โดย... ศูนย์ข่าวหาดใหญ่
แค่ตั้งชื่อโครงการที่กำหนดให้ต้องตระเวนจัด “เวทีสานเสวนา” เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้คนใน 15 จังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะจาก “ผู้มีส่วนได้-เสีย” โดยตรงก็เกิดคำถามมากมายว่า ทำไมแค่ชื่อยังต้อง “โกหกคำโต” ด้วยการบิดเบือนไปจากความจริง แล้วอย่างนี้จะให้ไว้ใจทำคลอด “ผลการศึกษา” ออกมาได้อย่างไร?
นี่คือคำถามที่มีต่อ “โครงการศึกษาการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) สำหรับพื้นที่จัดตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินในภาคใต้” อันสืบเนื่องจากสัญญาบันทึกข้อตกลงความร่วมมือหรือ “MOU” เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2561 ระหว่าง นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน กับตัวแทนเครือข่ายปกป้องสองฝั่งทะเล กระบี่-เทพา ยุติโรงไฟฟ้าถ่านหิน
แล้วต่อมาคณะกรรมการกำกับการศึกษาโครงการได้พิจารณาเลือกให้ “สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)” ได้รับคัดเลือกให้ทำโครงการนี้ โดยมี “ศ.ดร.จำลอง โพธิ์บุญ” ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยสิ่งแวดล้อมและภาวะโลกร้อน นิด้า รับหน้าเสื่อเป็นหัวหน้าโครงการ ด้วยวงเงินจัดจ้างศึกษาสูงถึง 50 ล้านบาท ชนะอีก 2 สถาบันที่เสนอตัวด้วยเช่นกันคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ความจริงแล้วโครงการนี้ใช้ชื่อเฉพาะเจาะจงมาตั้งแต่ต้น กล่าวคือ เพื่อให้ศึกษาว่าจะปักหมุด “โรงไฟฟ้าถ่านหินในภาคใต้” ได้หรือไม่ อย่างไร?!
แต่พอถึงเวลาที่นิด้าหอบหิ้วบรรดานักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ ลงพื้นที่จัดเวทีสานเสวนาในรอบแรก ซึ่งกำหนดทำขึ้นใน 4 จังหวัดภาคใต้คือ สงขลา กระบี่ สุราษฎร์ธานีและชุมพร เมื่อช่วงปลายเดือน เม.ย-ต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ชื่อโครงการกลับถูกเปลี่ยนไปอย่างมีเลศนัยสำคัญเป็นการจัดงานสานเสวนา
เพื่อศึกษา “ยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานไฟฟ้าภาคใต้” จึงดูเหมือนมีความจงใจตัดคำว่า “โรงไฟฟ้าถ่านหิน” ออกไป?!
สถาบันที่ได้รับการยอมรับทางวิชาการมีเหตุผลกลใดเล่า จึงจงในปรับเปลี่ยนชื่อของโครงการศึกษา SEA ไฟฟ้าใต้ครั้งนี้ โดยบิดเบือนไปชนิดที่แทบไม่ให้เหลือคราบ “ความต้องการ” อันเป็น “วัตถุประสงค์หลัก” ของกระทรวงพลังงานผู้ว่าจ้างและกำหนดชื่อโครงการไว้ให้
เรื่องนี้ “นิด้า” ควรจะต้องมีคำตอบให้แก่สังคม!!
