xs
xsm
sm
md
lg

ถ้ารัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงยังให้ค่าความเป็น “องค์กรลับ” แก่ “บีอาร์เอ็น” ก็ให้จับตา 10 ปีข้างหน้าจะเลวร้ายกว่าการได้เป็น “เขตปกครองพิเศษ” หรือไม่?!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้  /  โดย… ไชยยงค์ มณีพิลึก
 

 
เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในห้วงเดือนกันยายน 2562 ยังมีการก่อความรุนแรงอย่างต่อเนื่องแบบที่เรียกว่า “เรื่อยๆ มาเรียงๆ” คือเกิดขึ้นเป็นระยะๆ เช่น การซุ่มยิง “ชุดคุ้มครองครู” ที่เป็นชุดคุ้มครองตำบล (ชคต.) ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกองกำลังท้องถิ่น อส. และทหารพราน มีผู้เสียชีวิต 1 ศพ สาหัส 1 ราย และบาดเจ็บเล็กน้อยอีกจำนวนหนึ่งในพื้นที่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี อันต้องถือว่าเป็นการก่อเหตุสำเร็จ เพราะนอกจากจะมีการสูญเสียเกิดขึ้นแล้ว ยังเป็นการสร้างความแค้นให้เกิดขึ้นกับทั้งครอบครัวผู้สูญเสีย และกลุ่มคนอีกจำนวนมากด้วย
 
ตามติดด้วยเหตุการณ์กลุ่มคนแต่งกายเลียนแบบทหารพรานพร้อมอาวุธสงครามครบมือบุกกราดยิงบ้านประชาชนที่ ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ผลคือเจ้าของบ้านที่เป็น “สายข่าว” ของหน่วยงานความมั่นคงเสียชีวิต และคนในบ้านได้รับบาดเจ็บอีก 2-3 ราย ที่สำคัญผู้เสียชีวิตอยู่ใน “กลุ่มคนปิดทองหลังพระ” เพื่อความมั่นคงของประเทศ การสูญเสียคนในกลุ่มนี้คือมีความหมายมาก เพราะนอกจากเป็นการทำลายงาน “การข่าว” แล้ว ยังเป็นการทำลาย “ขวัญ” คนทำงานการข่าวให้ต้องหวาดกลัวและหยุดให้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ
 
ปิดท้ายเหตุที่ควรแก่การสนใจยิ่งคือ กรณีการวางระเบิดแสวงเครื่องร้านค้าของคนไทยพุทธในพื้นที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา แม้ว่าจะไม่มีใครเจ็บหรือตาย นอกจากร้านชำที่พังทลายจากอานุภาพของระเบิดเท่านั้น แต่ก็เป็นการบ่งบอกที่ชัดเจนว่า เป้าหมายของ “โจรใต้” หรือ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนยังคงเป็น “กลุ่มคนไทยพุทธในพื้นที่” ซึ่งด้วยต้องการให้มีการโยกย้ายออกไปจากพื้นที่
 
แน่นอนทั้งหมดคือเหตุการณ์ที่ต้องเรียกว่า “ซ้ำซาก” และเกิดขึ้นแบบ “วนเวียน” มาตลอดกว่า 15 ปีไฟใต้ระลอกใหม่ แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติได้เมื่อไหร่ มีแต่จะได้เห็นความรุนแรงเกิดขึ้นต่อเนื่องใน 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ดังนั้น “ละครโรงใหญ่” ที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น จึงวนเวียนอยู่กับปัญหาเดิมๆ โดยมี “บีอาร์เอ็น” เป็นผู้กำหนดเกม และมีหน่วยงานรัฐเล่นบทเดินตามหลังต้อยๆ
 
มีอีก 2 เหตุการณ์ที่เป็นเรื่องเดิมๆ หรือซ้ำซากเช่นกัน เหตุการณ์แรกคือ “โรงเรียนเอกชนสอนศาสนา” ซึ่งก็ไม่มีข้อมูลว่ามีมาก หรือน้อยในพื้นที่ เวลานี้ยังเป็นสถานที่ “หลบซ่อน” ของแนวร่วมทั้งก่อนและหลังก่อเหตุ ล่าสุด เจ้าหน้าที่จับกุมแนวร่วมขบวนการบีอาร์เอ็นได้ 2 ราย โดยผู้ต้องหารับสารภาพว่าใช้โรงเรียนสอนเอกชนสอนศาสนาที่ อ.จะนะ จ.สงขลา เป็นที่หลบซ่อนเพื่อซุ่มรอปฏิบัติการก่อการร้าย
 
