สำคัญเศรฐกิจจีนเติมโตขยายตัวกว่า 400% เมื่อเทียบกับช่วงเปิดประเทศ

ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษไชน่า เดลี่ (China Daily) ระบุว่า การสวนสนามของกำลังพลและการแสดงแสนยานุภาพทางอาวุธครั้งนี้ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 60 ปี ใช้เจ้าหน้าที่ ทหารและตำรวจประมาณ 15,000 นาย อาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งที่ใช้งานบนบก อากาศและในทะเล 580 ชิ้น เครื่องบินเจ็ท เครื่องบินควบคุมและเฮลิคอปเตอร์โจมตีกว่า 160 ลำ ซึ่งอาวุธที่จัดว่าทันสมัยที่สุดได้แก่ ขีปนาวุธข้ามทวีป (Nuclear-Capable DF-41 Intercontinental Ballistic Missile) และรถถังเบา (ZTQ-15 Lightweight Battle Tank) เป็นต้น โดยมีสื่อมวลชนจากทั่วโลกกว่า 4,000 ชีวิตเข้าร่วมถ่ายทอดเรื่องราว
ด้านขบวนพาเหรดภาคประชาชนภายใต้ชื่อ “การสร้างฝันของประชาชนจีนร่วมกัน (Jointly Building the Chinese Dream)” มีกว่า 70 ขบวน แบ่งเป็น 5 ตอน บอกกล่าวเล่าเรื่องตั้งแต่ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในอดีตจนถึงปัจจุบันภายใต้การนำของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เทิดทูนความสำเร็จและการพัฒนาที่โดดเด่นของสาธารณรัฐประชาชนจีนในแต่ละช่วงของอดีตประธานาธิบดี ใช้นักแสดง 2,502 คน อายุน้อยที่สุด 13 ปี และมากที่สุด 59 ปี ช่วงท้ายมีการปล่อยนกพิราบ 70,000 ตัวและลูกโป่ง 70,000 ใบ โดยมีผู้เข้าร่วมชมงานจากทั่วโลกกว่า 100,000 คน และจบลงด้วยเสียงไชโยโห่ร้องกึกก้องจัตุรัสเทียนอันเหมิน

นั่นคือภาพที่สื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของจีนเมื่อวันครบรอบ 70 ปีของการสร้างชาติสู่ยุคใหม่ อาจกล่าวได้ว่า ณ เวลานั้นจีนพร้อมแล้วที่จะผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจใหม่ของโลกอย่างเป็นทางการ
หลายคนอาจจะบอกว่าจีนก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจใหม่ของโลกมาหลายเพลาแล้ว เนื่องจากหลายปีมานี้มังกรยักษ์ได้ตื่นและฟูมฟักตัวเองจนมีร่างกายใหญ่โต เวลานี้ได้กางปีกสยายคลุมไปในหลากภูมิภาค ซึ่งว่ากันว่าน่าจะเกินครึ่งค่อนของประเทศบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา ออสเตรเลีย กระทั่งเอเชียด้วยกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีทุนจีนแผ่อิทธิพลไปถึง

จีนนับเป็นประเทศที่ถือเงินดอลลาร์ พันธบัตรและทองคำไว้ตุงกระเป๋าเป็นอันดับต้นๆ ในโลก ถูกยกให้เป็นคู่ปรับกับสหรัฐอเมริกาที่เป็นเบอร์หนึ่งของโลกมาหลายปี ซึ่งก็เคยถูกเล่นงานด้วยสงครามค่าเงินจนเป็นที่ฮือฮาให้เห็นมาแล้ว ส่งผลให้หลายปีมานี้จีนต้องตัดสินใจเดินสายนำเงินดอลลาร์ไปลงทุนยังประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ จนสามารถจับมือกับหลายประเทศสร้างเป็นเครือข่ายช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ที่สำคัญเพื่อการปกป้องเศรษฐกิจซึ่งกันและกัน
.