เมื่อมองย้อนไปที่จุดเริ่มต้นของโครงการนี้ก็ต้องกลับไปเมื่อวันที่ 20 ก.พ.2561 ซึ่งมีการลงนามเอ็มโอยูระหว่าง รมว.พลังงานกับแกนนำเครือข่ายปกป้องสองฝั่งทะเล กระบี่-เทพา ยุติโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้น มีการใช้คำว่า “โรงไฟฟ้าถ่านหิน” มาตั้งแต่ต้น ซึ่งไม่ได้ตกลงกันว่าจะให้ศึกษาภาพรวมของการพัฒนา “พลังงานไฟฟ้าภาคใต้” แต่อย่างใด
เอ็มโอยูฉบับดังกล่าวระบุไว้อย่างชัดเจนในข้อ 2 ว่า ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการให้มีการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ (SEA) เพื่อศึกษาว่าพื้นที่ จ.กระบี่ และ อ.เทพา จ.สงขลา เหมาะสมในการสร้าง “โรงไฟฟ้าถ่านหิน” หรือไม่ โดยจะต้องจัดทำโดย “นักวิชาการที่มีความเป็นกลาง” ที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับร่วมกัน
หากการศึกษาชี้ชัดว่า การสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินไม่เหมาะสม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะต้องยุติการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้ง 2 พื้นที่ และกระทรวงพลังงานจะต้องออกคำสั่งกระทรวงให้ผลการจัดทำรายงานเชิงยุทธศาสตร์ มีผลผูกพันการดำเนินงานโครงการ “โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่และเทพา” ด้วย
อีกทั้งในข้อ 3 ยังระบุว่า หากผลรายงานออกมาว่า เหมาะสมต่อการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ในขั้นตอนการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) จะต้องจัดทำโดย “คนกลาง” ที่ยอมรับร่วมกัน
ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อกลับไปอ่านเนื้อหาในข้อตกลงเอ็มโอยูที่ นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน “ยอมทำขึ้นแบบซ้ำซ้อน” กับตัวแทนเครือข่ายคนเทพาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือฝ่ายสนับสนุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ซึ่งว่ากันว่าจัดตั้งขึ้นโดยคนของ กฟผ. โดยได้ลงนามร่วมลงนามกันเมื่อวันที่ 28 มี.ค.2561 ก็ยังระบุว่า
ยินดีให้มีการจัดทำการศึกษาการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) สำหรับพื้นที่จัดตั้ง “โรงไฟฟ้าถ่านหินในภาคใต้” โดยมีคณะกรรมการที่ “เป็นกลาง” และมีกระบวนการทำงานตามหลักสากลที่ “เป็นกลาง”
ทีสำคัญมีการระบุไว้แบบตอกย้ำด้วยว่า การทำ SEA จะต้องให้ความสำคัญไปที่ “โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา” เนื่องจากถูกพิจารณาให้เป็นพื้นที่โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าตามแผนพัฒนาการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) มาตั้งแต่ต้นตามนโยบายของรัฐบาล
นับว่าเป็นเรื่องประหลาดมากที่ รมว.พลังงานลงนามในเอ็มโอยูถึง 2 ฉบับในเวลาไล่เลี่ยกัน หรือห่างกันเพียงเดือนเศษๆ แบบที่ “มีข้อความที่ขัดแย้ง” กันชนิดที่ไม่น่าจะไปกันได้เลยทีเดียว!
นั่นคือใน “เอ็มโอยูฉบับสนับสนุนโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา” ฉบับหลังระบุว่า ให้กระทรวงพลังงานนำข้อมูลจากรายงาน EHIA ของโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา และรายงาน EHIA ของท่าเทียบเรือสำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาที่ดำเนินการแล้ว มาเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำ SEA
หากผลการศึกษา SEA ได้ข้อสรุปให้สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาได้ ให้ กฟผ.นำรายงาน EHIA โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาที่มีอยู่แล้ว ยื่นต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และรายงาน EHIA ของท่าเทียบเรือสำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ทั้งนี้