เหตุการณ์ที่ 2 เป็นเรื่องของ “อุซตาส”หรือครูสอนศาสนาที่เจ้าหน้าที่มีหลักฐานว่า เป็นผู้ร่วมก่อเหตุวางระเบิด และยิง อส.ที่ ต.ควนประ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี หลังก่อเหตุไปหลบซ่อนที่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาในพื้นที่ จ.สตูลอีกเช่นกัน
 
ทั้ง 2 เหตุการณ์คือ สัญญาณที่บ่งบอกว่าการแก้ปัญหาเพื่อมิให้โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาเป็นที่ “พักพิง”ขบวนการแบ่งแยกดินแดนยังไม่ได้ผล ทั้งที่หน่วยงานความมั่นคงมีข้อมูลมากกมาย และแก้ปัญหานี้มาแล้วกว่า 10 ปี แต่สุดท้ายแล้วก็ยัง “ล้มเหลว” อันบ่งบอกว่าแนวทางการทำงานที่ผ่านมาของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กับการแก้ปัญหาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาที่ “นอกคอก” ในพื้นที่ภาคใต้ยังไร้ผล
 
ขณะที่ประเทศฟิลิปปินส์ ที่มีปัญหาการแย่งแยกดินแดนที่เกาะมินดาเนาจาก “กลุ่มมุสลิมบังซาโมโร” หรือที่รู้จักกันในนาม “แนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (MILF)” ซึ่งต่อสู้กับรัฐบาลฟิลิปปินส์มาหลายทศวรรษ แต่กลับสามารถยุติการต่อสู้ด้วยอาวุธลงได้ด้วยการ “เจรจา” มีการทำพิธีส่งมอบอาวุธของฝ่ายขบถเพื่อเตรียมสลายกองกำลังติดอาวุธราว 40,000 คนภายใน 8 เดือนข้างหน้าไปแล้ว โดยรัฐบาลฟิลิปปินส์ยอมที่จะแบ่งปันอำนาจให้เกาะมินดาเนาเป็น “เขตปกครองพิเศษ” เช่นเดียวกับที่ประเทศอินโดนีเซีย ยอมให้ “จังหวัดอาเจะห์” มาแล้วในรูปแบบเดียวกัน หลังจากที่มีการสู้รบกันมาหลายทศวรรษเช่นเดียวกัน
 
มีผู้ถามว่า ปรากฏการณ์ของมินดาเนาที่กลายเป็นเขตปกครองพิเศษเพื่อให้กลุ่มบังซาโมโรมีอำนาจในการปกครอง ประเด็นนี้จะส่งผลสะท้อนถึงปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยมากน้อยแค่ไหน ขบวนการแบ่งแยกดินแดน นักวิชาการ นักศึกษาและคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย รวมถึงในพื้นที่ชายแดนใต้จะมีการ “เอาอย่าง”เพื่อให้นำมาใช้กับการแก้ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ปลายด้ามขวานหรือไม่อย่างไร
 
ต่อประเด็นนี้เชื่อว่าจะต้อมีความพยายามที่จะเอาปรากฏการณ์ที่มินดาเนาของฟิลิปปินส์มา “ชี้นำ” ทั้งต่อความเคลื่อนไหวในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และในเวที “พูดคุยสันติสุข” ที่ฝ่าย “มาราปาตานี” กำลังจะเดินหน้าเจรจากับรัฐไทยอีกระลอก หลังจากที่รัฐบาลมีการแต่งตั้ง พล.อ.พัลลพ รักเสนาะ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคง (สมช.) เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทย
 
เพราะปัญหาของมินดาเนาที่ฟิลิปปินส์กับจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยใกล้เคียงกัน นั่นคือ เป็นการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนของ “มุสลิม” ที่เป็นคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ อีกทั้งมินดาเนาเคยเป็น “รัฐอิสระ” มาก่อนจะถูกยึดครองโดยประเทศสเปน แล้วภายหลังกลับมาตกเป็นของฟิลิปปินส์หลังจากที่ได้รับเอกราชจากประเทศสหรัฐอเมริกา
 
แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือ “ขบถบังซาโมโร” เป็นองค์กรที่เปิดเผย มีกองกำลังติดอาวุธยึดครองพื้นที่ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ และรัฐบาลฟิลิปปินส์ก็ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบในการปราบปราม แม้กระทั่งการโจมตีทางอากาศกับประชาชน จึงได้ถูกเกลียดชังจากประชาชน แต่มุสลิมโมโรก็ยังถูกเจ้าหน้าที่ล้อมปราบด้วยความรุนแรงมาตลอด
 
