xs
xsm
sm
md
lg

เชื่อใครดี! นายทุน-ทนายความ ปมขัดแย้งที่ดินบนเกาะนาคาน้อย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เป็นมหากาพย์จริงๆ สำหรับปัญหาความขัดแย้งที่ดินบนเกาะนาคาน้อย หมู่ที่ 5 ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันออกของเกาะภูเก็ต ที่มีความสวยงามเหมาะสำหรับการลงทุนด้านการท่องเที่ยว ทำให้นายทุนมองเห็นศักยภาพและต้องการเป็นเจ้าของที่ดินบนเกาะแห่งนี้ จึงนำมาซึ่งขบวนการออกเอกสารสิทธิที่ดินบนเกาะนาคาน้อย และความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง

โดยแรกเริ่มเดิมทีนั้น ที่ดินบนเกาะนาคาน้อย มีตระกูล “หิรัญพฤกษ์” ของดาราดัง “ภูริ หิรัญฤกษ์” ครอบครองเอกสารสิทธิแต่เพียงผู้เดียว โดยเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. เนื้อที่กว่า 50 ไร่ เรียกว่าได้ว่าเป็นเกาะส่วนตัวของตระกูลดาราดัง

แต่อยู่ๆ ก็มีการออกเอกสารสิทธิที่ดินแปลงใกล้เคียงกับที่ดินของตระกูลหิรัญพฤกษ์ ของ บริษัท ภูเขาหกลูก จำกัด ซึ่งมีนายชาญวิทย์ กิจเลิศสิริวัฒนา เป็นกรรมการผู้จัดการ เนื้อที่ 24 ไร่ ตามเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. เลขที่ 3977 ตระกูลหิรัญพฤกษ์ จึงได้ร้องเรียนไปยังดีเอสไอให้ทำการตรวจสอบเอกสารสิทธิที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งเชื่อว่าออกไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะที่ดินบนเกาะนาคาน้อยไม่มี ส.ค.1 มีเพียงของตระกูลหิรัญพฤกษ์ เท่านั้น จนนำมาซึ่งการเพิกถอน น.ส.3 ก. ของ บริษัท ภูเขาหกลูก ที่ออกไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จาก ส.ค.1 ที่บินมาจากที่อื่น

ปัญหาไม่ได้จบลงที่การเพิกถอนเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก.ของบริษัท ภูเขาหกลูก เมื่อนายชาญวิทย์ ได้ร้องเรียนให้ตรวจสอบการได้มาซึ่ง น.ส.3 ก.ของตระกูลหิรัญพฤกษ์ และเชื่อว่าที่ดินดังกล่าวได้มาไม่ถูกต้องเช่นกัน จนนำมาซึ่งการว่าจ้าง นายณรงค์ฤทธิ์ เนติเกียรติวงศ์ หรือ “ทนายกร” ทนายความชื่อดังจังหวัดภูเก็ต ดำเนินการเพิกถอนที่ดินของตระกูลดาราดังให้ได้ และสุดท้ายเกิดความขัดแย้งระหว่างนายชาญวิทย์ และทนายความใกล้ตัว

ความขัดแย้งเกิดขึ้น เมื่อนายชาญวิทย์ ได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ในขณะนั้น) ว่า โดนทนายใกล้ตัว คือ ทนายกร แนะนำให้ซื้อที่ดินบนเกาะนาคาน้อย จ.ภูเก็ต แล้วเรียกเงินหลายครั้งรวม 80 ล้านบาท ตลอดช่วง 2-3 ปี อ้างเป็นค่าวิ่งเต้นผู้ใหญ่ออกโฉนด แต่เมื่อไปสอบถามเจ้าหน้าที่ดินภูเก็ต จึงได้รู้ความจริงว่าโดนหลอก พร้อมกับออกมาแถลงข่าวว่า

โดยนายชาญวิทย์ ออกมาระบุว่า เมื่อประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้ไปซื้อที่ดินบนเกาะนาคาน้อย โดยการแนะนำของทนายความรายหนึ่ง ที่ตนให้ดูแลเรื่องนิติกรรมทางกฎหมาย แต่กลับถูกทนายรายดังกล่าวทำสิ่งต่างๆ อันเป็นเท็จ และได้พยายามสร้างเรื่องต่างๆ ให้สมจริง พร้อมกับเบิกเงินไปครั้งละหลายล้านบาท โดยอ้างว่าต้องไปดำเนินการใช้จ่ายให้แก่ผู้ใหญ่หลายฝ่ายตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ เพื่อจะทำเรื่องการออกโฉนดที่ดินบนเกาะนาคาน้อยที่ตนเองซื้อและครอบครองอยู่ขณะนี้ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบว่า จะได้ออกโฉนดได้เมื่อไหร่ ซึ่งตนพยายามที่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จ จะได้ดำเนินธุรกิจบนเกาะนาคาน้อยต่อไป แต่ก็ไม่ได้ออกโฉนด