หากผลการศึกษา SEA ไม่เห็นชอบกับการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เทพาให้ กฟผ.พิจารณาพื้นที่อื่นที่เหมาะสมในการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินต่อไป
ในขณะที่ใน “เอ็มโอยูค้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน” ฉบับแรกระบุว่า ให้ กฟผ.ถอนรายงาน EHIA โรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาและกระบี่ออกจาก สผ. และหากผลการศึกษา SEA ระบุว่า เหมาะสมในการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จะต้องจัดทำรายงาน EHIA ใหม่
ทั้งหมดทั้งปวงคือการยืนยันว่า ชื่อโครงการมีการระบุชัดเจนถึง “โรงไฟฟ้าถ่านหินในภาคใต้” และชื่อนี้ถูกใช้มาโดยตลอด อย่างในขั้นตอนการดำเนินการของคณะทำงานต่างๆ ทุกขึ้นตอนได้ระบุไว้แจ้งชัด ในที่นี่ขอยกตัวอย่างเพียงหนังสือเชิญประชุมคณะทำงานครั้งที่ 3 ลงวันที่ 24 ม.ค.2562 ที่ระบุว่า
ตามที่สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ได้มอบหมายให้สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ดำเนิน “โครงการศึกษาการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์สำหรับพื้นที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในภาคใต้” เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และแผนการดำเนินงานภายในระยะเวลา 9 เดือน (23 ม.ค.-22 ต.ค.2562) นั้น ขอเชิญเข้าร่วมประชุมคณะทำงานครั้งที่ 3 เป็นต้น
แต่เมื่อมาถึงขั้นตอนต้องจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นประชาชน มีการตระเวนจัดงานสานเสวนา ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญยิ่งที่ต้องจัดทำขึ้นระหว่างทำการศึกษา SEA โรงฟ้าถ่านหินในภาคใต้กลับทำไมต้อง “บิดเบือน” มีการตัดคำว่า “โรงไฟฟ้าถ่านหิน” ออกไป แต่กลับเลือกใช้ชื่อเพียง “ยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานไฟฟ้าภาคใต้” เท่านั้น
แม้ว่า ศ.ดร.จำลอง โพธิ์บุญ หัวหน้าโครงการจะชี้แจงเรื่อง “เปลี่ยนชื่อ” ไว้ในเวทีสานเสวนาครั้งแรกที่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 23 เม.ย.2562 โดยพยายามย้ำว่า ยังไม่มีการกำหนดว่า จะสร้างโรงไฟฟ้าที่ไหน แต่จัดเพื่อให้ทุกภาคส่วนได้มาหารือและแลกเปลี่ยนกันว่าจะมีด้านไหนบ้าง และเป็นไปได้ในทางเทคโนโลยีด้วย
หัวหน้าโครงการศึกษา SEA กล่าวย้ำว่า ดูภาพใหญ่ก่อน แล้วค่อยไปดูในทางเลือกที่จะพัฒนาพลังงานไฟฟ้าแบบไหนให้เหมาะสมกับพื้นที่ภาคใต้ โดยจะมีข้อมูลทางวิชาการจากนักวิชาการทั้งจากนิด้าและมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา รวมทั้งจากสถาบันต่างๆ ที่มาช่วยกัน เพื่อสะท้อนความต้องการ ความจำเป็น
“สิ่งที่ต้องการเห็นจริงๆ ของภาคใต้ ไม่ได้มีธงว่าจะเป็นอย่างไร ไม่มีจริงๆ อยากให้ทุกคนสบายใจ” ศ.ดร.จำลอง โพธิ์บุญ พูดไว้ในเวทีสานเสวนาอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามในเอกสารประกอบการสานเสวนาก็มี “หลุด” ในเรื่องของ “โรงไฟฟ้าถ่านหิน” ไว้ให้เป็นที่หวั่นเกรงของ “ผู้เข้าร่วมเวทีแบบไม่ได้รับเชิญ” จำนวนมากด้วย เพราะในส่วนของการให้ข้อมูลเป้าหมายของโครงการ กลับระบุชัดเจนว่า
“เพื่อวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ภาคใต้ว่า ควรมีโรงไฟฟ้าถ่านหินหรือไม่ หากมีพื้นที่ใดบ้างที่มีความเหมาะสมในการจัดตั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง รวมทั้งเปรียบเทียบความเหมาะสมกับสถานที่ตั้งโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่และเทพา”
