xs
xsm
sm
md
lg

จับตา “โมเดลใหม่” ใช้ดับไฟใต้ “เขตปกครองตนเองอิสลามบังซาโมโร” ที่ฟิลิปปินส์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้  /  โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
  

 
แม้ว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา จะไม่มีเหตุร้ายจากฝีมือ “โจรใต้” หรือ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน “บีอาร์เอ็น” แบบรุนแรง เช่น การก่อเหตุด้วยระเบิดแสวงเครื่อง หรือการใช้อาวุธโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐและเป้าหมายอ่อนแอที่เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน รวมถึงประชาชนที่เป็นผู้ทำงานด้านการข่าวเกิดขึ้น จนทำให้ “แม่ทัพ” และ “นายกอง” ผู้รับผิดชอบพื้นที่คลายความเครียดความหงุดหงิดไปได้บ้าง
 
เนื่องเพราะอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน มีการปรับย้ายหรือปรับยศในกองทัพ ซึ่งหลายท่านได้รับการ “อวยยศ” ที่ใหญ่ขึ้น เช่น พล.ท.จตุพร กลัมพสุต ได้ขึ้นเป็น “พลเอก” พล.ต.สมพล ปานกุล จากรองแม่ทัพภาค 4 ขยับขึ้นเป็น “พลโท” ในตำแหน่งแม่ทัพน้อยที่ 4 เป็นต้น
 
จึงต้องขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่ “เหนื่อย” และ “หนัก” กับปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้มาโดยตลอดไว้ ณ ที่นี้ แม้ว่าไฟใต้จะยังไม่มีท่าทีที่จะยุติก็ตาม แต่นายทหารจำนวนมากก็ได้รับการอวยยศกับงานทำหน้าที่ดับไฟใต้อย่างถ้วนหน้า
 
ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้ขยับขึ้นตามที่คาดหวังก็อย่าเพิ่งท้อแท้ ทำต่อไปและทำให้หนักกว่าเดิม เพื่อพิสูจน์ว่าการดับไฟใต้เป็นการทำงานเพื่อชาติ ซึ่งต้องเสียสละ ไม่ใช่ทำเพื่อ “ยศ” หรือ “ตำแหน่ง” เพียงอย่างเดียว เพื่อลบ “ข้อครหา” จากคนในพื้นที่ที่มองว่ามาดับไฟใต้เพื่อ “เงิน” หรือไม่ก็เพื่อ “ยศ” ที่สูงขึ้น
 
แม้สถานการณ์รุนแรงจะไม่มีในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ก็มีเหตุการณ์ที่ควรแก่การสนใจและใส่ใจในหลายประเด็นเกี่ยวข้องเกี่ยวกับการดับไฟใต้
 
ประเด็นแรกคือ แม้ว่าจะไม่มีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แล้ว แต่สิ่งที่ คสช.สร้างไว้ก็ยังมีการดำเนินการต่อ นั่นคือ “ครม.ส่วนหน้า” หรือ “ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล” ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนให้ พล.อ.ชาญชัย ช้างมงคล รมช.กลาโหม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษแทน พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ และมีการปรับลดจากจำนวน 13 คน เหลือเพียง 9 คน เพื่อเป็นผู้ขับเคลื่อนและกำกับดูแลการพัฒนาและการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมกับ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)
 
อีกทั้งมีการเตรียมที่จะแต่งตั้ง พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งจะเกษียณอายุราชการในสิ้นเดือนกันยายน 2562 นี้ ให้ทำหน้าที่เป็น “หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุข” แทน พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ ที่ได้รับการอวยยศให้เป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ไปก่อนหน้านี้
 
