xs
xsm
sm
md
lg

อย่าฉาบฉวยจน “กรุงเทพฯ” กลายเป็น “ตลาดระเบิด” เพื่อใช้ต่อรองกับรัฐบาล?!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้  /  โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
 

 
การก่อการร้ายด้วยการลอบวางระเบิดแสวงเครื่องหลายจุดในกรุงเทพฯ เมื่อวันศุกร์ที่ 2 ต่อเนื่องถึงวันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2562 แม้ว่าอานุภาพของการทำลายล้างจะไม่รุนแรง ไม่มีผู้เสียชีวิต มีเพียงผู้บาดเจ็บเล็กน้อย และสร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินได้ไม่มากนัก
 
แต่สถานที่ที่ถูกวางระเบิดมีความสำคัญมากกว่า และล้วนเป็น “สัญลักษณ์” ของความมั่นคง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน และอื่นๆ ที่กลุ่มก่อการร้ายต้องการที่จะ “สื่อสาร” ให้คนทั้งในประเทศและต่างประเทศเห็นถึง “ตัวตน” ที่มีอยู่จริง ที่สำคัญให้เห็นถึง “ศักยภาพ” ที่ทำได้จริงในพื้นที่นอกเขตอิทธิพล หรือให้ชัดเจนคือแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้
 
เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าหน่วยงานความมั่นคงพยายามที่จะบอกกับสังคมตั้งแต่ฝุ่นระเบิดยังไม่ทันจางว่า เป็นฝีมือ “กลุ่มเก่า” หรือเป็นเรื่องของ “การเมือง” แต่สุดท้ายแล้วจากการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และจากหลักฐานชิ้นส่วนที่ใช้ประกอบระเบิด ล้วนชี้ชัดแล้วว่าเป็นฝีมือของ “โจรใต้” หรือ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งส่วนหนึ่งเดินทางไปจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อไปสบทบกับ “เครือข่าย” ที่อยู่ใน กทม.แล้วปฏิบัติการป่วนกรุงในครั้งนี้ร่วมกัน
 
หากตรวจสอบเส้นทางที่ 10 โจรใต้เดินทางออกไปจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็จะพบว่า 2 คนแรกที่เป็นมือวางระเบิดที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และถูกจับกุมได้บนรถทัวร์เที่ยวกลับที่ จ.ชุมพร พวกเขาเดินทางไปจาก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส โดยรถไฟขบวนท้องถิ่นไปยัง จ.ยะลา ก่อนที่จะเปลี่ยนไปโดยสารรถตู้เข้าสู่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา อันเป็นจุด “รวมพล” ของทั้ง 10 ชีวิต แล้วจึงแยกย้ายเดินทางต่อเข้า กทม. ก่อนที่จะไปกระจายกำลังไปปฏิบัติการวางระเบิดยังเป้าหมายที่เตรียมการไว้
 

 
ข่าวเชิงลึกจาก “แหล่งข่าว” เปิดเผยว่า โจรใต้ใช้เวลาวางแผนกว่า 2 เดือนนับจากหลังที่เลือกตั้ง ส.ส. และที่เลือกเอา “สิงหาคม” เป็นเดือนปฏิบัติการ เนื่องจากเดือนนี้ของทุกปีจะมี “วันสัญลักษณ์” มากมาย ซึ่งหากดูตาม “ปฏิทินโจร” แล้วจะพบว่า นับแต่วันที่ 1 สิงหาคมคือ “วันทหาร” หรือ “ตัจรีย์” ของกลุ่มก่อการร้าย นอกจากนั้น ในเดือนนี้ก็ยังมีวันสูญหายของหะยีสุหลง โต๊ะมีนา วันอารอฟะห์ วันอิดิลอัฏฮา  และวันชาติมาเลเซีย เป็นต้น
 
ที่สำคัญเดือนสิงหาคมก็มักจะมีการก่อการร้ายอย่าง “ชุกชุม” ในทุกปี ถ้ายังจำกันได้เมื่อปี 2559 แนวร่วม “ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ” เคยก่อการร้ายแบบ “ดาวกระจาย” ในเมืองท่องเที่ยว 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน ตั้งแต่ ตรัง พังงา กระบี่ ภูเก็ต นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ขึ้นไปจนถึง อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มาแล้ว และหลังสิ้นเสียงระเบิดครั้งนั้นเจ้าหน้าที่ “บนหอคอยงาช้าง” ในส่วนกลางก็ฟันธงว่าเป็นฝีมือของ “กลุ่มการเมืองเก่า”
 