นอกจากนี้ในการจัดงานทั้ง 4 เวทีรอบแรกที่ผ่านมา กลับยังมากมาย “ความไม่ชอบมาพากล” อาทิ ด้านการเชิญผู้เข้าร่วมเวทีสานเสวนา กลับมีการเชิญตัวแทนของเครือข่ายปกป้องสองฝั่งทะเล กระบี่-เทพา ยุติโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งเป็นคู่สัญญาที่ลงนามในเอ็มโอยูร่วมกับ รมว.พลังงานแค่เพียงแค่ “2 คน” เท่านั้น นั่นคือ นายมัธยม ชายเต็ม แกนนำชาวบ้าน อ.เทพา และ นายบรรจง นะแส ที่ปรึกษาสมาคมรักษ์ทะเลไทย
โดยในส่วนของนายบรรจง นะแส กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ตนเองได้รับการประสานทางโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลาให้เข้าร่วมเวทีก่อนหน้าเพียงแค่วันเดียว และยังเป็นไปแบบแทบไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรเลย ผมเพิ่งมาเห็นในข่าวหลังเวทีผ่านไปแล้วว่า ทางผู้จัดใส่ชื่อผมในฐานะผู้ได้รับเชิญเข้าร่วมไว้ด้วย
“แต่ดูท่าทีน่าจะเชิญแบบไม่อยากให้ไป พอบอกว่าผมติดภารกิจอื่นอยู่กรุงเทพฯ สายตอบมาว่าไม่เป็นไรค่ะๆๆๆๆ แบบรัวๆ ฮาๆๆๆๆ แต่ผมก็ติดตามเรื่องนี้และเปิดชมจากที่มีการ Live สดทางเฟซบุ๊กตลอด” นายบรรจงบอกเล่าให้ฟัง
ในทางกลับกันปรากฏมีรายชื่อกลุ่มผู้สนับสนุนให้สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินถูกเชิญแบบระบุไว้ชัดเจนจำนวนมาก ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการเชิญทั้งตัวแทนจากกลุ่มทุนใหญ่ๆ อย่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย(ปตท.) บริษัท TTM โรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย โรงไฟฟ้าไบโอแมสยะลากรีน รวมถึงบรรดานักวิชาการ PDP เข้าร่วมงานแทบจะทุกเวทีด้วย
รวมทั้งเชิญเจ้าหน้าที่ กฟผ. ทั้งฝ่ายมวลชนสัมพันธ์จากสำนักงานใหญ่และจากโรงไฟฟ้าจะนะในพื้นที่เข้าร่วม ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าสนิทชิดเชื้อกับกลุ่มชาวบ้านฝ่ายสนับสนุนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยและหารือกันในเวที แถมกลับออกจากเวทีพร้อมๆ กันด้วย แล้วก็เป็นอย่างนี้ในแทบจะทั้ง 4 เวทีที่จัดไปแล้ว
สิ่งนี้ยันยันได้จาก “ครูขิ้ม” หรือ นายพณวรรธ์ พงศ์ประยูร หรือ ดร.พณวรรธ์ พงศ์ประยูร ในฐานะตัวแทนเครือข่ายคนเทพาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ลงนาม MOU ฉบับสนับสนุนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกับ รวม.พลังงานนั่นเอง รวมถึง นายสนั่น ชายะพันธ์ นายก อบต.ฉาง อ.นาทวี จ.สงขลา อีกหนึ่งแกนนำเครือข่ายคนเทพาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ได้เข้าร่วมเวทีครั้งนั้น
จากเรื่องราวของ “โครงการศึกษาการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) สำหรับพื้นที่จัดตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินในภาคใต้” ดังกล่าวนี้ทำให้นึกไปถึงพุทธพจน์ที่ปรากฏในอิติวุตตกะ พระไตรปิฎกเล่มที่ 25 หน้า 243 ความว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลยังไม่ละธรรมข้อหนึ่งคือ การพูดปด เราย่อมไม่กล่าวว่า มีบาปกรรมอะไรที่บุคคลนั้นทำไม่ได้”
หรือนำมาพูดตามภาษาชาวบ้านก็คือ “คนพูดเท็จ ไม่ทำชั่ว ไม่มี”?!?!
ดังนี้แล้วการทำการศึกษาทางวิชาการที่ต้องการ “ความเป็นกลาง” หากคณะนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลาย “ยินยอม” หรือ “เห็นด้วย” กับการให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง นั่นน่าจะส่อว่ามีปัญหาในเรื่อง “จริยธรรม” หรือไม่?!