ในเรื่องการพูดคุยสันติสุขเพื่อยุติไฟใต้โดยสันติวิธีนั้น มีการเปลี่ยนตัวเปลี่ยนหน้าชนจากหัวหน้าคณะพูดคุยฝ่ายรัฐไทยไปแล้วถึง 4 คนด้วยกัน นับตั้งแต่ พล.ท.ภารดร พัฒนถาบุตร ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไล่เรียงมาถึง พล.อ.อักษรา เกิดผล และ พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ ในสมัยรัฐบาล คสช.หรือรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 1 แต่การพูดคุยสันติสุขก็ยังไม่คืบหน้าไปกว่าการสร้างสภาวะพูดคุยเท่านั้น
 .
ส่วนในด้าน “สารัตถะ” ในการที่จะบรรลุข้อตกลงเพื่อยุติความรุนแรงยังไม่มีอะไรคืบหน้าที่น่าพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย
 .
เพราะผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในยุคที่ “บิ๊กตู่” นั่งเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น “ไม่ต้องมีกึ๋น” หรือไม่ต้องมีความรู้ในเรื่องสันติภาพใดๆ ก็ได้ เนื่องจากการเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขคือเพื่อไปพูดคุยตามนโยบายรัฐบาล หรือของกองทัพที่ถูกกำหนดกรอบเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า ข้อเสนอของตัวแทนขบวนการแบ่งแยกดินแดนมีอะไรที่ “รับได้” และอะไรที่ “รับไม่ได้” ต้องเดินไปตามแนวนั้น
 
ฝ่ายตัวแทนขบวนการแบ่งแยกดินแดนเองก็รู้เงื่อนไขของรัฐบาลไทยและของกองทัพไทยดีว่า “รับไม่ได้” ในเงื่อนไขที่ถูกเสนอโดยขบวนการแบ่งแยกดินแดน เนื่องจากในอดีตที่ “กลุ่มมาราปาตานี” เป็นตัวแทนในการพูดคุยกับตัวแทนรัฐไทยได้ยื่นข้อเสนอไว้แล้ว แต่ตัวแทนของฝ่ายรัฐไทยเพียงรับไว้เพื่อ “พิจารณา” เท่านั้น ซึ่งในทางการทูตก็คือ “การปฏิเสธ” นั่นเอง
 
สุดท้ายเมื่อการพูดคุยสันติสุขไม่คืบหน้า และฝ่ายไทยปฏิเสธที่จะพูดคุยกับมาราปาตานีโดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าในกลุ่มมาราปาตานียังไม่มีตัวแทนที่แท้จริงของขบวนการบีอาร์เอ็นร่วมอยู่ในโต๊ะการพูดคุยด้วย นั่นจึงเป็นเหตุให้ “มะสุกรี ฮารี” หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขของฝ่ายมาราปาตานีลาออกจากการเป็นหัวหน้าคณะ และจนถึงขณะนี้รัฐบาลมาเลเซียก็ยังไม่ได้ผลักดันให้มีการตั้งใครให้เป็นหัวหน้าคณะแทนเขาแต่อย่างใด
 
จึงเชื่อว่าในการเปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะพูดคุยฝ่ายรัฐไทยเป็น พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ ในเดือนตุลาคม 2562 นี้ก็คงไม่ได้ทำให้กระบวนการพูดคุยสันติสุขเดินหน้าไปมากกว่าที่เคยเป็น เพราะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วคณะพูดคุยของฝ่ายรัฐไทยยังคงต้องพูดคุยกับกลุ่มมาราปาตานีต่อไป ภายใต้หัวหน้าคณะพูดคุยคนใหม่ของกลุ่มมาราปาตานีที่มาจากการจัดการของรัฐบาลมาเลเซีย และยังเป็นกลุ่มมาราปาตานีที่ไม่มีตัวแทนของ “บีอาร์เอ็นฝ่ายทหาร” เข้าร่วมเหมือนเดิม
 
แต่จะมีการเพิ่มเติมในฝ่ายขบวนการแบ่งแยกดินแดน โดยเฉพาะกลุ่มของ “ซำซูดิง คาน” หรือตัวแทนขบวนการพูโล p4 เข้ามาอีก 1 กลุ่มหรือไม่ต้องจับตากันใกล้ชิด ซึ่งประเด็นที่มีการตั้งข้อสงสัยกันว่า การเข้ามาร่วมเวทีการพูดคุยสันติสุขของเขามาจากสาเหตุอะไร และเขามีความสำคัญอย่างไรในขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่มีอยู่ปัจจุบัน
 
