สุราษฎร์ธานี - ปัญหาที่ดินทำกินในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีวุ่นหนัก แกนนำเข้าร้องสื่อ อ้างสมาชิกถูกข่มขู่ จนสมาชิกตกใจช็อกตายไป 1 คน วันจันทร์นี้เตรียมเข้าพบผู้ว่าขอความชัดเจน

วันนี้ (29 ก.ย.) ) ที่นางสาวนลิน คงทรัพย์ ประธานกลุ่มปฎิรูปที่ดินพันธ์ไทย 1 สุราษฎร์ธานี ได้เข้าร้องเรียนต่อผู้สื่อข่าวเพื่อขอความเป็นธรรมอ้างได้รับความเดือดร้อนและถูกข่มขู่จากหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนต้องถิ่นและเจ้าหน้าที่รัฐ โดยระบุว่า ตนเองพร้อมกลุ่มชาวบ้านที่เป็นสมาชิกประมาณ 300 ครัวเรือน ที่ฐานะยากจนไม่มีที่อยู่อาศัย ต้องเช่าบ้านอาศัยอยู่ในเขตรถไฟที่การรถไฟ แต่หลังจากการรถไฟขยายเขตก่อสร้างทางรถไฟคู่ ก็ขับไล่และอพยพเข้าไปอาศัยปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าบ้านนา ป่าท่าเรือ และป่าเคียนซา ที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอบ้านาสาร จังหวัดสุราษฎรธานี ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเดิมเป็นเขตสัมปทานบัตรของเหมืองแร่ ต่อมาสัมปทานบัตรได้หมดอายุลงเมื่อปี 2558 ทางภาครัฐไม่ได้ต่อสัญญาให้ และ ได้ยึดพื้นที่คืนจากนายทุนเพื่อนำพื้นที่จำนวนเกือบ 300 ไร่มาจัดสรรให้กับประชาชนที่ฐานะยากจนไม่มีที่ดินทำกินตามนโยบายของรัฐบาลในปี 2558 โดยได้นำเนินการติดต่อประสานงานทำหนังสือถึงสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อขอใช้พื้นที่ให้ชาวบ้านที่ไม่มีที่อยู่ได้เข้ามาปลูกอาศัยในพื้นที่เพื่อรอการจัดสรรที่ดินทำกินจากภาครัฐ
ต่อมาทางการเมืองได้เกิดการปฎิวัติ ตนจึงได้นำชาวบ้านออกจากพื้นที่เนื่องจากกลัวมาตรการ ม.44 หลังจากการเมืองเข้าสู่ระบบการเลือกตั้งและได้ พลเอก ประยุทธ จันโอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ชาวบ้านจึงเคลื่อนไหวเข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่ตามเดิมเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา หลังจากชาวบ้านเข้ามาอยู่แล้วปรากฏว่าได้ถูกกลุ่มนายทุนและนักการเมืองท้องถิ่นต้องการพื้นที่นี้เช่นกันได้ประสานไปทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านนาสาร นำกำลังเข้ามากดดันและพูดจาข่มขู่ชาวบ้าน ให้เกิดความหวาดกลัวจน ถึงขั้นเสียชีวิต ไป 1 ราย

วันนี้จึงได้ร้องเรียนผ่านสื่อเพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรม และต้องการสื่อปัญหาไปถึงนายกรัฐมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ว่า นโยบานการจัดสรรที่ดินทำกินให้ประชาชนผู้ยากไร้ยังมีอยู่หรือไม่ และต้องการที่จะรู้ว่าพื้นที่ที่ชาวบ้านเข้ามาอาศัยอยู่เป็นพื้นที่ของหน่วยงานใด ที่ผ่านมาทางป่าไม้ก็บอกว่าเป็นพื้นที่ของป่าไม้ ทาง สปก.ก็บอกว่าเป็นของ สปก. ทางเทศบาลเมืองนาสารก็บอกว่าเป็นพื้นที่ของเทศบาล

