คอลัมน์ : จากนาบอนถึงริมฝั่งเจ้าพระยา / โดย... ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที ผู้ดำเนินรายการสภากาแฟช่อง NEWS 1
ผมมีโอกาสไปร่วมกิจกรรมส่งลูกหลานคนไทยเราไปเรียนหนังสือมัธยมต้นที่ “โรงเรียนจี๋เหม่ย” เมืองเซี่ยเหมิน มณฑลฮกเกี้ยน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อไม่นานมานี้
โรงเรียนจี๋เหม่ยแห่งนี้ปีนี้อายุ 101 ปีแล้ว สร้างโดยท่าน Chen Jiageng หรือ Tan Kah kee มหาเศรษฐีผู้ใจบุญชาวจีนโพ้นทะเลจากหนางหยางสิงคโปร์ ผู้ทิ้งทรัพย์สมบัติทั้งหมดอุทิศให้กับการศึกษาของจีน และเข้าร่วมการปฏิวัติยืนหยัดเคียงข้างเหมาเจ๋อตุง
ในวันเลี้ยงยินดีเพื่อส่งนักเรียนใหม่ลูกหลานคนไทยไปสู่อ้อมอกโรงเรียนจี๋เหม่ย ปรากฏว่ามีนักเรียนเก่ารุ่นคุณปู่คุณย่าของเด็กๆ เยาวชนไทยที่จะไปเรียนที่โรงเรียนจี๋เหม่ยมาร่วมงานเลี้ยงด้วย
“ปู่หวงหยูฟะ” หรือชื่อตามบัตรประชาชนไทยคือ นายสุชาติ วงศบุญยกุล ท่านเกิดที่ จ.ภูเก็ตเมื่อปี พ.ศ.2481 ปีนี้อายุท่านก็ย่าง 82 ปีแล้ว
ท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนเดินทางออกจากเกาะภูเก็ตไปพักย่านเยาวราชที่กรุงเทพฯ เพื่อเตรียมการที่จะเดินทางไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนจี๋เหม่ยที่มณฑลฮกเกี้ยน ท่านได้ขึ้นเรือที่ท่าเรือแม่น้ำเจ้าพระยา แถวตรอกจันทร์ ในวันที่ 25 กันยายน พ.ศ.2499
จากเมืองไทยไปหวังจะไปเรียนหนังสือตามความประสงค์ของแม่และพี่ชาย เพราะครอบครัวอยากให้มีความรู้ภาษาจีน ทั้งแม่และพี่ชายคาดหวังว่าภาษาจีนจะเป็นประโยชน์ในการทำการค้าขาย โดยเฉพาะการส่งสินค้าจากภูเก็ตไปปีนังและมะละกาในประเทศมาเลเซีย รวมถึงประเทศสิงคโปร์
ระหว่างอยู่ในเรือเดินทะเลกรุงเทพ-ซัวเถาของเดือนกันยายนปี พ.ศ.2499 เรือเดินทะเลเที่ยวนั้นมีคนจีนไปกันมากมาย รวมทั้งกลุ่มคนจีนในไทยที่ถูกเนรเทศจากรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม หลายร้อยชีวิตรวมอยู่ด้วย
แน่นอนว่าการเดินทางไปครั้งนั้น ของปู่สุชาติ ทางสมาคมคนจีนเขาดำเนินการเรื่องเอกสารให้ ทำให้ลุงเดินทางไปพร้อมคณะครอบครัวคนจีนที่ถูกเนรเทศ การเดินทางโดยสารเรือเดินทะเลในครั้งนั้นรวมแล้วมีกว่า 600 ชีวิตที่ออกไปจากปากแม่น้ำเจ้าพระยา
เรือเดินทะเลลำนั้นล่องออกไปสู่อ่าวไทย ผ่านเวียดนามใต้ มุ่งไปซัวเถา (Shantou) รวมเวลาเดินทาง 7 วัน 7 คืนที่มองเห็นก็แต่ผืนน้ำกับเวิ้งฟ้ากว้าง ชีวิตช่างน่าตื่นเต้นและว้าเหว่ยิ่งนัก โดยเฉพาะความคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึงครอบครัวและเพื่อนบนเกาะภูเก็ต
“การเดินทางบนเรือเดินทะเลช่วงย่างเข้าวันที่ 3 และ 4 นั้น น้ำจืดที่เราจะใช้ชำระล้างบนเรือเริ่มขาดแคลน ห้องน้ำห้องส้วมที่ต้องถ่ายทั้งหนักและเบาไม่ต้องพูดถึงกันเลย กลิ่นตลบอบอวลไปทั้งลำเรือ ด้วยเพราะปริมาณคนมากมาย...
.