ทั้งนี้ มีข้อมูลที่เชื่อกันว่า ขบวนการนี้ยังที่มีกองกำลังติดอาวุธเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีการสั่งการให้มีการปฏิบัติการทางทหารได้จริง เวลานี้มีเพียงขบวนการบีอาร์เอ็นเท่านั้น และเป็นไปภายใต้การสั่งของ “ดุลเลาะ แวมะนอ” รวมถึงแกนนำคนอื่นๆ อีกราว 7-8 คนเท่านั้น
 
มีข้อสังเกตว่าหลังจากเกิดเหตุลอบวางระเบิด 18 จุด ที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพียงไม่กี่วันต่อจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ของกองทัพกลุ่มหนึ่งไปเจรจากับ ซำซูดิง คาน ในประเทศที่ 3 และมีข่าวว่าจะให้เพิ่มขบวนการพูโล p4 ได้เข้าไปอยู่ในวงร่วมโต๊ะพูดคุยสันติสุขด้วย
 .
หรือว่าแท้จริงแล้วระเบิด 18 จุดกลางเมืองหลวงมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการที่ ซำซูดิง คาน เป็นแก่นแกนใช่หรือไม่
 .
ประเด็นต่อมาคือ เรื่องที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดน “อิสลามบังซาโมโร” หรือMILF” ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ในเกาะมินดาเนา ของประเทศฟิลิปปินส์ ได้มีการ “ปลดอาวุธ” หรือ “ยุติการต่อสู้” ที่ยาวนานหลายทศวรรษและมีคนตายจากการสู้รบไปถึงราว 150,000 คน เพราะได้บรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลฟิลิปปินส์เพื่อให้ “มินดาเนา” เป็น “เขตปกครองตนเอง” ตามธรรมนูญการปกครองบังซาโมโร เมื่อเดือนมกราคม 2562 ที่ผ่านมา
 
วันนี้กองกำลังราว 40,000 คน ของขบวนการบังซาโมโรเริ่มปลดอาวุธ โดยใน 8 เดือนแรกกองกำลังติดอาวุธ 12,000 คน จะต้องปลอดอาวุธให้แล้วเสร็จ ส่วนกองกำลังที่เหลือจะดำเนินการปลอดอาวุธให้แล้วเสร็จในปี 2022 ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ในการดูแลขององค์กรถ่ายโอนอำนาจบังซาโมโร (BTA) ที่จะเป็นผู้ดำเนินการใน 55 เรื่องภายใต้ข้อตกลงการแบ่งอำนาจกับรัฐบาลเพื่อให้ชนชาติ “โมโร” จะได้รับสิทธิในการปกครองตนเอง
 
รัฐบาลฟิลิปปินส์นอกจากจะไม่เอาผิดกับกองกำลังติดอาวุธที่มีอยู่ราว 40,000 คนที่เคยก่อวินาศกรรมและฆ่าคนมาอย่างโชกโชนแล้ว กลับยังต้องจ่ายเงินช่วยเหลือบรรดาขบถเหล่านี้อีก 100,000 เปโซ หรือประมาณ 60,000 บาทต่อคน รวมทั้งสวัสดิการอื่นๆ อีก เช่น ส่งเสริมอาชีพ การศึกษา ฯลฯ
 
ทั้งนี้ เรื่องราวการบรรลุข้อตกลงเพื่อแบ่งปันอำนาจให้ชนชาติโมโรได้ปกครองตกเองในมินดาเนา ตามรัฐรรมนูญการปกครองบังซาโมโรของรัฐบาลฟิลิปปินส์จะมีผลกระทบต่อการดับไฟใต้ของประเทศไทยอย่างแน่นอน  
 
เพราะขบวนการหรือกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะต้องพยายามให้รัฐบาลไทยแก้ปัญหาไฟใต้แบบเดียวกัน ซึ่งนั่นก็มีลักษณะของปัญหาที่ใกล้เคียงกันด้วย และในเวทีการพูดคุยที่จะเดินหน้าต่อไประหว่างผู้แทนรัฐไทยกับผู้แทนของมาราปาตานีก็จะต้องมีการขับเคลื่อนให้เป็นไปในรูปแบบของบังซาโมโร นั่นคือ “สิทธิการปกครองตนเอง”
 
ดังนั้น เรื่องราวการผลักดันให้ใช้การแก้ปัญหาบังซาโมโรมาของฟิลิปปินส์มาใช้เป็น “ต้นแบบ” ของการยุติไฟใต้ของไทย เรื่องนี้จึงถือเป็นปัญหาใหญ่ที่คนไทยทุกคนต้องติดตามและจับตาอย่างใกล้ชิด
 
ความจริงแล้ว เมืองบังซาโมโรเคยเป็น “นคร” หรือ “รัฐอิสระ” ของชาวมุสลิมในหมู่เกาะมินดาเนา ก่อนที่จะถูกยึดครองโดยประเทศสเปนสมัยยุคอาณานิคม เมื่อประเทศฟิลิปปินส์ได้รับเอกราชจากอเมริกาก็ผนวกเอาเมืองบังซาโมโรมาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศด้วย เช่นเดียวกับ “มณทลซินเกียง” ในประเทศเทศจีน ที่เคยเป็นดินแดนนอกจากปกครองของจีน แต่ถูกจีนผนวกเข้ามาหลังจากการรวมแผ่นดิน จนเป็นปฐมบทของการสู้รบเพื่อการปลอดปล่อยและขอเป็นเขตปกครองตนเอง
 
การต่อสู้ระหว่างกองกำลังมุสลิมบังซาโมโร กับกองกำลังของรัฐบาลฟิลิปปินส์ที่มีมาหลายทศวรรษ และรัฐบาลฟิลิปปินส์มองไม่เห็นหนทางชนะในการใช้อาวุธและกองกำลังทหาร จึงทำการเจรจาเพื่อยุติการทำสงครามถึง 9 ปี และมีการเจรจากันโดยให้ประเทศที่เป็นกลางเป็นผู้ไกล่เกลี่ย มีการร่วมประชุมกันแบบเป็นทางการ 32 ครั้ง จนในที่สุดจึงได้บรรลุข้อตกลงที่ยอมให้สิทธิปกครองตนเองแก่ชนชาติชาวโมโรเพื่อยุติการสู้รบในที่สุด
 
อีกประเด็นหนึ่งที่ถือว่ามีความสำคัญไม่แพ้กันคือ ขบวนการบีอาร์เอ็นในไทยมีการเจรจากับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนบังซาโมโร “ขออาวุธยุทโปกรณ์” ที่อยู่ระหว่างการปลดอาวุธจำนวนหนึ่ง เพื่อนำมาใช้ในการปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
 
เนื่องจากขณะนี้จำนวนแนวร่วมของขบวนการบีอาร์เอ็นที่ติดอาวุธในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ได้เพิ่มขึ้นจาก 3,000 คน เป็น 9,000-10,000 คนแล้ว จึงขาดแคลนอาวุธในการปฏิบัติการต่างๆ
 
ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องนี้ถือว่ามีความเป็นไปได้สูงมากเสียด้วย เพราะ MILF กับบีอาร์เอ็นเป็นพันธมิตรร่วมรบกันมาตั้งแต่ปี 2511
 
ทั้งหมดทั้งปวงคือ ประเด็นที่เกี่ยวโยงโดยตรงกับปัญหาไฟใต้ที่ “รัฐบาลบิ๊กตู่ 2” ต้องจัดการให้ดี เพราะทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งในและต่างประเทศล้วนแต่เป็น “เงื่อนปม” สำคัญมากในการกำหนดใช้เป็นมาตรการดับไฟใต้ทั้งสิ้น


กำลังโหลดความคิดเห็น