แต่สุดท้ายฝ่ายตำรวจ นำโดย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ที่รับผิดชอบในการคลี่คลายคดีก็ทำเอาผู้ใหญ่ “สายเขียว” มีอาการ “หน้าม้าน” ไปตามๆ กัน เพราะผู้ต้องหาทั้งที่ถูกจับได้และถูกออกหมายจับล้วนเป็นแนวร่วมขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ทั้งสิ้น และที่สำคัญไม่มีผู้ต้องหาคนไทยซัดทอดว่ามี “กลุ่มการเมือง” เป็น“ผู้ว่าจ้าง” ให้ไปวางระเบิดสักคนเดียว
 
ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกันเพราะผู้ลงมือก่อเหตุจาก “ภาพถ่าย” ของกล้องวงจรปิดที่ตำรวจรวมรวมไว้ได้ระบุชัดว่า ล้วนเป็นโจรใต้และรายชื่อที่ได้มาก็เกี่ยวพันกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่เคลื่อนไหวอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้ว่าบางคนจะยังไม่มีหมายจับก็ตาม เพราะในการก่อเหตุที่ผ่านมายังไม่มีพยานหลักฐานสาวไปถึง จึงยังอยู่ในกลุ่ม“แนวร่วมหน้าขาว” หรือพวกที่ยังไม่มีประวัติในสารบบของหน่วยงานความมั่นคงและในแฟ้มอาชญากรรมตำรวจ
 
สำหรับ “สาเหตุของปฏิบัติการป่วนกรุง” เมื่อไม่มีข้อมูลว่าเป็นการ “ว่าจ้าง” จากกลุ่มการเมืองเก่าๆ ก็ต้องพิจารณาว่าแล้วมี “แรงจูงใจ” อะไรจึงกล้าที่จะออกนอกพื้นที่อิทธิพล 3 จังหวัดคือ นราธิวาส ปัตตานี และยะลา กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย แล้วต้องไปปฏิบัติการไกลถึงใน กทม. ซึ่งก็ต้องหันกลับไปดูฐานข้อมูลจังหวัดชายแดนภาคใต้
 
ประเด็นแรกมี “นักการข่าวบางคน” ได้ข่าวมาเล่าสู่กันฟังก่อนหน้าที่จะเกิดระเบิดประมาณ 1 สัปดาห์ว่า ได้รับทราบข่าวว่าจะมีการป่วนครั้งใหญ่ ซึ่งข่าวนี้หลุดจากการชุมนุมในงานแต่งงานลูกสาวของ “ซำซูดิง คาน” ผู้นำขบวนการพูโลที่รัฐกลันตัน แต่ข่าวนี้ไม่ได้รับความสนใจจากหน่วยงานความมั่นคงมากนัก
 
ประเด็นต่อมา ก่อนหน้าที่จะเกิดระเบิดป่วนกรุงเทพฯ “มาราปาตานี” ซึ่งเป็นกลุ่มที่รวมตัวของแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดน 4 กลุ่ม ได้เคลื่อนไหวทวงถามการเดินหน้ากระบวนการพูดคุยสันติสุขจากจากรัฐบาลไทยชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง อันเหมือนกับการส่ง “รหัสนัย” บางอย่าง
 
ประเด็นถัดมา การรุกอย่างต่อเนื่องของ “แม่ทัพภาคที่ 4” ต่อกองกำลังติดอาวุธของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้วันนี้จะไม่ได้สร้างความลำบากในการเคลื่อนไหวทั้งด้านการเมืองและการทหารให้แก่บีอาร์เอ็นฯ มากนัก แต่ถ้าปล่อยให้มีการ “ปรับแผน” ในระยะยาวอาจจะส่งผลให้ปฏิบัติการของบีอาร์เอ็นฯ ในพื้นที่เป็นไปด้วยความยุ่งยากมากขึ้นก็เป็นได้
 
และประเด็นสุดท้าย มีการสร้าง “เงื่อนไขสงครามประชาชน” ทำให้เกิดความไม่พอใจของ “มวลชน” เช่น การใช้กฎหมายพิเศษในจังหวัดชายแดนใต้ การบังคับให้ต้องสแกนใบหน้าเพื่อลงทะเบียนซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือแบบ 2 แชะอัตลักษณ์ การกวาดต้อนชาวบ้านไปทำการตรวจดีเอ็นเอ ฯลฯ ล้วนเป็นเงื่อนไขที่จัดว่า “สุกงอม” จนเพียงพอที่จะให้บีอาร์เอ็นฯ ปฏิบัติการในครั้งนี้
 