ขณะเดียวกัน ทนายคนดังกล่าวยังพยายามสร้างเหตุการณ์ต่างๆ ให้เกิดความเชื่อถือว่าเจ้าพนักงานที่ดินจะมาทำการรังวัด เพื่อทำการออกโฉนดให้แต่มีการเลื่อนมาตลอด เมื่อรอนานเกินเวลามาพอสมควร เจ้าหน้าที่ที่ดิน ก็ไม่มีการแจ้งกลับมาว่าจะไปรังวัดเมื่อไหร่ จึงตัดสินใจเดินทางไปภูเก็ต เพื่อพบเจ้าหน้าที่ที่ดินด้วยตนเองว่าจะมีการรังวัดให้เมื่อใด แต่ไม่คาดคิดมาก่อน เจ้าหน้าที่ที่ดินระดับสูงของจังหวัดภูเก็ตได้กล่าวกับตนว่า ที่ดินบนเกาะนาคาน้อย ที่ตนเป็นผู้ซื้อและให้ทนายความดังกล่าวมาทำเรื่องขอออกโฉนดนั้นไม่เคยได้รับเรื่องการร้องขอออกโฉนดแต่อย่างใด

จึงทราบทันทีว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่จ่ายเงินประมาณ 80 ล้านบาทตามที่เขาบอกเพื่อออกโฉนด ไม่เป็นความจริง และถูกหลอกตลอดมา จึงเป็นเหตุให้ต้องมาแจ้งความร้องขอความเป็นธรรม เพื่อเอาผิดโดยเชื่อว่าน่าจะมีอดีตนายตำรวจร่วมขบวนการด้วย

เหมือนหนังคนละม้วน เมื่อนายณรงค์ฤทธิ์ หรือทนายกร ได้ออกมาแถลงข่าวตอบโต้ ว่าสิ่งที่นายชาญวิทย์ ออกมาแถลงนั้นเป็นการให้ร้ายตนเอง ตนไม่ได้รับจ้างวิ่งเต้นออกเอกสารสิทธิที่ดิน แต่นายชาญวิทย์ได้ว่างจ้างด้วยวงเงิน 100 ล้านบาท เพื่อดำเนินการเพิกถอนที่ดินของตระกูลดาราดังที่ตั้งอยู่ติดกับที่ดินของนายชาญวิทย์ แถมเมื่อทำงานแล้วเสร็จกลับไม่ได้รับค่าจ้างจากนายชาญวิทย์ แต่อย่างใด

นายณรงค์ฤทธิ์ หรือทนายกร เล่าย้อนถึงความสัมพันธ์กับนายชาญวิทย์ ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับนายชาญวิทย์นั้น เกิดขึ้นหลังจากกรมที่ดินเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หรือ น.ส.3 ก.เลขที่ 3977 ของ บริษัท ภูเขาหกลูก เนื้อที่ 24 ไร่ บนเกาะนาคาน้อย เมื่อนายชาญวิทย์ ได้เข้ามาปรึกษาและตกลงว่าจ้างให้ทนายกร มาเป็นทนายความดำเนินการเพื่อเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินของตระกูลดาราดังที่อยู่ใกล้กับที่ดินของนายชาญวิทย์ โดยนายชาญวิทย์เชื่อว่าเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก.ดังกล่าวได้มาไม่ถูกต้องเช่นกัน