“ผมและกลุ่มเพื่อนๆ นักเรียนจากภูเก็ตรุ่นเดียวกันที่ตอนนั้นอายุเพิ่งจะ 17-18 ปีไปกับเรือเที่ยวนี้รวมแล้ว 15 คน พวกเราใช้วิธีหนีกลิ่นไม่พึงประสงค์ขึ้นไปนอนรับลมกันบนดาดฟ้าเรือ น้ำก็ไม่มีให้อาบ นั่งมองท้องฟ้ากับน้ำทะเลกว่าจะถึงซัวเถาก็เข้าวันที่ 7 ไปแล้ว”
เช้าตรู่ของวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2499 เรือเดินทะเลที่ออกจากประเทศไทยก็ไปถึงท่าเรือซัวเถา ถือเป็นการสิ้นสุดวันคืนอันยาวนานบนเรือเดินทะเล
เมื่อถึงซัวเถาก็ต้องนั่งรถยนต์ที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงเดินทางต่อไปตามถนนดินแดงและหลุมบ่อของเมืองจีนยุคนั้น กว่าจะถึงโรงเรียนจี๋เหม่ย เซี้ยเหมิน มณฑลฮกเกี้ยน พวกเราก็ต้องสะบักสะบอมรถยนต์ถ่านหินต่ออีก 2 วันเต็ม
ปู่สุชาติยังเล่าอีกว่า นอกจากตนเองและเพื่อนๆ จากเกาะภูเก็ตที่ไปเรียนกันที่โรงเรียนจี๋เหม่ยแห่งนี้แล้ว ยังมีนักเรียนที่เป็นลูกหลานชาวจีนโพ้นทะเลจากมาเลเซีย สิงคโปร์ กัมพูชา เวียดนาม ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นลูกหลานชาวจีนโพ้นทะเลที่มีฐานะอีกด้วย
ในช่วงปี พ.ศ.2492 ถึง พ.ศ.2517 ประเทศไทยกับจีนแผ่นดินใหญ่มิได้มีความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน รัฐบาลไทยมีความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐจีนไต้หวัน ขณะเดียวกันรัฐบาลของจอมพล ป.ก็มองจีนแผ่นดินใหญ่ด้วยสายตาแห่งความหวาดระแวง
นั่นเลยส่งผลให้นักเรียนไทยที่เดินทางไปเรียนหนังสือต่อในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ เมื่อเรียนจบแล้วพวกเขาจะเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนในไทยได้ยากลำบากมาก
ในปี พ.ศ.2503-2505 (ค.ศ. 1960-1962) รัฐบาลจีนของเหมาเจ๋อตุงได้ใช้นโยบายก้าวกระโดด (The great leap forward) เพื่อมุ่งหวังสร้างจีนให้เป็นไปแบบก้าวกระโดด รัฐบาลภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตุงจึงได้ให้ทุกหมู่บ้าน “หลอมเหล็ก” แล้วส่งมอบให้กับรัฐบาล
มีการบันทึกเอาไว้ว่า ในช่วงเวลานั้นสังคมจีนตั้งแต่เวลา 2 ทุ่มไปจนถึง 4 ทุ่ม แสงไฟจากเตาหลอมเหล็กของหมู่บ้านต่างๆ จะสว่างไสวไปทั่วแทบจะทั้งแผ่นดินจีน ชาวนาชาวไร่ในชนบทก็ทำงานหลอมเหล็กแบบแทบไม่ได้พักผ่อน อันนำไปสู่ห้วยแห่งความทรงจำว่า ช่วงเวลา 3 ปีนั้นความขาดแคลนอาหารไปทั่วทั้งแผ่นดินจีน
ปี พ.ศ.2503-2505 ที่ถือเป็นปีแห่งความยากลำบากจีนแผ่นดินใหญ่ อาหารในประเทศจีนมีไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงดูประชากร แน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อชีวิตของบรรดาเด็กๆ นักเรียนในโรงเรียนจี๋เหม่ยด้วย ปู่สุชาติเล่าหวนรำบึกให้ฟังว่า ในช่วงนั้นนักเรียนไทยที่เรียนกันอยู่ที่โรงเรียนจี๋เหม่ยก็ลำบากมาก
“พวกเราเรียนหนังสือไปก็ต้องช่วยครูปลูกผัก ปลูกกะหล่ำปลี เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ เพื่อผลิตอาหารไปด้วย เศษอาหารที่เหลือของโรงเรียนเราก็เอาไปเลี้ยงหมู”
เมื่ออาหารเกิดการขาดแคลนทั่วทั้งแผ่นดินจีน ทั้งครูและนักเรียนจึงต้องช่วยกันทำงานกสิกรรมเพื่อผลิตอาหารตั้งแต่ตอนเย็นหลังเลิกเรียนไปจนถึงเวลากลางคืนดื่นดึก ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้มีใครต้องอดยาก
ในช่วงเวลานั้นนักเรียนของโรงเรียนจี๋เหม่ยต้องกินข้าวผสมหัวมันเทศมากๆ ส่วนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ก็ได้จากการเลี้ยงหมูและไก่กันในโรงเรียน
ความที่ต้องอดทนอย่างสาหัส ความที่ต้องยากลำบากอย่างสากรรจ์สมัยเรียนที่โรงเรียนจี๋เหม่ย สิ่งนี้ได้สอนคนไทยสายเลือดมังกรจากรุ่น “ปู่หวงหยูฟะ” หรือ “ปู่สุชาติ” ให้แข็งแกร่งและถ่ายทอดต่อเนื่องมาสู้รุ่นลูกรุ่นหลานตราบจนวันนี้