ในส่วนของ “ผลที่ได้จากปฏิบัติการป่วนกรุง” หนึ่งนั้นก็เพื่อแสดง “ตัวตน” ของบีอาร์เอ็นฯ อีกหนึ่งนั้นเพื่อบอกกับรัฐบาลว่ามี “ศักยภาพ” สามารถที่จะก่อการร้ายได้ในทุกพื้นที่ถ้าบีอาร์เอ็นฯ ต้องการ และอีกหนึ่งนั้นเพื่อ “ต่อรอง” กับรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงให้ผ่อนคลายปฏิบัติการปิดล้อมและกดดันต่างๆ ต่อกองกำลังของบีอาร์เอ็นฯ และต่อมวลชนในพื้นที่ที่ไม่เห็นด้วยกับการสร้าง “เงื่อนไขใหม่” โดยเฉพาะ 2 แชะอัตลักษณ์ และการบังคับตรวจดีเอ็นเอ
 
ส่วนเรื่องราวของ “อับดุลเลาะ อีซอมูซอ” ผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัวจากบ้านที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เข้าศูนย์ซักถามในค่ายอิงคยุทธบริหาร แล้วเกิด “ภาวะสมองบวม” เพราะขาดออดซิเจนอย่างไม้รู้สาเหตุ กรณีนี้ถือเป็นเพียง “ส่วนประกอบหนึ่ง” เพราะขบวนการก่อการร้ายมีการวางแผนป่วนกรุงเทพฯ ไว้ก่อนที่เขาจะถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงควบคุมตัวเข้าค่ายทหารที่ปัตตานีแล้ว
 
ระเบิดป่วนกรุงเทพฯ ครั้งนี้จึงสร้างปรากฏการณ์ “น้ำท่วมปาก” ให้แก่ “ท่านผู้นำ” และฝ่ายความมั่นคงที่จำต้องปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยวกับกลุ่มก่อการร้าย ไม่เกี่ยวกับขบวนการแบ่งแยกดินแดน เพราะถ้ายอมรับในประเด็นนี้ นั่นก็เท่ากับยอมรับว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนมีอยู่จริง และยังเป็นการยอมรับ “ตัวตน” ของบีอาร์เอ็นฯ อันเป็นการ “เดินตามเกม” ที่บีอาร์เอ็นฯ ต้องการ ซึ่งไม่เป็นผลดีใดๆ เลย
 
และยิ่งยอมรับไม่ได้อย่างหัวเด็ดตีนขาดเลยว่า สาเหตุหลักของระเบิดป่วนกรุงเทพฯ ครั้งนี้โยงใยกับความเชื่อของสังคมที่คลางแคลงใจมานานว่า “มีการซ้อมทรมานในค่ายทหาร” เพราะถ้ายอมรับในประเด็นนี้แล้ว องค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of the Islamic Cooperation : OIC) องค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติ กระทั่งองค์การสหประชาชาติ จะหันมาเล่นงานจนประเทศไทยอาจไม่มีที่ยืนก็ได้
 
ดังนั้น “เรื่องจริง” ที่เกิดขึ้นกับการให้ “ข้อมูล” ของระดับนำในรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงจึงมักจะ “สวนทางกัน” ด้วยความจำเป็นดังกล่าว
 
เมื่อทุกอย่างเป็นเรื่อง “น้ำท่วมปาก” ไปแล้ว สิ่งที่รัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงต้องเร่งดำเนินการคือ การกวาดล้างเครือข่ายขบวนการก่อการร้ายใน กทม.และปริมณฑลอย่างจริงจัง และต้องสกัดกั้นหรืออย่างน้อยต้องจำกัดในพื้นที่ปฏิบัติการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้ผล
 
เนื่องเพราะหากแก้ปัญหาแบบ “ฉาบฉวย” เหมือนที่ผ่านๆ มา เชื่อว่าอีกไม่นานกรุงเทพฯ อาจจะกลายเป็น “ตลาดระเบิด” เพื่อการต่อรองระหว่างขบวนการก่อการร้ายกับรัฐบาล และนี่ก็คือ “ฝันร้าย” คนไทยในเวลานี้
 


กำลังโหลดความคิดเห็น