ระนอง - แม่น้อง “แอปเปิ้ล” เผยหลังทราบคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง 2 จำเลยถูกกล่าวหาในคดีฆาตกรรม 'น้องแอปเปิ้ล' เมื่อปี 2558 ยอมรับคำพิพากษาและไม่คิดที่จะฎีกาต่อ ระบุเหนื่อยแล้ว

จากกรณีเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลย 2 ใน 4 ถูกกล่าว ถูกกล่าวหาว่าฆ่า นางอรวี สำเภาทอง หรือ น้องแอปเปิ้ล ประกอบด้วย นาย เมาเซ้น หรือ เซกะดอ จำเลยที่ 1 และ ซอเล ที่จำเลย 2โดยศาลอุทธรณ์ กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจังหวัดระนองที่พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยออกหมายปล่อยตัวจำเลย ปัจจุบันจำเลยทั้งสองถูกกักตัวอยู่ ณ ตม. จังหวัดระนอง รอส่งกลับตามกระบวนการต่อไป
สำหรับที่มาของคดีนั้นเกิดขึ้นเมื่อ 28 ก.ย. 2558 เกิดเหตุฆาตกรรม น.ส.อรวี สำเภาทอง นักเรียน ม.6 อายุ 17 ปี สภาพศพถูกแทงด้วยของมีคมกว่า 17 แผล บริเวณซอยทางเข้าสำนักสงฆ์สะพานปลา ต.บางริ้น ตำรวจพุ่งเป้าไปที่คนงานพม่าที่อาศัยอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ และพบผู้ต้องสงสัยจำนวนสี่คน ประกอบด้วย นายโมซินอ่าว นายจอ นายโซวิน เมาเซ้น และนายซอเล หลังการนำตัวมาสอบสวน ซอเล และ โมซินอ่าว สารภาพว่าเป็นคนฆ่านางสาวอรวี ทั้งนี้ ในศาลชั้นต้น ทนายจำเลยมีประเด็นติดใจหลายประเด็น ไม่ว่าจะเรื่องที่ตรวจไม่พบ DNA ของจำเลยในเล็บผู้ตายและไม้ไผ่ที่อ้างว่าจำเลยใช้ตี ขนาดของบาดแผลที่ไม่ตรงกับขนาดของมีด รวมถึงเรื่องที่มีพยานพบเห็นจำเลยคนหนึ่งที่แพในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ ที่ศาลไม่ได้หยิบมาพิจารณา
คดีนี้จำเลยให้ข้อมูลแก่ทนายความที่ให้ความช่วยเหลือว่าถูกซ้อมทรมานทำร้ายร่างกาย เพื่อให้รับสารภาพปรากฎร่องรอยการถูกทำร้ายให้เห็นตามร่างกายซึ่งถูกบันทึกไว้ในเอกสารของแพทย์ที่ทำหน้าที่ตรวจร่างกายโดยละเอียด ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเป็นข้อปลีกย่อยไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่จำต้องวินิจฉัย ส่วนการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ สรุปโจทก์ร่วมไม่ใช่มารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องเรียกค่าสินไหมทดแทน
ในส่วนแพ่งจำเลยทั้ง 2 และศาลเยาวชนครอบครัวจังหวัดระนองพิพากษาให้จำเลยในคดีดังกล่าวชดใช้ค่าปลงศพรวมทั้งค่าขาดไร้อุปการะแล้ว ศาลชั้นต้นจึงไม่มีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวอีก เห็นว่าในกรณีที่รักษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เมื่อคดีในส่วนอาญารับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำความผิดตามที่วินิจฉัยข้างต้น จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชอบค่าชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ในค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะ
โดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมเป็นมารดาโดยชอบของผู้ตายหรือไม่เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น อนึ่งสำหรับมีดและไม้ไผ่ของกลางศาลมีคำสั่งให้ริบไว้แล้ว ในคดีอาญา หมายเลขแดง ที่ 27/2561 ของศาลเด็กและเยาวชนจังหวัดระนองจึงไม่จำต้องสั่งให้คืนหรือริบในคดีนี้อีก พิพากษากลับให้ยกฟ้อง และยกคำขอในส่วนแพ่งของโจทก์ร่วมค่าฤชาธรรมเนียม ส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ในส่วนของนางมาริษา สำเภาทอง เล่าให้ฟังว่า ภายหลังที่ได้ทราบคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้อง 2 ชาวเมียนมาแล้ว ตนเองก็ยอมรับในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ซึ่งตนเองและครอบครัวก็ไม่คิดที่จะยื่นฎีกาต่อ เพราะเห็นว่าทางจำเลยชาวเมียนมาทั้งสองก็ได้รับโทษชดใช้ความผิดอย่างสาสมในเรือนจำมานานกว่า 4 ปีแล้ว ทุกอย่างก็ให้เป็นไปตามกฎหมายและตนเองกับครอบครัวก็ยอมรับในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์.
จากกรณีเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลย 2 ใน 4 ถูกกล่าว ถูกกล่าวหาว่าฆ่า นางอรวี สำเภาทอง หรือ น้องแอปเปิ้ล ประกอบด้วย นาย เมาเซ้น หรือ เซกะดอ จำเลยที่ 1 และ ซอเล ที่จำเลย 2โดยศาลอุทธรณ์ กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจังหวัดระนองที่พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยออกหมายปล่อยตัวจำเลย ปัจจุบันจำเลยทั้งสองถูกกักตัวอยู่ ณ ตม. จังหวัดระนอง รอส่งกลับตามกระบวนการต่อไป
สำหรับที่มาของคดีนั้นเกิดขึ้นเมื่อ 28 ก.ย. 2558 เกิดเหตุฆาตกรรม น.ส.อรวี สำเภาทอง นักเรียน ม.6 อายุ 17 ปี สภาพศพถูกแทงด้วยของมีคมกว่า 17 แผล บริเวณซอยทางเข้าสำนักสงฆ์สะพานปลา ต.บางริ้น ตำรวจพุ่งเป้าไปที่คนงานพม่าที่อาศัยอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ และพบผู้ต้องสงสัยจำนวนสี่คน ประกอบด้วย นายโมซินอ่าว นายจอ นายโซวิน เมาเซ้น และนายซอเล หลังการนำตัวมาสอบสวน ซอเล และ โมซินอ่าว สารภาพว่าเป็นคนฆ่านางสาวอรวี ทั้งนี้ ในศาลชั้นต้น ทนายจำเลยมีประเด็นติดใจหลายประเด็น ไม่ว่าจะเรื่องที่ตรวจไม่พบ DNA ของจำเลยในเล็บผู้ตายและไม้ไผ่ที่อ้างว่าจำเลยใช้ตี ขนาดของบาดแผลที่ไม่ตรงกับขนาดของมีด รวมถึงเรื่องที่มีพยานพบเห็นจำเลยคนหนึ่งที่แพในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ ที่ศาลไม่ได้หยิบมาพิจารณา
คดีนี้จำเลยให้ข้อมูลแก่ทนายความที่ให้ความช่วยเหลือว่าถูกซ้อมทรมานทำร้ายร่างกาย เพื่อให้รับสารภาพปรากฎร่องรอยการถูกทำร้ายให้เห็นตามร่างกายซึ่งถูกบันทึกไว้ในเอกสารของแพทย์ที่ทำหน้าที่ตรวจร่างกายโดยละเอียด ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเป็นข้อปลีกย่อยไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่จำต้องวินิจฉัย ส่วนการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ สรุปโจทก์ร่วมไม่ใช่มารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องเรียกค่าสินไหมทดแทน
ในส่วนแพ่งจำเลยทั้ง 2 และศาลเยาวชนครอบครัวจังหวัดระนองพิพากษาให้จำเลยในคดีดังกล่าวชดใช้ค่าปลงศพรวมทั้งค่าขาดไร้อุปการะแล้ว ศาลชั้นต้นจึงไม่มีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวอีก เห็นว่าในกรณีที่รักษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เมื่อคดีในส่วนอาญารับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำความผิดตามที่วินิจฉัยข้างต้น จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชอบค่าชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ในค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะ
โดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมเป็นมารดาโดยชอบของผู้ตายหรือไม่เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น อนึ่งสำหรับมีดและไม้ไผ่ของกลางศาลมีคำสั่งให้ริบไว้แล้ว ในคดีอาญา หมายเลขแดง ที่ 27/2561 ของศาลเด็กและเยาวชนจังหวัดระนองจึงไม่จำต้องสั่งให้คืนหรือริบในคดีนี้อีก พิพากษากลับให้ยกฟ้อง และยกคำขอในส่วนแพ่งของโจทก์ร่วมค่าฤชาธรรมเนียม ส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ในส่วนของนางมาริษา สำเภาทอง เล่าให้ฟังว่า ภายหลังที่ได้ทราบคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้อง 2 ชาวเมียนมาแล้ว ตนเองก็ยอมรับในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ซึ่งตนเองและครอบครัวก็ไม่คิดที่จะยื่นฎีกาต่อ เพราะเห็นว่าทางจำเลยชาวเมียนมาทั้งสองก็ได้รับโทษชดใช้ความผิดอย่างสาสมในเรือนจำมานานกว่า 4 ปีแล้ว ทุกอย่างก็ให้เป็นไปตามกฎหมายและตนเองกับครอบครัวก็ยอมรับในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์.