ระนอง - เจ้าของเรือประมง ระนอง “วุฒิ พิบูลรุจนานนท์” ยอมหยุดเดิน หลังถูกจังหวัดพยายามสกัดไม่ให้เดินเข้ากรุงเทพฯ พร้อมต่อสายคุยกับรองอธิบดีกรมประมง พร้อมรับปากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมารับฟังปัญหาจันทร์นี้
จากกรณี นายวุฒิ พิบูลรุจนานนท์ หนุ่มชาวประมงระนอง วัย 34 ปี เจ้าของเรือประมง 2 ลำที่ถูกจับในข้อหารุกล้ำน่านน้ำประเทศพม่า เมื่อปี 2560 ซึ่งหลังเกิดเหตุ ระบุว่าได้มีการต่อสู้ทางคดีมาโดยตลอด จนสุดท้ายศาลสั่งยกฟ้อง แต่ปัจจุบันยังไม่ได้มีการดำเนินการแก้ไขใดๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเงินค่าปรับ 2 แสนบาท ก็ยังไม่ได้คืน ใบอนุญาตที่ได้รับมาล่าสุดก็ถูกยกเลิกอีก ในขณะที่ตนต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลเรือที่จอดอยู่เฉยๆ อีกเดือนละกว่า 5 หมื่นบาท ได้ตัดสินใจออกเดินทางไปที่กรุงเทพฯ เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรม
แต่การเดินเท้าของนายวุฒิ ไม่ได้ราบรื่น เนื่องจากมีความพยายามจากทางจังหวัด โดยในเวลา 11.30 น. ในขณะที่ นายวุฒิ เดินเท้าเปล่ามาได้เกือบ 10 กม. นายคงกฤษ ฉัตรมาลีรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดระนอง พร้อมด้วยนายสุวิช คชสิงห์ ประมงจังหวัดระนอง ได้มาพุดคุยและขอร้องให้ นายวุฒิหยุดเดิน และให้ไปยื่นหนังสือแสดงความเดือดร้อนต่อตน และรัฐมนตรีที่สภาผู้แทนราษฎร เพราะเป็นห่วงความปลอดภัย แต่นายวุฒิ ยังยืนยันที่จะเดินต่อไป เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาได้พยายามติดต่อและพูดคุยกับหน่วยงานต่างๆ แล้วแต่ไม่มีอะไรดีขึ้น
นายคงกฤษ จึงรับปากว่าจะคอยต้อนรับนายวุฒิ อยู่ที่สภา พร้อมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และวอนขอให้พี่น้องประชาชนริมสองข้างทางให้กำลังใจนายวุฒิ และให้นายวุฒิแวะรับฟังความเดือดร้อนของพี่น้องชาวประมงจากจังหวัดต่างๆ ที่นายวุฒิ ได้เดินผ่านไปด้วยในฐานะของชาวประมงด้วยกัน
จนกระทั่งเวลา 12.30 น. ขณะที่นายวุฒิ เดินไปได้ระยะทางราว 20 กม. นายพรเทพ ผ่องศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง พร้อมด้วย นายสุวิช คชสิงห์ ประมงจังหวัดระนองได้เดินทางมาขอให้นายวุฒิ หยุดเดิน และมานั่งพูดคุยกันที่หน้าร้านขายของชำแห่งหนึ่ง โดยนายพรเทพ ขอให้นายวุฒิ เล่าเรื่องและปัญหาที่เกิดขึ้นให้ฟัง พร้อมต่อสายให้พูดคุยกับรองอธิบดีกรมประมง ซึ่งรับปากว่าจะให้ผู้อำนวยการกองกฎหมายของกรมประมง ลงมาพูดคุยหาทางออกในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ และนายพรเทพ ได้บอกกับนายวุฒิ ว่า เรื่องความเดือดร้อนของนายวุฒิ รวมถึงคดีความที่ยุติไปแล้วควรจะต้องมีทางออกที่ดี ความเดือดร้อนควรได้รับการคลี่คลาย โดยรับปากว่าจะร่วมเจรจาและอยู่ข้างนายวุฒิ ซึ่งหากวันจันทร์ไม่มีความคืบหน้าตนเองก็พร้อมจะเดินไปกับนายวุฒิด้วย
