ศูนย์ข่าวภูเก็ต - เปิดที่มาขบวนการงาบที่ดินอุทยานฯ สิรินาถ 93 ไร่ ติดชายทะเล มูลค่าไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท นายทุนจนมุมหลักฐานเด็ด ปลอม ส.ค.1 บินข้ามเขาออกโฉนด ศาลสั่งจำคุก 10 ปี ชดใช้ 800 ล้านบาท
ปัญหาการบุกรุกที่ดินอุทยานแห่งชาติสิรินาถ จ.ภูเก็ต เกิดขึ้นมายาวนาน ทั้งการบุกรุกโดยกลุ่มนายทุน บุคคล และชาวบ้าน ที่ผ่านมามีการดำเนินคดีไปแล้วหลายแปลง มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท และล่าสุด เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา ศาลอาญา ได้มีคำพิพากษาในคดีนายทุนบุกรุกที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ให้นายอเนก ลีประชา นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำเลยที่ 3 ในคดีบุกรุกครอบครองที่ดินจำนวน 93 ไร่ ในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถและในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขารวก - เขาเมือง ต.สาคู อ.ถลาง จ.ภูเก็ต จำคุก 10 ปี รวมทั้งให้ คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวาร ออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ เรียกความเสียหายคืนรัฐได้กว่า 800 ล้านบาท อย่างไรก็ตามสำหรับคดีนี้มีผู้เกี่ยวข้องหลายราย ปัจจุบัน เสียชีวิตในระหว่างการดำเนินคดีไปแล้ว 2 ราย อยู่ระหว่างหลบหนี 1 ราย และ ถูกดำเนินคดี 1 ราย
สำหรับคดีนี้ สืบเนื่องจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้มีหนังสือ ลงวันที่ 14 สิงหาคม 2555 ร้องขอต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาดำเนินการ กรณีตรวจพบมีบุคคลทำการบุกรุก ยึดถือครอบครองที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ จังหวัดภูเก็ต แต่กลับมีเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน คือ โฉนดที่ดิน แสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตั้งคณะพนักงานสืบสวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานโดยละเอียดพบว่ามีมูลความผิดทางอาญา
จึงเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการคดีพิเศษ ในการประชุมครั้งที่ 1/2557 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2557 และที่ประชุมได้มีมติให้ กรณีการบุกรุกยึดถือครอบครองที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถและในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขารวก - เขาเมือง อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต รับเป็นคดีพิเศษ ที่ 19/2558 เป็นกรณีการออกเอกสารสิทธิตามโฉนดที่ดิน เลขที่ 42053 และ 42054 ตำบลสาคู อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต คิดเป็นเนื้อที่รวม 93 ไร่ มีการอ้างหลักฐานแจ้งการครอบครอง ส.ค.1 เพื่อใช้ประกอบในการขอออกเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดิน ซึ่งจากสอบสวนพบว่า เอกสาร ส.ค.1 ที่ใช้กล่าวอ้างเป็นที่ดินคนละพื้นที่กับจุดที่มีการออกโฉนดที่ดิน และจากการอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศโดยผู้เชี่ยวชาญพบว่าที่ดินบริเวณที่เกิดเหตุมีสภาพเป็นป่า ทางคดีพบมีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลเกี่ยวข้องในการกระทำผิดหลายคนและเป็นความผิดหลายฐานความผิด