ตัวอย่างคือความร่วมมือในกลุ่มประเทศมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจรวดเร็วและมีขนาดใหญ่ที่เรียกว่า บริกส์ (BRICS) ประกอบด้วย บราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) จีน (China) และแอฟริกาใต้ (South Africa) และความร่วมมือกับกลุ่มประเทศน้อยใหญ่หลายสิบชาติที่รวมตัวกันภายใต้โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road Project) ที่จีนจัดตั้งขึ้นมาเอง เป็นต้น

ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อยุโรปกับอเมริการ่วมมือกันเหนียวแน่นก่อตั้งสถาบันการเงินผูกขาดโลกมาอย่างยาวนาน ซึ่งธนาคารโลก (World Bank) ต้องคนอเมริกันเท่านั้นที่ได้นั่งเป็นประธาน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ต้องคนยุโรปเท่านั้นที่ได้นั่งเป็นประธาน และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ที่ต้องคนญี่ปุ่นเท่านั้นที่นั่งเป็นประธานได้ ปรากฏว่าจีนก็ดึงพันธมิตรรวมกันก่อตั้งสถาบันการเงินระดับโลกขึ้นสู้อย่างเป็นผลแล้ว ได้แก่ ธนาคารเพื่อการพัฒนาบริกส์ (BRICS Development Bank) หรือธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank : AIIB) เป็นต้น
การจะบอกว่าจีนได้ก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจใหม่ของโลกเรียบร้อยแล้ว นั่นก็แล้วแต่มุมมอง แต่สำหรับผมที่ต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 จึงได้มีโอกาสไปนั่งแถวหน้าๆ บนอัฒจันทร์ตรงข้ามจัตุรัสเทียนอันเหมินที่ประธานาธิบดี สี จิ้งผิง ยืนกล่าวสุนทรพจน์ต่อชาวโลก ได้ชมริ้วขบวนมาร์ชชิ่งของกองทัพสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างชนิดติดขอบสนาม ได้ครึกครื้นกับริ้วขบวนโชว์แนวคิดการพัฒนาและวัฒนธรรมที่มลังมเลืองแบบสุดๆ ในนามภาคประชาชนจีน ซึ่งรวมเวลารอคอยจนได้ชื่นชมกว่า 10 ชั่วโมง ความรู้สึกในวันนั้นผมได้ข้อสรุปแบบรวบยอดว่า

รัฐพิธีที่จีนจัดขึ้นในวันนั้นเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากแกรนด์ โอเพนนิ่ง ในวาระครบรอบ 70 ปีของการสร้างชาติและได้พัฒนาสู่ความทันสมัยในยุคดิจิทัลอย่างเป็นทางการแล้ว อันเป็นส่งสัญญาณว่า พญามังกรต้องการประกาศความแข็งแกร่งและจะวาดปีกป่ายขึ้นไปผงาดอยู่บนฟากฟ้า
หรือหากจะกล่าวว่าพญามังกรที่เคยหลับใหลมาก่อนเพียงต้องการประกาศว่า กำลังจะโผนทะยานเข้าสู่ “ศตวรรษแห่งจีน” โดยขอขึ้นแท่นเป็น “มหาอำนาจใหม่ของโลก” อย่างเป็นทางการก็ไม่น่าจะเกินความจริง

อันที่จริงที่ผมได้ร่วมพิธีเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนครั้งนี้เป็นไปแบบไม่นึกไม่ฝันมาก่อน ด้วยทางสมาคมนักข่าวแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (All-China Journalists Association) เชิญสื่อมวลชนรวม 61 ชีวิต จาก 46 ประเทศที่ร่วมอยู่ในโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางให้เข้าร่วมประชุม “2019 Belt and Road Journalists Forum” ระหว่างวันที่ 26 กันยายน-2 ตุลาคม 2562 ที่กรุงปักกิ่ง
ในจำนวนนี้มีคนไทย 3 คนคือ ดร.อนุชา เจริญโพธิ์ จากสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นายกิติพัฒน์ ชื่นสุขจิตต์ จากสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งอาเซียน และผมจากสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย

การประชุม Belt&Road Journalists Forum มีขึ้นวันที่ 28 กันยายน 2562 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความใกล้ชิด สร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ โดยหวังว่าจะทำให้เกิดแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกันในอนาคต จากนั้นวันที่ 29 กันยายน 2562 เดินทางโดยรถไฟความเร็วสูงไปศึกษาดูงานที่เมืองเทียนจิน เมืองท่าที่เป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมไฮเทคและโครงการสร้างเมืองใหม่สมาร์ทซิตี้ที่จีนร่วมลงทุนกับรัฐบาลสิงคโปร์ แล้ววันที่ 30 กันยายน 2562 ก็ได้ศึกษาดูงานโครงการรถไฟความเร็วสูงอย่างครบวงจรในกรุงปักกิ่ง
สำหรับโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางริเริ่มโดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เมื่อประมาณ 6 ปีที่ผ่านมา โดยจีนต้องการสร้างเศรษฐกิจระดับภูมิภาคต่างๆ ให้เชื่อมโยงกันทั้งทางบก อากาศและทะเล ครอบคลุม 65 ประเทศในเบื้องต้น มีการสร้างรถไฟความเร็วสูง การสร้างท่าเรือ การพัฒนาเทคโนโลยีไร้สาย เป็นต้น
ทั้งสุนทรพจน์ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ขบวนพาเหรดแสดงแสนยานุภาพทางการทหารและการพัฒนา เมื่อผนวกเข้ากับโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ทุกเรื่องราวล้วนชี้นำให้โลกโฟกัสไปที่ “ศตวรรษแห่งจีน” ได้เปิดม่านอย่างเป็นทางการแล้ว






สุนทรพจน์ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ณ จัตุรัสเทียนอันเหมินกลางกรุงปักกิ่ง ในวาระเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 แม้ผ่านมานับสัปดาห์แล้ว สำหรับคนจีนทั้งในและนอกประเทศน่าจะยังก้องอยู่ในความรู้สึก อย่างน้อยก็สามารถหล่อเลี้ยงประชากรจีนที่มีอยู่ราว 1,400 ล้านคนให้มีความฝันอันหวานซึ้งหลับได้สบายใจไปอีกนาน
แต่สำหรับผู้คนทั่วโลกสุนทรพจน์ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ไม่เพียงทำให้ต้องเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจจนสร้างความตะลึงงึงงันไปตามๆ กัน ยังเป็นเหมือนลิ่มตอกย้ำความคิด นโปเลียน โบนาปาร์ต จักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่เคยกล่าวไว้ราว 200 ร้อยปีมาแล้วว่า จีนคือยักษ์หลับแห่งเอเชีย ถ้ามังกรตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่จะเขย่าโลกทั้งโลกให้สั่นไหวได้ทันที
ความจริงมังกรจีนตื่นจากหลับไหลและลุกขึ้นเขย่าโลกต่อเนื่องมาแล้วกว่า 3 ทศวรรษ โดยสุนทรพจน์ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และรัฐพิธีเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนอันสุดแสนอลังการคราวนี้ ต้องถือเป็นการประกาศย้ำชัดแจ้งให้นานาชาติรับรู้ว่า ต่อแต่นี้ไปมังกรจีนจะวาดปีกโจนทะยานผงาดขึ้นป่ายฟ้าอย่างมุ่งมันและสันติ
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง กล่าวสุนทรพจน์ไม่ยืดยาว เฟอะฟะ แถมยกตนข่มท่านเหมือนที่ผู้นำบางประเทศมักทำ ซึ่งห้วงเวลาประมาณ 20 นาทีนอกจากทุกคำพูดจะกระชับ ฉาดฉานและชัดเจนแล้ว ท่วงทำนองแต่ละประโยคที่ผ่านเรียวปากบางยังปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกบาดลึกลงใจคนฟัง เน้นย้ำผลประโยชน์จีน ให้ความสำคัญกับมวลมหาประชาชนสายเลือดมังกร โดยเฉพาะสร้างความฮึกเหิมให้กับชาวจีนโพ้นทะเลได้ไม่น้อย ดังบางส่วนที่ยกมาดังนี้
“...ในวันนี้เมื่อเจ็ดสิบปีที่ผ่านมา เหมา เจ๋อตง ประกาศอย่างชัดเจนต่อโลกว่า ที่นี่สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ก่อตั้งขึ้นและคนจีนยืนขึ้น และนับตั้งแต่นั้นมาประเทศจีนได้เริ่มดำเนินการบนเส้นทางแห่งการตระหนักถึงการฟื้นฟูประเทศ...
.
ไม่มีพลังใดที่จะหยุดจีนไม่ให้เดินไปข้างหน้า ไม่มีอำนาจใดที่จะสั่นคลอนสถานะของจีน หรือหยุดยั้งคนจีนและประเทศชาติไม่ให้เดินไปข้างหน้า...
ชาวจีนทุกกลุ่มทุกชาติพันธุ์ประสบความสำเร็จอย่างมากในการสร้างความประหลาดใจให้กับโลกในช่วง 70 ปี ที่ผ่านมา จีนจะอยู่บนเส้นทางการพัฒนาที่สงบสุข เราจะทำงานร่วมกับผู้คนจากทุกประเทศผลักดันให้เกิดการสร้างชุมชนร่วมกัน เพื่ออนาคตของมนุษยชาติ...