ซึ่งจากการพูดคุยทำให้ นายวุฒิ พอใจ ยอมหยุดเดินเป็นการชั่วคราว เพื่อรอการพูดคุยในวันจันทร์ที่ 5 ส.ค. นี้ ซึ่งหากการพูดคุยไม่เป็นผล ปัญหาต่างๆ ไม่ได้รับการแก้ไข นายวุฒิ บอกว่าตนเองก็จะเริ่มออกเดินในรอบที่ 2 และรอบนี้คงไม่ได้เดินตามลำพัง
โดยนายวุฒิ กล่าวถึงการตัดสินใจเดินเท้าเข้ากรุเทพฯ เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมในครั้งนี้ ว่า ตนเองมีความอัดอั้นตันใจจากการถูกดำเนินการของรัฐมาโดยตลอด ตั้งแต่มีการจัดระเบียบอาชีพประมง ซึ่งล่าสุดเมื่อปี 2560 ตนถูกดำเนินคดีกรณีเรือประมงของตนถูกแจ้งข้อหาเดินเรือรุกล้ำลำน้ำประเทศพม่า ซึ่งทำให้เรือ 2 ลำ ถูกสั่งให้หยุดและเพิกถอนใบอนุญาต แต่ตนได้มีการต่อสู้คดีมาโดยตลอด จนสุดท้ายศาลสั่งยกฟ้อง แต่ปัจจุบันยังไม่ได้มีการดำเนินการแก้ไขใดๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งเงินค่าปรับ 2 แสนบาทก็ยังไม่ได้คืน ใบอนุญาตที่ได้รับมาล่าสุดก็ถูกยกเลิกอีก ในขณะที่ตนต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลเรือที่จอดอยู่เฉยๆ อีกเดือนละกว่า 5 หมื่นบาท ซึ่งความอดทนของตนสิ้นสุดแล้ว ตนจึงตัดสินใจออกเดินมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ ไปขอความกรุณาจากท่านอธิบดีกรมประมง รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และท่านนายกรัฐมนตรี หาทางออกให้แก่ตนว่าจะให้ประกอบอาชีพนี้ต่อไป หรือจะรับซื้อเรือของตนไป ตนจะได้ไปทำอาชีพอื่น
จากกรณี นายวุฒิ พิบูลรุจนานนท์ หนุ่มชาวประมงระนอง วัย 34 ปี เจ้าของเรือประมง 2 ลำที่ถูกจับในข้อหารุกล้ำน่านน้ำประเทศพม่า เมื่อปี 2560 ซึ่งหลังเกิดเหตุ ระบุว่าได้มีการต่อสู้ทางคดีมาโดยตลอด จนสุดท้ายศาลสั่งยกฟ้อง แต่ปัจจุบันยังไม่ได้มีการดำเนินการแก้ไขใดๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเงินค่าปรับ 2 แสนบาท ก็ยังไม่ได้คืน ใบอนุญาตที่ได้รับมาล่าสุดก็ถูกยกเลิกอีก ในขณะที่ตนต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลเรือที่จอดอยู่เฉยๆ อีกเดือนละกว่า 5 หมื่นบาท ได้ตัดสินใจออกเดินทางไปที่กรุงเทพฯ เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรม
แต่การเดินเท้าของนายวุฒิ ไม่ได้ราบรื่น เนื่องจากมีความพยายามจากทางจังหวัด โดยในเวลา 11.30 น. ในขณะที่ นายวุฒิ เดินเท้าเปล่ามาได้เกือบ 10 กม. นายคงกฤษ ฉัตรมาลีรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดระนอง พร้อมด้วยนายสุวิช คชสิงห์ ประมงจังหวัดระนอง ได้มาพุดคุยและขอร้องให้ นายวุฒิหยุดเดิน และให้ไปยื่นหนังสือแสดงความเดือดร้อนต่อตน และรัฐมนตรีที่สภาผู้แทนราษฎร เพราะเป็นห่วงความปลอดภัย แต่นายวุฒิ ยังยืนยันที่จะเดินต่อไป เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาได้พยายามติดต่อและพูดคุยกับหน่วยงานต่างๆ แล้วแต่ไม่มีอะไรดีขึ้น