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา รวม 8 คน ในความผิดฐานร่วมกันยึดถือหรือครอบครองที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติ, ร่วมกันยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออาศัยในที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ โดยได้ยึดถือครอบครองเป็นเนื้อที่เกินกว่า 25 ไร่, ร่วมกันเข้ายึดถือครอบครองป่าที่ไม่ได้จำแนกไว้เป็นประเภทเกษตรกรรมเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยได้ยึดถือครอบครองเป็นเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ เป็นการทำลาย ทำให้เสียหาย เสื่อมสภาพแก่อุทยานแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าและที่ดินของรัฐ และไม่ได้รับอนุญาตหรือได้รับยกเว้นใดๆ ตามกฎหมาย, ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม และแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ส่งพนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
ต่อมา พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหาเป็นจำเลยต่อศาลอาญา และเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2562 ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาเรื่องนี้ในคดีหมายเลขแดงที่ อ.2513/2562 พิพากษาว่า นายเอนก ลีประชา (ประชา) จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง, 72 ตรี วรรคสอง พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 มาตรา 16(1), 24 ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ วรรคสาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 (เดิม), 268 วรรคแรก (เดิม), 83 การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันเข้ายึดถือครอบครองป่าและที่ดิน เป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามฐานร่วมกันยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินอันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ โดยกระทำเป็นเนื้อที่เกินกว่า 25 ไร่ ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 12 ปี ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงาน ผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 15 ปี
ทางนำสืบในชั้นพิจารณานับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษหนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี ชดใช้ค่าเสียหาย 800 ล้าน และมีคำสั่งให้จำเลยที่ 3 คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยที่ 3 กับพวก ออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ เขตอุทยานแห่งชาติและเขตป่า และให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 42053, 48252, 48253, 42054 ตำบลสาคู อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ยกฟ้องข้อหาอื่น และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5
ขณะที่นายชีวภาพ ชีวะธรรม ผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า กรมป่าไม้ กล่าวถึงที่มาของการตรวจสอบที่ดินแปลงนี้ ว่า เริ่มตั้งแต่ตนเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติสิรินาถ เมื่อปี 2555 ขณะนั้นตรวจพบว่า มีการขอออกเอกสารสิทธิที่ดินเนื้อที่ รวม 93 ไร่ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งการออกเอกสารสิทธิในที่ดินดังกล่าวคิดว่าน่าจะมีอะไรที่ไม่ปกติ และ มีความน่าสงสัยในหลายประเด็น ทั้งในเรื่องของความลาดชันของพื้นที่ และอื่นๆอีกหลายประเด็น รวมทั้งเรื่องของภาพถ่าย ทางอากาศ หลังจากนั้นก็ได้มีการตรวจสอบในเบื้องต้น โดยที่ดินแปลงดังกล่าวมีการของออกโฉนดที่ดินประมาณปี 2554
หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2555 ทางกรมอุทยานฯ ได้ยื่นเรื่องไปยัง ดีเอสไอ ให้ตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิ์แปลงดังกล่าว ซึ่งมีการบุกรุกอ้างโฉนดครอบครองที่ดินคาบเกี่ยวพื้นที่อุทยานสิรินาถและป่าสงวนเขารวก – เขาเมือง หลังจากนั้นทางดีเอสไอ ได้มีการสอบสวนสืบสวน จนพบว่ามีการกระทำความผิดทางอาญา และ รับเป็นคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 13 พ.ย.2557 โดยในการสอบสวนพบมีผู้ร่วมขบวนการ หลายราย หลังจากได้ข้อมูลต่างก็ได้มีการแยกสอบสวนเป็นรายคดี และเก็บรวบรวมพยานหลังฐานทุกอย่างจนนำไปสู่การพิจารณาของศาล และในที่สุดศาลอาญาก็ได้ตัดสินให้ดำเนินคดีกับกลุ่มนายทุนดังกล่าว รวมทั้งกรมที่ดินก็ได้มีการเพิกถอนโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวด้วย โดยที่ดินทั้งหมดกลับมาเป็นของป่าไม้ และ อุทยานแห่งชาติสิรินาถต่อไป
สำหรับความสำเร็จในคดีนี้ต้องยกเครดิตให้กับทาง พ.ต.อ.ประวุฒิ วงศรีนิล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษในขณะนั้น และทีมงานสืบสวน ในการสืบค้นหาข้อมูลซึ่งต้องใช้ความพยามเป็นอย่างมาก เนื่องจากหลักฐาน ส.ค. 1 ที่มามายื่นเพื่อขอออกโฉนดที่ดินนั้นขบวนการนี้ทำมาได้เนียนมาก แม้แต่เจ้าหน้าที่กรมที่ดินเองก็ไม่สามารถแยกได้
ในการตรวจสอบต้องยอมรับว่าไม่สามารถใช้การแปรภาพถ่ายทางอากาศเพียงอย่างเดียวมาตัดสินได้ จะต้องมีพยานแวดล้อมอย่างอื่นมาเกี่ยวข้องได้ ซึ่งในคดีนี้ก็เช่นกัน ซึ่งนอกจากทาง ดีเอสไอ อุทยาน และ เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องแล้ง ยังมีเจ้าหน้าที่ทีมงานสืบสวนของกองบังคับการปรามปราบการกระทำผิด เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คือ พ.ต.ท.อรรถพล สุดสาย,รอง.ผกก.2.บก.ปทส.สตช. ที่ลงไปสืบสวนจนพบ ทายาทของเจ้าของ ส.ค. ที่นายทุน นำมาใช้ในการออกเอกสารสิทธิที่ดินจำนวน 93 ไร่
โดยส.ค. 1 ที่นำมายื่นขอออกเอกสารสิทธิครั้งนี้ พบว่าเจ้าของ ส.ค.1 เดิมมีจำนวน 2 คน คือ นายกาว นาคนาม และ นายตี่ นาคนาม ซึ่งทั้ง 2 คนเสียชีวิตไปแล้ว ทำให้การสืบสวนหาต้นตอและที่มาของส.ค. 1 ทำได้ยากขึ้น แต่ด้วยความสามารถของเจ้าหน้าที่ ได้มีการสืบสวนจนไปพบทายาทของเจ้าส.ค. 1 ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ และ ยืนยันว่าที่ดินทาง ส.ค.1 อยู่อีกฝั่งของภูเขา และไม่มีที่ดินติดชายทะเล และ ปัจจุบันที่ดินแปลง ส.ค.เดิมก็ยังอยู่ในการครอบครองของครอบครัวนายกาว และนายตี่ แต่ไม่สามารถขอออกโฉนดได้เนื่องจากส.ค.1 ตัวจริงกลุ่มขบวนการนี้ได้นำไปทำปลอมและขอออกเอกสารสิทธิในที่ดินแปลง 93 ไร่แล้ว ส่วนเอกสารส.ค. 1 ตัวจริงคาดว่าน่าจะถูกทำลายไปแล้ว
โดยทางทายาท ระบุว่า มีการมาข้อซื้อเอกสาร ส.ค. 1 ไปจริง โดยไม่ทราบว่าเอาไปทำอะไรซึ่งปัจจุบันไม่ทราบว่าเอกสารตัวจริงหายไปไหน ถูกทำลาย หรือเอาไปเก็บไว้ที่ไหนไม่มีใครรู้ แต่ก่อนที่นายตี่ จะเสียชีวิต ได้มอบภาพถ่ายสำเนา ส.ค. 1 ต้นฉบับไว้ให้กับทางครอบครัว และ สั่งว่าให้เก็บไว้ให้ดี ซึ่งทางทายาทก็ได้เก็บไว้ และ กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่ยืนยันได้ว่า ส.ค.1 ที่กลุ่มนายทุนนำไปทำปลอมขึ้นมาเป็นที่ดินคนลงแปลงกับที่นำไปขอออกโฉนด ดังกล่าว