กองทัพปลดปล่อยประชาชนของจีนและกองกำลังตำรวจติดอาวุธของประชาชน ในฐานะกองกำลังของประชาชนจักปกป้องรักษาอำนาจอธิปไตย ความมั่นคงและผลประโยชน์การพัฒนาของจีน และรักษาสันติภาพของโลกอย่างมั่นคง...
ในการเดินทางไปข้างหน้า เราจะต้องรักษาหลักการของ ‘การอยู่รวมกันอย่างสันติ’ และ ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’ รักษาความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงที่ยั่งยืนในฮ่องกงและมาเก๊า ส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบอย่างสันติ มุ่งมั่นเพื่อให้การรวมชาติที่สมบูรณ์ของมาตุภูมิ จีนจะมีอนาคตที่สดใสยิ่งขึ้น”
หลังกล่าวสุนทรพจน์เสร็จสิ้นประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้ขึ้นรถยนต์ลีมูซีนหงฉีเปิดประทุนตรวจพลสวนสนาม จากนั้นเป็นขบวนสวนสนามของทหารทุกเหล่าทัพและตำรวจ ตามด้วยแสดงแสนยานุภาพอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จีนล้วนผลิตขึ้นเองทั้งหมด แล้วตามด้วยขบวนเฉลิมฉลองของภาคประชาชนพลเรือนชาวจีนที่สื่อแสดงถึงการพัฒนาในสมัยต่างๆ โดยเฉพาะมีการสะท้อนพัฒนาการความเจริญภายใต้ผู้นำชาติยุคใหม่ทั้ง 5 คน จนล่วงเข้าสู่ยุคสมัยที่จีนกำลังจะผงาดอย่างยิ่งใหญ่ในเวลานี้
จีนสมัยใหม่เริ่มขึ้นภายหลังประธาน เหมา เจ๋อตง นำทัพกรรมการและชาวนาลุกขึ้นทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ได้สำเร็จ ถือเป็นยุคที่คนจีนได้หยัดยืนขึ้นได้แล้ว ซึ่งประธานาธิบดีจีนคนที่ 1 ได้เคยยืนตระหง่านอย่างง่าผ่าเผยประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จัตุรัสเทียนอันเหมินจุดเดียวกันนี้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2492
ตามด้วยประธานาธิบดีคนที่ 2 เติ้ง เสี่ยวผิง ถือเป็นยุคที่คนจีนเริ่มรำรวยขึ้นจนก้าวสู่ความมั่งคั่ง เพราะมีการเปิดประเทศด้วยการนำเอาระบบสังคมนิยมกลไกตลาดในอัตลักษณ์แบบจีน หรือการประกาศว่าเป็น 1 ประเทศ 2 ระบบมาใช้ในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ซึ่งทิศทางการพัฒนาในรูปแบบนี้ดำเนินต่อเนื่องสู่ยุคประธานาธิบดีคนที่ 3 เจียง เจ๋อหมิน และยุคประธานาธิบดีคนที่ 4 หู จิ่นเทา
ยุคประธานาธิบดีคนที่ 5 สี จิ้นผิง เวลานี้ถือเป็นการต่อยอดการพัฒนาในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการป้องกันประเทศ การเกษตร อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะการก้าวสู่ยุคดิจิทัล มีการแลกเปลี่ยนนักเรียนและนักศึกษากับทั่วโลก ทั้งส่งชาวจีนไปเรียนต่างประเทศและระดมคนจากประเทศต่างๆ ให้มาเรียนที่จีน ถือเป็นยุคที่มีความแข็งแกร่งทั้งทางด้านสังคม การเมือง การทหาร ที่สำคัญเศรฐกิจจีนเติมโตขยายตัวกว่า 400% เมื่อเทียบกับช่วงเปิดประเทศ
ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษไชน่า เดลี่ (China Daily) ระบุว่า การสวนสนามของกำลังพลและการแสดงแสนยานุภาพทางอาวุธครั้งนี้ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 60 ปี ใช้เจ้าหน้าที่ ทหารและตำรวจประมาณ 15,000 นาย อาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งที่ใช้งานบนบก อากาศและในทะเล 580 ชิ้น เครื่องบินเจ็ท เครื่องบินควบคุมและเฮลิคอปเตอร์โจมตีกว่า 160 ลำ ซึ่งอาวุธที่จัดว่าทันสมัยที่สุดได้แก่ ขีปนาวุธข้ามทวีป (Nuclear-Capable DF-41 Intercontinental Ballistic Missile) และรถถังเบา (ZTQ-15 Lightweight Battle Tank) เป็นต้น โดยมีสื่อมวลชนจากทั่วโลกกว่า 4,000 ชีวิตเข้าร่วมถ่ายทอดเรื่องราว
ด้านขบวนพาเหรดภาคประชาชนภายใต้ชื่อ “การสร้างฝันของประชาชนจีนร่วมกัน (Jointly Building the Chinese Dream)” มีกว่า 70 ขบวน แบ่งเป็น 5 ตอน บอกกล่าวเล่าเรื่องตั้งแต่ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในอดีตจนถึงปัจจุบันภายใต้การนำของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เทิดทูนความสำเร็จและการพัฒนาที่โดดเด่นของสาธารณรัฐประชาชนจีนในแต่ละช่วงของอดีตประธานาธิบดี ใช้นักแสดง 2,502 คน อายุน้อยที่สุด 13 ปี และมากที่สุด 59 ปี ช่วงท้ายมีการปล่อยนกพิราบ 70,000 ตัวและลูกโป่ง 70,000 ใบ โดยมีผู้เข้าร่วมชมงานจากทั่วโลกกว่า 100,000 คน และจบลงด้วยเสียงไชโยโห่ร้องกึกก้องจัตุรัสเทียนอันเหมิน
นั่นคือภาพที่สื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของจีนเมื่อวันครบรอบ 70 ปีของการสร้างชาติสู่ยุคใหม่ อาจกล่าวได้ว่า ณ เวลานั้นจีนพร้อมแล้วที่จะผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจใหม่ของโลกอย่างเป็นทางการ
หลายคนอาจจะบอกว่าจีนก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจใหม่ของโลกมาหลายเพลาแล้ว เนื่องจากหลายปีมานี้มังกรยักษ์ได้ตื่นและฟูมฟักตัวเองจนมีร่างกายใหญ่โต เวลานี้ได้กางปีกสยายคลุมไปในหลากภูมิภาค ซึ่งว่ากันว่าน่าจะเกินครึ่งค่อนของประเทศบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา ออสเตรเลีย กระทั่งเอเชียด้วยกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีทุนจีนแผ่อิทธิพลไปถึง
จีนนับเป็นประเทศที่ถือเงินดอลลาร์ พันธบัตรและทองคำไว้ตุงกระเป๋าเป็นอันดับต้นๆ ในโลก ถูกยกให้เป็นคู่ปรับกับสหรัฐอเมริกาที่เป็นเบอร์หนึ่งของโลกมาหลายปี ซึ่งก็เคยถูกเล่นงานด้วยสงครามค่าเงินจนเป็นที่ฮือฮาให้เห็นมาแล้ว ส่งผลให้หลายปีมานี้จีนต้องตัดสินใจเดินสายนำเงินดอลลาร์ไปลงทุนยังประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ จนสามารถจับมือกับหลายประเทศสร้างเป็นเครือข่ายช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ที่สำคัญเพื่อการปกป้องเศรษฐกิจซึ่งกันและกัน
.