และ ล่าสุดเมื่อวันที่ศุกร์ที่ 27 ที่ผ่านมา ทางฝ่ายปกครอง นายกเทศบาลเมืองนาสาร ผู้กำกับ สภ.บ้านนาสาร ได้นำกำลังเข้ามากดดันกวาดต้อนชาวบ้าน ให้มาเซ็นต์ชื่อรับทราบข้อความในกระดาษ ที่ทางเจ้าหน้าที่จัดเตรียมมา โดยระบุว่า พื้นที่นี้ ทาง สปก.ได้จัดสรรให้ผู้อื่นเข้าครอบครองแล้วและหากว่าได้สิทธิครอบครองจะดำเนินการแจ้งความเอาผิดกับผู้บุกรุก (ชาวบ้าน) ซึ่งข้อความดังกล่าวมีข้อไม่ถูกต้อง หาก สปก.จัดสรรให้ผู้ใดก็ควรต้องระบุมา และผู้นั้นต้องมาแสดงตนมิใช่กล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย

ดังนั้น ในวันจันทร์ที่จะถึงนิแกนนำจำเข้าพบนายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง พร้อมขอให้เร่งตรวจพื้นที่ดังกล่าวเป็นของหน่วยงานใดเมื่อพบแล้วขอให้ดำเนินการนำที่ดินดังกล่าวมาจัดสรรให้กับชาวบ้านที่ไม่มีที่ดินทำกิน พร้อมทั้งรับรองว่าชาวบ้านกว่าร้อยละ 50 เป็นคนในพื้นที่อำเภอบ้านนาสาร ส่วนที่เหลือก็เป็นคนในอำเภอต่างๆของจังหวัดสุราษฎร์ธานี และหากพบว่าพื้นที่ที่ชาวบ้านอยู่ทาง สปก.ได้จัดสรรให้ผู้อื่นมีสิทธิไปแล้วชาวบ้านพร้อมออกจากพื้นที่ แต่ขอให้เป็นเกษตรกรผู้ยากไร้ไม่มีที่ดินทำกินตามนโยบาลรัฐบาล มิใช่นำพื้นที่ดังกล่าวไปจัดสรรให้กลุ่มนายทุนจึงขอให้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดตรวจสอบเพื่อความโปร่งใสต่อไป
วันนี้ (29 ก.ย.) ) ที่นางสาวนลิน คงทรัพย์ ประธานกลุ่มปฎิรูปที่ดินพันธ์ไทย 1 สุราษฎร์ธานี ได้เข้าร้องเรียนต่อผู้สื่อข่าวเพื่อขอความเป็นธรรมอ้างได้รับความเดือดร้อนและถูกข่มขู่จากหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนต้องถิ่นและเจ้าหน้าที่รัฐ โดยระบุว่า ตนเองพร้อมกลุ่มชาวบ้านที่เป็นสมาชิกประมาณ 300 ครัวเรือน ที่ฐานะยากจนไม่มีที่อยู่อาศัย ต้องเช่าบ้านอาศัยอยู่ในเขตรถไฟที่การรถไฟ แต่หลังจากการรถไฟขยายเขตก่อสร้างทางรถไฟคู่ ก็ขับไล่และอพยพเข้าไปอาศัยปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าบ้านนา ป่าท่าเรือ และป่าเคียนซา ที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอบ้านาสาร จังหวัดสุราษฎรธานี ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเดิมเป็นเขตสัมปทานบัตรของเหมืองแร่ ต่อมาสัมปทานบัตรได้หมดอายุลงเมื่อปี 2558 ทางภาครัฐไม่ได้ต่อสัญญาให้ และ ได้ยึดพื้นที่คืนจากนายทุนเพื่อนำพื้นที่จำนวนเกือบ 300 ไร่มาจัดสรรให้กับประชาชนที่ฐานะยากจนไม่มีที่ดินทำกินตามนโยบายของรัฐบาลในปี 2558 โดยได้นำเนินการติดต่อประสานงานทำหนังสือถึงสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อขอใช้พื้นที่ให้ชาวบ้านที่ไม่มีที่อยู่ได้เข้ามาปลูกอาศัยในพื้นที่เพื่อรอการจัดสรรที่ดินทำกินจากภาครัฐ