ทว่า มุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ผ่านๆ มากลับได้รับการดูแลอย่างดีจากรัฐบาลไทย แถมยังถูกมองว่า “อยู่ดีมีสุข” มากกว่าที่รัฐบาลให้การดูแลชาวไทยพุทธด้วยซ้ำ ที่สำคัญขบวนการแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยถือเป็น “องค์กรปิดลับ” ไม่ประกาศยึดครองพื้นที่และจัดตั้งกองกำลังชัดเจน ซึ่งแม้จะมีการเคลื่อนไหวก่อการร้ายด้วยความรุนแรงมานานกว่าขบวนการบังซาโมโรก็ตาม
 
ที่สำคัญขบวนการบีอาร์เอ็นมีแผนที่ชัดเจนใน 10 ปีข้างหน้า ด้วยการสร้างมวลชน สร้างกองกำลังเยาวชนติดอาวุธเพื่อลุกขึ้นก่อการร้าย เพื่อให้เข้าเงื่อนไขของสหประชาชาติ (UN) เพื่อให้ ICRC ซึ่งเป็นหน่วยงานสากล ที่ขณะนี้อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เข้ามาแทรกแซงเพื่อการลงประชามติ
 
วิธีการที่จะมิให้บีอาร์เอ็นบรรลุผลในความต้องการนั้น นอกจากต้องขอให้ ICRC ยุติบทบาทในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว รัฐบาลยังควรต้องเร่งดำเนินการเปิดโปงบีอาร์เอ็นต่อชาวโลกอย่าให้เป็นขบวนการปิดลับอีกต่อไป เพื่อให้บีอาร์เอ็นยุติ “งานใต้ดิน” และ “เปิดเผยตัวตน” ต่อสาธารณชน
 
ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ รัฐบาล และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องเลิกใช้วิธีการรบกับ “ผี” รบกับ “เงา” แล้วหันมารบกับ “บีอาร์เอ็น” อย่างเต็มรูปแบบ 
 
สุดท้ายเวทีพูดคุยเพื่อสันติสุขที่ พล.อ.พัลลพ รักเสนาะ ที่จะรับหน้าที่หัวหน้าคณะแทน พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ ซึ่งได้เปลี่ยนสถานะไปเป็นสมาชิกรัฐสภา (ส.ว.) แล้วนั้น เชื่อว่าผู้มาใหม่มีประสบการณ์ในด้านความมั่นคงมากพอ เพราะนั่งเป็นเลขาธิการ สมช.มาแล้วหลายปี ซึ่งคงจะอ่านเกมการเมืองของกลุ่มมาราปาตีออก รวมทั้งมีข้อมูลรายละเอียดของบีอาร์เอ็นเป็นอย่างดีด้วย
 
ดังนั้น การรู้ทันเล่ห์กล เหลี่ยมคูและความช่ำชองของแกนนำบีอาร์เอ็นจะช่วยให้ฝ่ายรัฐไทยไม่ตกไปอยู่ใน “กับดัก” ที่ฝ่ายมาราปาตานี และบีอาร์เอ็นวางเอาไว้อย่างแน่นอน
 
เนื่องเพราะอนาคตจังหวัดชายแดนภาคใต้ถ้าจะจบลงที่การ “พูดคุย” หรือ “เจรจา” ก็อาจจะเป็นได้ แต่บทสรุปสุดท้ายจะไม่มีการเกิด “เขตปกครองพิเศษ” แน่นอน เนื่องจากมุสลิมส่วนใหญ่บนแผ่นดินปลายด้ามขวาน “อยู่ดีมีสุข” ภายใต้การปกครองของรัฐไทยมานมนาน
 
ยกเว้นแต่ช่วง 10 ปีต่อจากนี้ไป ถ้ารัฐไทยและหน่วยงานความมั่นคงยังช่วยกันปกปิด หรือให้ค่าขบวนการบีอาร์เอ็นยังคงเป็นองค์กรลับ รวมถึงให้มีการสร้างสถานการณ์ให้เข้ากับเงื่อนไขของยูเอ็น และปล่อยให้ ICRC ปฏิบัติการต่อไป
 
เชื่อว่าสิ่งที่จะเกิดกับสถานะของแผ่นดินปลายด้ามขวานข้างหน้าอาจจะ “เลวร้าย” ยิ่งกว่าการได้เป็น “เขตปกครองพิเศษ” เสียอีกก็ได้
 


กำลังโหลดความคิดเห็น