ตัวอย่างคือความร่วมมือในกลุ่มประเทศมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจรวดเร็วและมีขนาดใหญ่ที่เรียกว่า บริกส์ (BRICS) ประกอบด้วย บราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) จีน (China) และแอฟริกาใต้ (South Africa) และความร่วมมือกับกลุ่มประเทศน้อยใหญ่หลายสิบชาติที่รวมตัวกันภายใต้โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road Project) ที่จีนจัดตั้งขึ้นมาเอง เป็นต้น
ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อยุโรปกับอเมริการ่วมมือกันเหนียวแน่นก่อตั้งสถาบันการเงินผูกขาดโลกมาอย่างยาวนาน ซึ่งธนาคารโลก (World Bank) ต้องคนอเมริกันเท่านั้นที่ได้นั่งเป็นประธาน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ต้องคนยุโรปเท่านั้นที่ได้นั่งเป็นประธาน และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ที่ต้องคนญี่ปุ่นเท่านั้นที่นั่งเป็นประธานได้ ปรากฏว่าจีนก็ดึงพันธมิตรรวมกันก่อตั้งสถาบันการเงินระดับโลกขึ้นสู้อย่างเป็นผลแล้ว ได้แก่ ธนาคารเพื่อการพัฒนาบริกส์ (BRICS Development Bank) หรือธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank : AIIB) เป็นต้น
การจะบอกว่าจีนได้ก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจใหม่ของโลกเรียบร้อยแล้ว นั่นก็แล้วแต่มุมมอง แต่สำหรับผมที่ต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 จึงได้มีโอกาสไปนั่งแถวหน้าๆ บนอัฒจันทร์ตรงข้ามจัตุรัสเทียนอันเหมินที่ประธานาธิบดี สี จิ้งผิง ยืนกล่าวสุนทรพจน์ต่อชาวโลก ได้ชมริ้วขบวนมาร์ชชิ่งของกองทัพสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างชนิดติดขอบสนาม ได้ครึกครื้นกับริ้วขบวนโชว์แนวคิดการพัฒนาและวัฒนธรรมที่มลังมเลืองแบบสุดๆ ในนามภาคประชาชนจีน ซึ่งรวมเวลารอคอยจนได้ชื่นชมกว่า 10 ชั่วโมง ความรู้สึกในวันนั้นผมได้ข้อสรุปแบบรวบยอดว่า
รัฐพิธีที่จีนจัดขึ้นในวันนั้นเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากแกรนด์ โอเพนนิ่ง ในวาระครบรอบ 70 ปีของการสร้างชาติและได้พัฒนาสู่ความทันสมัยในยุคดิจิทัลอย่างเป็นทางการแล้ว อันเป็นส่งสัญญาณว่า พญามังกรต้องการประกาศความแข็งแกร่งและจะวาดปีกป่ายขึ้นไปผงาดอยู่บนฟากฟ้า
หรือหากจะกล่าวว่าพญามังกรที่เคยหลับใหลมาก่อนเพียงต้องการประกาศว่า กำลังจะโผนทะยานเข้าสู่ “ศตวรรษแห่งจีน” โดยขอขึ้นแท่นเป็น “มหาอำนาจใหม่ของโลก” อย่างเป็นทางการก็ไม่น่าจะเกินความจริง
อันที่จริงที่ผมได้ร่วมพิธีเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนครั้งนี้เป็นไปแบบไม่นึกไม่ฝันมาก่อน ด้วยทางสมาคมนักข่าวแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (All-China Journalists Association) เชิญสื่อมวลชนรวม 61 ชีวิต จาก 46 ประเทศที่ร่วมอยู่ในโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางให้เข้าร่วมประชุม “2019 Belt and Road Journalists Forum” ระหว่างวันที่ 26 กันยายน-2 ตุลาคม 2562 ที่กรุงปักกิ่ง
ในจำนวนนี้มีคนไทย 3 คนคือ ดร.อนุชา เจริญโพธิ์ จากสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นายกิติพัฒน์ ชื่นสุขจิตต์ จากสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งอาเซียน และผมจากสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย
การประชุม Belt&Road Journalists Forum มีขึ้นวันที่ 28 กันยายน 2562 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความใกล้ชิด สร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ โดยหวังว่าจะทำให้เกิดแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกันในอนาคต จากนั้นวันที่ 29 กันยายน 2562 เดินทางโดยรถไฟความเร็วสูงไปศึกษาดูงานที่เมืองเทียนจิน เมืองท่าที่เป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมไฮเทคและโครงการสร้างเมืองใหม่สมาร์ทซิตี้ที่จีนร่วมลงทุนกับรัฐบาลสิงคโปร์ แล้ววันที่ 30 กันยายน 2562 ก็ได้ศึกษาดูงานโครงการรถไฟความเร็วสูงอย่างครบวงจรในกรุงปักกิ่ง
สำหรับโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางริเริ่มโดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เมื่อประมาณ 6 ปีที่ผ่านมา โดยจีนต้องการสร้างเศรษฐกิจระดับภูมิภาคต่างๆ ให้เชื่อมโยงกันทั้งทางบก อากาศและทะเล ครอบคลุม 65 ประเทศในเบื้องต้น มีการสร้างรถไฟความเร็วสูง การสร้างท่าเรือ การพัฒนาเทคโนโลยีไร้สาย เป็นต้น
ทั้งสุนทรพจน์ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ขบวนพาเหรดแสดงแสนยานุภาพทางการทหารและการพัฒนา เมื่อผนวกเข้ากับโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ทุกเรื่องราวล้วนชี้นำให้โลกโฟกัสไปที่ “ศตวรรษแห่งจีน” ได้เปิดม่านอย่างเป็นทางการแล้ว