นายคงกฤษ จึงรับปากว่าจะคอยต้อนรับนายวุฒิ อยู่ที่สภา พร้อมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และวอนขอให้พี่น้องประชาชนริมสองข้างทางให้กำลังใจนายวุฒิ และให้นายวุฒิแวะรับฟังความเดือดร้อนของพี่น้องชาวประมงจากจังหวัดต่างๆ ที่นายวุฒิ ได้เดินผ่านไปด้วยในฐานะของชาวประมงด้วยกัน
จนกระทั่งเวลา 12.30 น. ขณะที่นายวุฒิ เดินไปได้ระยะทางราว 20 กม. นายพรเทพ ผ่องศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง พร้อมด้วย นายสุวิช คชสิงห์ ประมงจังหวัดระนองได้เดินทางมาขอให้นายวุฒิ หยุดเดิน และมานั่งพูดคุยกันที่หน้าร้านขายของชำแห่งหนึ่ง โดยนายพรเทพ ขอให้นายวุฒิ เล่าเรื่องและปัญหาที่เกิดขึ้นให้ฟัง พร้อมต่อสายให้พูดคุยกับรองอธิบดีกรมประมง ซึ่งรับปากว่าจะให้ผู้อำนวยการกองกฎหมายของกรมประมง ลงมาพูดคุยหาทางออกในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ และนายพรเทพ ได้บอกกับนายวุฒิ ว่า เรื่องความเดือดร้อนของนายวุฒิ รวมถึงคดีความที่ยุติไปแล้วควรจะต้องมีทางออกที่ดี ความเดือดร้อนควรได้รับการคลี่คลาย โดยรับปากว่าจะร่วมเจรจาและอยู่ข้างนายวุฒิ ซึ่งหากวันจันทร์ไม่มีความคืบหน้าตนเองก็พร้อมจะเดินไปกับนายวุฒิด้วย
ซึ่งจากการพูดคุยทำให้ นายวุฒิ พอใจ ยอมหยุดเดินเป็นการชั่วคราว เพื่อรอการพูดคุยในวันจันทร์ที่ 5 ส.ค. นี้ ซึ่งหากการพูดคุยไม่เป็นผล ปัญหาต่างๆ ไม่ได้รับการแก้ไข นายวุฒิ บอกว่าตนเองก็จะเริ่มออกเดินในรอบที่ 2 และรอบนี้คงไม่ได้เดินตามลำพัง
โดยนายวุฒิ กล่าวถึงการตัดสินใจเดินเท้าเข้ากรุเทพฯ เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมในครั้งนี้ ว่า ตนเองมีความอัดอั้นตันใจจากการถูกดำเนินการของรัฐมาโดยตลอด ตั้งแต่มีการจัดระเบียบอาชีพประมง ซึ่งล่าสุดเมื่อปี 2560 ตนถูกดำเนินคดีกรณีเรือประมงของตนถูกแจ้งข้อหาเดินเรือรุกล้ำลำน้ำประเทศพม่า ซึ่งทำให้เรือ 2 ลำ ถูกสั่งให้หยุดและเพิกถอนใบอนุญาต แต่ตนได้มีการต่อสู้คดีมาโดยตลอด จนสุดท้ายศาลสั่งยกฟ้อง แต่ปัจจุบันยังไม่ได้มีการดำเนินการแก้ไขใดๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งเงินค่าปรับ 2 แสนบาทก็ยังไม่ได้คืน ใบอนุญาตที่ได้รับมาล่าสุดก็ถูกยกเลิกอีก ในขณะที่ตนต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลเรือที่จอดอยู่เฉยๆ อีกเดือนละกว่า 5 หมื่นบาท ซึ่งความอดทนของตนสิ้นสุดแล้ว ตนจึงตัดสินใจออกเดินมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ ไปขอความกรุณาจากท่านอธิบดีกรมประมง รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และท่านนายกรัฐมนตรี หาทางออกให้แก่ตนว่าจะให้ประกอบอาชีพนี้ต่อไป หรือจะรับซื้อเรือของตนไป ตนจะได้ไปทำอาชีพอื่น