จึงได้เสาะหาข้อมูล จนเป็นที่เชื่อได้ว่า เอกสารสิทธิที่ดินแปลงดังกล่าวน่าจะออกไม่ชอบเช่นกัน จึงเป็นที่มาของการว่าจ้างให้ตนมาเป็นทนายความดำเนินการในการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินของตระกูลดาราดัง โดยตกลงค่าจ้างที่ 100 ล้านบาท พร้อมทำหนังสือว่าจ้างที่ลงลายมือชื่อไว้ทั้งผู้จ้างและผู้รับจ้าง ซึ่งในสัญญาจ้างระบุไว้ชัดเจนว่าจะต้องดำเนินการให้มีการเพิกถอนที่ดินของคู่กรณีให้ได้ ซึ่งทนายจะต้องดำเนินการ 2 เรื่องหลักๆ คือ เสาะแสวงหาเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เชื่อได้ว่าเอกสารสิทธิที่ดินดังกล่าวออกไม่ถูกต้อง และนำเอกสารที่ได้มาไปร้องเรียนต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยได้ไปร้องต่อทาง พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งนายชาญวิทย์ได้ไปร้องเรียนด้วยตัวเอง
 
หลังการร้องเรียน สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงการได้มาซึ่งเอกสารสิทธิที่ดิน ปรากฏว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงอธิบดีกรมที่ดินขอให้เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินของตระกูลดาราดังบนเกาะนาคาน้อย ถือว่าทำงานเสร็จสิ้นตามสัญญาว่าจ้าง

แต่นายชาญวิทย์ ยังไม่ยอมจ่ายค่าจ้าง 100 ล้านบาท ให้แก่ตน โดยได้เพิ่มค่าจ้างขึ้นเรื่อยๆ จาก 100 ล้าน เป็น 180 ล้าน เพื่อนำที่ดินอีกแปลงหนึ่งของนายชาญวิทย์บนเกาะนาคาน้อย ที่มีหลักฐานเป็น ภ.บ.ท.5 ที่นายชาญวิทย์ได้รวบรวมมาจากผู้ที่ครอบครองที่ดินบนเกาะนาคาน้อยก่อนหน้านี้แล้ว เนื้อที่ 50 ไร่ มาออกเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก.

ทนายกร ระบุต่อว่า ด้วยความที่เป็นนักกฎหมาย การจะนำที่ดินของรัฐมาออกโฉนดนั้นจะต้องมีความมั่นใจว่าที่ดินสามารถมีสิทธิครอบครองและออกโฉนดที่ดินได้ จึงได้ดำเนินการตรวจสอบไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อให้แน่ใจว่าที่ดินบนเกาะนาคาน้อยสามารถครอบครองได้ โดยตรวจสอบไปยังป่าไม้เขต 12 ว่าที่ดินอยู่ในเขตป่าหรือไม่ ปรากกฏว่าไม่อยู่ในเขตป่าสงวนและเขตป่าถาวร พร้อมกับได้ทำการรังวัดสอบเขต ถ่ายรูปแผนที่ ตามขบวนการที่กฎหมายกำหนด ป่าไม้จึงได้ออกหนังสือรับรองให้นายชาญวิทย์เข้าครอบครองที่ดิน จากเนื้อที่ 50 ไร่ สอบวัดแนวเขตใหม่ได้ถึง 70 ไร่ และเพื่อให้เกิดความแน่ใจจึงให้ทางกำนันตำบลป่าคลอก ยืนยันการครอบครองและเก็บผลสินของที่ดินแปลงดังกล่าวได้ นายชาญวิทย์จึงเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินจำนวน 70 ไร่

หลังเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน จึงถูกคู่กรณีแจ้งความดำเนินคดีข้อหาบุกรุกป่าและบุกรุกที่ดินข้างเคียง เห็นว่าการครองที่ดินยังไม่เป็นเอกสารสิทธิ ยังมีการร้องเรียนการครอบครองที่ดินอยู่ จึงทำหนังสือแจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 7 หน่วยงาน รวมถึงเจ้าของที่ดินใกล้เคียง ลงมาตรวจสอบแนวเขตร่วมกันทุกฝ่าย ผลการตรวจสอบจบลงด้วยดี ไม่มีเหตุพิพาทกันแต่อย่างใด

จนถึงขั้นตอนการขอออกเอกสารสิทธิ จึงพานายชาญวิทย์ไปยื่นขอออกเอกสารสิทธิที่ดินเฉพาะราย เมื่อวันที่ 3 พ.ค.2561 แต่ทางเจ้าพนักงานที่ดินสาขาถลาง แจ้งว่า ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิที่ดินเฉพาะรายให้ได้ เพราะเป็นที่ดินที่ไม่ได้แจ้งการครอบครอง พร้อมทั้งทำหนังสือตอบนายชาญวิทย์ถึงวิธีการออกเอกสารสิทธิที่ดินที่ไม่ได้แจ้งการครอบครอง โดยการไปร้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอออกเอกสารสิทธิที่ดิน นายชาญวิทย์จึงไปร้องศาลปกครองเพื่อขอออกเอกสารสิทธิที่ดินบนเกาะนาคาน้อย

ทนายกร แฉต่อว่า เมื่อดำเนินการมาถึงขั้นตอนที่จะขอออกเอกสารสิทธิ นายชาญวิทย์ได้ทำสัญญาว่าจ้างตนอีก 1 ฉบับ โดยเพิ่มค่าจ้างจาก 100 ล้าน ที่ยังไม่ได้จ่ายตอนที่ดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิของตระกูลดาราดัง เป็น 180 ล้าน เพื่อดำเนินการออกเอกสารสิทธิที่ดิน 70 ไร่ต่อ วันทำสัญญาจะต้องจ่ายเงินค่าจ้าง 5 ล้านบาท นายชาญวิทย์แจ้งว่ามีเงินไม่พอ จึงนำตนไปพบนักธุรกิจคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนนายชาญวิทย์ เพื่อให้ตนนำเช็คของตัวเองไปค้ำกันประกู้เงิน 3 ล้านบาท มาจ่ายค่ายจ้างให้แก่ตัวเอง ถามว่าพฤติกรรมแบบนี้ที่ตนดำเนินการนั้น เรียกว่าแก๊งต้มตุ๋น หรือตนถูกต้มตุ๋นกันแน่ หลังจากนั้น ประมาณเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายชาญวิทย์ได้บอกเลิกสัญญาจ้างกับตนทั้งหมด และออกมาแถลงข่าวว่าตนเป็นแก๊งต้มตุ๋น หลอกขายที่ดินและออกเอกสารสิทธิ

“ถามว่าค่าจ้าง 100 ล้านที่ให้ดำเนินการเพิกถอน น.ส.3 ก.ของคู่กรณีนั้น จ่ายค่าจ้างให้หรือยัง ผมไม่ได้ทำในเรื่องการออกโฉนดที่ดิน โฉนดจะออกได้ไม่ได้นั้นไม่รู้ หน้าที่ของนักกฎหมายคือทำตามขั้นตอนให้ได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดิน ซึ่งก็ทำได้แล้ว อยู่ที่ว่าจะเข้าไปครอบครองหรือไม่” ทนายกร กล่าวและว่า

ตามสัญญาว่าจ้างที่ทำกันนั้น ระบุชัดเจนว่าให้ดำเนินการให้ได้สิทธิการครอบครองที่ดิน 70 ไร่ และมีสัญญาแนบท้ายว่า ถ้าสามารถดำเนินการออกเอกสารสิทธิที่ดินได้จะจ่ายโบนัสอีก 60 ล้านบาท ซึ่งตนไม่ได้รับจ้างออกโฉนด

“ตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่เข้าไปดำเนินการทำงานให้แก่นายชาญวิทย์นั้น ได้ทำสัญญาต่อกันประมาณ 4-5 ฉบับ ค่าจ้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประมาณ 200 กว่าล้านบาทที่ทำต่อกัน และมีการเบิกค่าจ้างไปบ้างในช่วงการดำเนินการ แต่ไม่ใช่ 80 ล้านบาทตามที่นายชาญวิทย์ออกมาระบุ”

นายณรงค์ฤทธิ์ บอกว่า ข่าวที่เกิดขึ้นได้สร้างความเสียหายให้แก่ตัวเองและอาชีพทนายความ จึงได้ใช้สิทธิทางกฎหมายยื่นฟ้องนายชาญวิทย์ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และจะตามมาอีกหลายคดีในเร็วๆ นี้ และยืนยันว่าได้ดำเนินการตามสัญญาว่าจ้างอย่างครบถ้วน ไม่ได้หลอกขายที่ดินแต่อย่างใด

นายทุนเจ้าของที่ดิน บอกถูกโกง ถูกหลอกให้ซื้อที่ดินเพื่อออกเอกสารสิทธิ เสียเงินไปกว่า 80 ล้านบาท ในขณะที่ทนายความออกมาแฉว่า ถูกนายทุนเจ้าของที่ดินเบี้ยวค่าจ้างกว่า 100 ล้านบาท ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ ต้องติดตามกันต่อไป เรื่องวุ่นๆ ปมการออกเอกสารสิทธิที่ดินเกาะนาคาน้อย


กำลังโหลดความคิดเห็น