ต่อมาทางการเมืองได้เกิดการปฎิวัติ ตนจึงได้นำชาวบ้านออกจากพื้นที่เนื่องจากกลัวมาตรการ ม.44 หลังจากการเมืองเข้าสู่ระบบการเลือกตั้งและได้ พลเอก ประยุทธ จันโอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ชาวบ้านจึงเคลื่อนไหวเข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่ตามเดิมเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา หลังจากชาวบ้านเข้ามาอยู่แล้วปรากฏว่าได้ถูกกลุ่มนายทุนและนักการเมืองท้องถิ่นต้องการพื้นที่นี้เช่นกันได้ประสานไปทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านนาสาร นำกำลังเข้ามากดดันและพูดจาข่มขู่ชาวบ้าน ให้เกิดความหวาดกลัวจน ถึงขั้นเสียชีวิต ไป 1 ราย
วันนี้จึงได้ร้องเรียนผ่านสื่อเพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรม และต้องการสื่อปัญหาไปถึงนายกรัฐมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ว่า นโยบานการจัดสรรที่ดินทำกินให้ประชาชนผู้ยากไร้ยังมีอยู่หรือไม่ และต้องการที่จะรู้ว่าพื้นที่ที่ชาวบ้านเข้ามาอาศัยอยู่เป็นพื้นที่ของหน่วยงานใด ที่ผ่านมาทางป่าไม้ก็บอกว่าเป็นพื้นที่ของป่าไม้ ทาง สปก.ก็บอกว่าเป็นของ สปก. ทางเทศบาลเมืองนาสารก็บอกว่าเป็นพื้นที่ของเทศบาล
และ ล่าสุดเมื่อวันที่ศุกร์ที่ 27 ที่ผ่านมา ทางฝ่ายปกครอง นายกเทศบาลเมืองนาสาร ผู้กำกับ สภ.บ้านนาสาร ได้นำกำลังเข้ามากดดันกวาดต้อนชาวบ้าน ให้มาเซ็นต์ชื่อรับทราบข้อความในกระดาษ ที่ทางเจ้าหน้าที่จัดเตรียมมา โดยระบุว่า พื้นที่นี้ ทาง สปก.ได้จัดสรรให้ผู้อื่นเข้าครอบครองแล้วและหากว่าได้สิทธิครอบครองจะดำเนินการแจ้งความเอาผิดกับผู้บุกรุก (ชาวบ้าน) ซึ่งข้อความดังกล่าวมีข้อไม่ถูกต้อง หาก สปก.จัดสรรให้ผู้ใดก็ควรต้องระบุมา และผู้นั้นต้องมาแสดงตนมิใช่กล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย
ดังนั้น ในวันจันทร์ที่จะถึงนิแกนนำจำเข้าพบนายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง พร้อมขอให้เร่งตรวจพื้นที่ดังกล่าวเป็นของหน่วยงานใดเมื่อพบแล้วขอให้ดำเนินการนำที่ดินดังกล่าวมาจัดสรรให้กับชาวบ้านที่ไม่มีที่ดินทำกิน พร้อมทั้งรับรองว่าชาวบ้านกว่าร้อยละ 50 เป็นคนในพื้นที่อำเภอบ้านนาสาร ส่วนที่เหลือก็เป็นคนในอำเภอต่างๆของจังหวัดสุราษฎร์ธานี และหากพบว่าพื้นที่ที่ชาวบ้านอยู่ทาง สปก.ได้จัดสรรให้ผู้อื่นมีสิทธิไปแล้วชาวบ้านพร้อมออกจากพื้นที่ แต่ขอให้เป็นเกษตรกรผู้ยากไร้ไม่มีที่ดินทำกินตามนโยบาลรัฐบาล มิใช่นำพื้นที่ดังกล่าวไปจัดสรรให้กลุ่มนายทุนจึงขอให้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดตรวจสอบเพื่อความโปร่งใสต่อไป