นายชีวภาพ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการขอออกเอกสารสิทธิที่ดินแปลงดังกล่าว มีการทำเป็นขบวนการ และ ทำได้เนียนมาก โดยขบวนการดังกล่าว เริ่มจากการติดต่อขอซื้อ ส.ค. 1 จาก 2 พ่อลูก คือ นายกาว และ นายตี่ นาคนาม หลังจากนั้นเข้าไปสู่ขบวนการนำไปทำ ส.ค. 1 ปลอมขึ้นมา โดยการเปลี่ยนแปลง รูปแปลงย้ายให้ไปติดทะเล หลังจากนั้นได้นำเอกสาร ส.ค. 1 ที่ทำขึ้นใหม่ไปยื่นขอออกโฉนดกับสำนักงานที่ดิน จำนวน 4 แปลง เนื้อที่ประมาณ 93 ไร่ อย่างถูกต้อง เพราะหลักฐานตรงกับต้นขั้ว ส.ค.1 ที่มีอยู่ที่สำนักงานที่ดิน อย่างที่บอกการปลอมแปลงเอกสารของขบวนการนี้ทำได้เนียนมากจนไม่สามารถแยกได้
จากการสอบสวนพบว่ามีผู้ที่เกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิที่ดินแปลงนี้จำนวนหลายคน เช่น นายประภาส แซ่อ๋อง ซึ่งอยู่ระหว่างหลบหนี ส่วนจำเลยที่ 2 ชื่อนายนิคม (ไม่ทราบนามสกุล) เสียชีวิตแล้ว จำเลย ที่ 3 คือ นายอเนก ลีประชา ซึ่งเป็นนักล็อบบี้ยิสต์ ในการซื้อขายที่ดินและการวิ่งเต้นออกโฉนดที่ดินจำนวนหลายแปลงในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ศาลลงโทษจำคุก จำเลยที่ 4 คือ นางชมชนก และ จำเลยที่ 5 เป็นนิติบุคคล ซึ่งจำเลยที่ 4 และที่ 5 ศาลยกฟ้องเพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการออกโฉนด เป็นผู้ที่ซื้อที่ดินต่อมา
ขณะ ที่นายไพบูลย์ เอกไพบูลย์ เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและเสียชีวิตแล้ว นายบำรุง วงศ์ชุมพิศ ป่วยหนัก อายุ 90 กว่า นอนติดเตียงไม่สามารถมาต่อสู้คดีได้ ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนโฉนดดังกล่าว
แต่อย่างไรก็ แม้จะมีการปลอมแปลงเอกสารส.ค. 1ได้แนบเนียนแก้ไหน ก็ยังมีช่องโหว่บางประเด็นที่ไม่สามารถปลอมหรือเปลี่ยนแปลงได้ เช่น เอกสารที่ระบุ ว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่อยู่อาศัย แต่จากการอ่านแปรภาพถ่ายทางอากาศกลับไม่พบร่องรอยการทำประโยชน์ที่ดินแต่อย่างใด นอกจากนั้นการแก้ไขมุมสัมพันธ์ที่ดินก็ไม่สามารถแก้ได้
จากประวัติการเดินสำรวจป่าเขารวกเขาเมืองเพื่อขอออกเอกสารสิทธิ จากการเดินสำรวจ พบข้อมูลในสมุดจดบันทึกการรังวัดที่ดินของเจ้าหน้าที่ดิน ไม่มีการระบุว่าที่ดินดังกล่าวเป็นสวนของใคร แต่กลับมีการระบุว่าเป็นพื้นที่ป่า ซึ่งหลักฐานต่างๆที่มีการเก็บรวบรวมจากการบูรณาการ การทำงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีความชัดเจนและสามารถใช้เป็นหลักฐานเอาผิดกับผู้ที่บุกรุกที่ดินแหลงดังกล่าวซึ่งผู้ร่วมขบวนการใช้วิธีทั้งปลอม และบินมาสวมเพื่อออกโฉนดที่ดินจำนวน 93 ไร่ ได้ในที่สุด
นอกจากนั้น การตรวจสอบที่ดินแปลงดังกล่าว ยังนำไปสู่การตรวจสอบที่ดินแปลงติดกันอีก 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 70 ไร่ ซึ่งดำเนินการออกเอกสารในนามของแม่บ้านของผู้ขอออกเอกสารสิทธิแปลง 93 ไร แต่แปลงนี้ไม่ซับซ้อนเนื่องจากเอกสารส.ค.1 ที่นำมาขอเป็นเอกสารที่บินมาจากอีกฝั่งของภูเขามาลงในบริเวณดังกล่าว ซึ่งเจ้าของ ส.ค. 1 ตัวจริง เคยนำไปขอออกเอกสารสิทธิมาแล้ว เมื่อมีการนำไปออกเอกสารสิทธิใหม่พบว่าหลังฐานตัวเดียวกันจึงมีการดำเนินคดีไปตามกฎหมาย และมีการเพิกถอนการออกโฉนดไปแล้ว
อย่างไรก็ตามสำหรับการบุกรุกป่าไม้ และพื้นที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถทางเจ้าหน้าที่ยังดำเนินการตรวจสอบและตามเช็คบิลในส่วนของผู้บุกรุกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาดำเนินคดีไปแล้วหลายราย และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินคดีอีกหลายราย


