โดย... ศูนย์ข่าวหาดใหญ่
จับกันได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับแรงงานต่างด้าวชาวพม่า ที่ลักลอบเข้ามาแบบผิดกฎหมาย โดยเฉพาะพื้นที่ จ.สงขลา ทั้ง อ.หาดใหญ่ บางกล่ำ และรัตภูมิ
เหตุใด แรงงานเถื่อนชาวพม่าเหล่านี้จึงเดินทางลงมาพื้นที่นี้เป็นจำนวนมาก แลดูผิดปกติจากเดิมไปมากนัก ผิดปกติ ทั้งที่มีตัวเลขการจับกุมสูงขึ้นและมีอย่างต่อเนื่องอย่างที่ไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน และผิดปกติ ที่แรงงานเถื่อนเหล่านี้คือชาวพม่า ไม่ใช่ชาวโรฮิงญาเหมือนแต่ก่อนที่จัมกุมได้ในพื้นที่นี้ แม้จะมีชาวโรฮิงญาถูกจับกุมได้บ้าง แต่ก็เป็นจำนวนที่น้อยมาก
เหตุที่ช่วงนี้มีการจับกุมได้มากนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้ตั้งศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว และป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ (ศพดส.ตร.) โดยมี พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ จเรตำรวจแห่งชาติ เป็น ผอ.ศูนย์ ซึ่ง ศพดส.ตร.ได้เข้ามาดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง จากเดิมที่หน่วยงานในพื้นที่ มีผลงานด้านนี้ไม่มากเท่าที่ควร
ผลก็คือ ตัวเลขการจับกุม ตัวเลขจำนวนแรงงานเถื่อน และความถี่ของการจับกุม จึงมากขึ้นด้วยประการฉะนี้
ส่วนเรื่องที่มีแรงงานเถื่อนเป็นชาวพม่ามากขึ้น แทนที่จะเป็นชาวโรฮิงญาเหมือนแต่เคยนั้น ก็ด้วยปัจจุบันนี้ ชาวโรฮิงญาส่วนใหญ่ได้อพยพหนีการกวาดล้างครั้งใหญ่เมื่อเดือน ส.ค. 2560 ออกจากพม่าไปยังประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในบังกลาเทศมีผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญากว่า 9 แสนคน อาศัยอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยคอกซ์ บาซาร์ ในจำนวนนี้มีถึง 741,000 คน ที่ลี้ภัยมาจากการกวาดล้างในครั้งนั้น
ปัจจุบัน ข้าหลวงใหญ่ด้านผู้ลี้ภัยขององค์การสหประชาชาติ (UNHCR) ได้ร่วมกับรัฐบาลบังกลาเทศลงทะเบียนผู้ลี้ภัยเหล่านี้มาตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2561 เพื่อประกันสิทธิของผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา เพื่อใช้ในการเดินทางกลับพม่าโดยสมัครใจ ภายใต้เงื่อนไขที่ต้องใช้ชื่อชาติพันธุ์ในบัตรประจำตัวว่า “เบงกาลี” แทนคำว่า “โรฮิงญา” แต่ก็ยังมีผู้สมัครใจเดินทางกลับจำนวนไม่มากนัก แม้ว่าสหประชาชาติจะพยายามกดดันพม่าอย่างหนัก ซึ่งส่วนใหญ่ที่ยังไม่ยอมกลับ ก็เนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัยเมื่อกลับไปที่พม่า แม้ว่าในข้อตกลงระหว่างสหประชาชาติกับพม่าจะมีเรื่องการประกันความปลอดภัยให้แก่ชาวโรฮิงญาที่สมัครใจกลับประเทศด้วยก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ จำนวนประชากรชาวโรฮิงญาในประเทศพม่าจึงมีเหลือไม่มากนัก กลุ่มเครือข่ายนายหน้าค้าแรงงาน ซึ่งก็เป็นชาวพม่าด้วยกัน จึงหันความสนใจไปที่กลุ่มอื่นแทน โดยเฉพาะบรรดาชนกลุ่มน้อยที่มีมากมายในพม่า อาทิ ชนกลุ่มน้อยเชื้อชาติอินเดียและกะเหรี่ยง รวมทั้ง ชนกลุ่มน้อยที่นับถือศาสนาฮินดู ที่มีถิ่นอาศัยอยู่พื้นที่ชนบท ซึ่งคนเหล่านี้ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน
บรรดานายหน้าชาวพม่าจะเข้าหาคนเหล่านี้ด้วยข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้ นั่นคือ เสนอว่าจะพาไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งจะได้ค่าตอบแทนที่สูงมาก ส่วนค่าใช้จ่ายต่างๆ อาทิ ค่าเดินทาง ค่าพาสปอร์ตปลอม ที่รวมแล้วเริ่มต้นที่ 1 ล้านจ๊าด หรือราว 2 หมื่นกว่าบาทต่อคน ซึ่งแล้วแต่พื้นที่การเข้าประเทศไทย ก็ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะกลุ่มเครือข่ายนายหน้าจะปล่อยเงินให้กู้ก่อน แล้วค่อยไปทำงานใช้หนี้ทั้งต้นทั้งดอกในภายหลัง
ทั้งเส้นทาง จ.ระนอง ที่เริ่มต้นที่หัวละ 20,000-22,000บาท เส้นทางด่านเจดีย์สามองค์ จ.กาญจบุรี เริ่มต้นที่หัวละ 24,000-26,000 บาท และเส้นทาง อ.แม่สอด จ.ตาก จะเริ่มต้นที่หัวละ 28,000 บาท
เมื่อเข้าประเทศไทยตามช่องทางต่างๆ ได้แล้ว จะมีคนไทยเข้ามารับหน้าที่ “ขนส่ง” แรงงานเถื่อนเหล่านี้ จุดหมายสำคัญเพื่อพัก จุดใหญ่คือ อ.หาดใหญ่ และพื้นที่ใกล้เคียงคือ อ.บางกล่ำ และรัตภูมิ ก่อนจะส่งออกไปยังประเทศมาเลเซีย ตามด่านต่างๆ ทั้งด่านนอก ด่านปาดังเบซาร์ อ.สะเดา ด่าน อ.สุไหงโก-ลก
วิธีการขนส่งก็หลากหลาย ทั้ง “ยัด” กันมาในรถกระบะ ทั้งห้องโดยสารและกระบะ ตบตาเจ้าหน้าที่ด้วยการนอนที่กระบะแล้วใช้ผ้าใบคลุม เลือกเดินทางช่วงเวลากลางคืน หรือขึ้นรถขนส่งมวลชน ทั้งรถโดยสารประจำทาง รถตู้ หรือแม้แต่เหมารถตู้รับจ้างประจำทางมาเพื่อใช้ขนกันโดยเฉพาะ หรือแม้แต่ใช้รถบรรทุกของหน่วยงานรัฐ ใช้รถตู้ติดสติกเกอร์ปลอมว่าเป็นรถหน่วยงานรัฐก็เคยถูกจับได้มาแล้ว
แม้ฝันที่มาเลเซียจะแสนสวยงาม แต่กว่าจะไปถึงฝั่งได้ เลือดตาแทบกระเด็น แค่การเดินทางที่ยาวไกลและแสนอึดอัดนั้น ยังเล็กน้อย เมื่อเทียบกับการรอคอยที่จุดพัก เท่าที่ ศพดส.ตร.ไปตรวจจับมาได้นั้น มีทั้งปล่อยให้อยู่ในป่า อัดกันเป็นปลากระป๋องอยู่ในห้องเช่า ยัดกันไว้ที่รีสอร์ต ในสภาพอดข้าวขาดน้ำ ปิดประตูหน้าต่างขังไว้แน่นหนา ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน ขู่ว่าห้ามเสียงดังเพราะกลัวว่าจะถูกจับได้
และใช่ว่า เมื่อรอดไปถึงมาเลเซียแล้ว จะทำงานสบาย เพราะงานที่รออยู่ก็คืองานที่คนมาเลเซียปัจจุบันไม่ทำกันแล้ว ทั้งงานประมง งานในสวนยางพารา และสวนปาล์ม ที่เหนื่อยและหนักหนาสุดๆ
แต่ไม่ทำให้บรรดาคนสู้งานเหล่านี้หวาดหวั่น มีรายงานว่า ยังมีแรงงานเถื่อนชาวพม่า รอการขนส่งผ่านประเทศไทยไปยังมาเลเซียอีกกว่า 2,000 คน!
อย่างที่เขาว่ากัน “ความจนมันน่ากลัว” ชีวิตเมื่อมีความหวังสุขสว่างอยู่ที่ปลายทาง แม้ระหว่างทางมันเหน็ดเหนื่อยและเสี่ยงแค่ไหน แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไร กระแสแรงงานพม่า ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความหวัง ที่พากันแห่เข้าประเทศไทยเพื่อเข้าไปขุดทองในประเทศมาเลเซีย ดูแล้วไม่ต่างจากยุคสมัยที่แรงงานไทยขายที่นาหาเงินส่งตัวเองไปทำงานถึงซาอุดิอาระเบีย จนเกิดวาทกรรมอันโด่งดัง “ไปเสียนา มาเสียเมีย” และเพลง “ซาอุดร” ของคาราบาว ที่ออกมาในปี 2528
จนกระทั่งเกิดคดี “เพชรซาอุ” นั่นแหละ ที่ทำให้ซาอุดิอาระเบียตัดสัมพันธ์ทางการทูต งดออกวีซ่าให้แรงงานไทย คลื่นแรงงานไทยจึงหันไปหาประเทศอิสราเอลแล้วก็มาถึงยุคนี้ ยุคที่ “ผีน้อย” บุกเกาหลีใต้ เข้าไปทำงานด้านเกษตรกรรมในประเทศเกาหลีใต้ ด้วยความหวังตามโฆษณาที่ว่า “ไปเก็บเงินล้านกัน รายได้วันละ 2,100-2,400 บาท
ก็ไม่ต่างจากคนพม่า ที่แต่เดิมเคยเข้ามาขายแรงงานในประเทศไทยอย่างมากมาย แม้แต่ทุกวันนี้ ก็ยังเห็นกันอยู่มากมาย อย่างที่ อ.หาดใหญ่ บริษัทก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ก็มีแรงงานชาวพม่ากันเกือบทั้งหมด ที่จะพยายามหาแหล่งขายแรงงานที่จะได้ค่าตอบแทนที่ดีที่สุด ให้คุ้มสมกับค่าเหนื่อย
ถามว่า ทำไมแรงงานพม่าเถื่อนเหล่านี้ จึงไม่สนใจเข้ามาทำงานในประเทศไทย ใช้เพียงเป็นแค่เส้นทางผ่านไปยังประเทศมาเลเซียเท่านั้น นั่นก็เพราะว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีมาตรการปราบปรามแรงงานต่างด้าวเถื่อนที่เข้มข้น และมีโทษปรับสูงเกือบล้าน ทำให้ผู้ประกอบการไม่กล้าเสี่ยงที่จะใช้แรงงานเถื่อน และเมื่อจ้างแรงงานต่างด้าวที่ถูกกฎหมาย ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นก็อาจทำให้ค่าตอบแทนแก่แรงงานลดลง
กอปรกับขณะนี้ ความต้องการแรงงานในประเทศมาเลเซียมีสูงมาก ตามที่กล่าวไว้แล้วว่า หลายงานที่ต้องใช้แรงงาน ทำแล้วเหนื่อยมาก คนมาเลเซียไม่สนใจที่จะทำกันแล้ว ก็คงคล้ายกับคนไทยที่ผ่านมา หลายๆ งานก็ส่ายหน้าว่า ไม่คุ้มที่จะทำ
จึงไม่น่าแปลกอะไร ที่คนพม่านับพัน เท่าที่ตามจับ ตามสืบมาได้ จะพากันยอมเสี่ยงยอมเป็นหนี้ก้อนโตพาตัวเองไปสู่พื้นที่ที่ดีกว่า ที่มีค่าตอบแทนสูงกว่า ย่อมเป็นธรรมดาของมนุษย์เราแทบทุกคน