xs
xsm
sm
md
lg

จดหมายเปิดผนึกถึง “กรมทรัพย์ฯ” หลังจับ “บังเดีย” บทเรียนการทำงานของกรมฯ กับชุมชน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 
ศูนย์ข่าวภาคใต้ - จดหมายเปิดผนึกถึง “กรมทรัพย์ฯ” กรณีเจ้าหน้าที่บุกจับ “บังเดีย” ประธานกลุ่มประมงพื้นบ้านบ้านน้ำราบ ในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนด้วยการก่อสร้างอาคาร บทเรียนการทำงานของกรมทรัพย์ฯ กับชุมชน

จากเฟซบุ๊กของ นายสมบูรณ์ คำแหง มูลนิธิอันดามัน ในชื่อ “Somboon Khamhang” ได้โพสต์ข้อความเปิดผนึกถึงกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ถึงกรณีเจ้าหน้าที่สนธิกำลังร่วมกับตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองในพื้นที่กว่า 50 นาย เข้าจับกุม นายหลงเฝี๊ยะ บางสัก หรือ “บังเดีย” ในฐานะประธานกลุ่มประมงพื้นบ้านบ้านน้ำราบ อ.กันตัง จ.ตรัง โดยกล่าวหาว่าบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนด้วยการก่อสร้างอาคารในพื้นที่อ่าวกะหยง โดยระบุว่า...

จดหมายเปิดผนึกถึงกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง บทเรียนการทำงานของกรมทรัพยากรทางทะเลฯ กับชุมชน และทางออกต่อเรื่องนี้ที่ควรจะเป็น

หลังการออกมาประกาศคว่ำบาตรการทำงานร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง องค์กรภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของเครือข่ายชมรมชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดตรัง หลังจากหัวหน้าสถานีพัฒนาพื้นที่ป่าชายเลนที่ 40 สนธิกำลังร่วมกับตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองในพื้นที่กว่า 50 นาย เข้าจับกุม นายหลงเฝี๊ยะ บางสัก หรือบังเดีย ในฐานะประธานกลุ่มประมงพื้นบ้านบ้านน้ำราบ อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง โดยกล่าวหาว่าบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนด้วยการก่อสร้างอาคารในพื้นที่อ่าวกะหยง อันเป็นที่ทำการของกลุ่ม

หลังจากการแถลงข่าวได้ 1 วัน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ส่งให้รองอธิบดี และเจ้าหน้าที่ระดับสูงลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่ทันที ซึ่งทำให้พบว่าการก่อสร้างอาคารดังกล่าวเป็นเรื่องของกลุ่ม ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของบังเดีย และอาคารดังกล่าวเป็นการสร้างเพื่อต่อเติมจากอาคารส่วนหนึ่งของศูนย์เรียนรู้ทรัพยากรอันเป็นไปตามแนวทางของศาสตร์พระราชาที่ทรุดโทรมลง ทางกลุ่มจึงไม่ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ ด้วยเพราะเข้าใจว่าได้เคยขออนุญาตการก่อสร้างอาคารนี้ไว้ก่อนแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ตาม ต่อเรื่องนี้ทางกลุ่มก็ได้มีการชี้แจงให้แก่เจ้าหน้าที่ป่าชายเลนรับทราบไว้ก่อนแล้ว หากแต่อาจจะมีความไม่เข้าใจกันกับหัวหน้าสถานีฯ คนปัจจุบัน จึงนำไปสู่การใช้วิธีการเข้าจับกุมดังกล่าว ซึ่งถือเป็นวิธีการที่ชาวบ้านในพื้นที่ไม่สามารถยอมรับได้

การออกมาให้ความสำคัญ เข้ามาแก้ไขปัญหา และข้อเท็จจริงของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ถือเป็นเรื่องน่ายกย่องที่ไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้บานปลายไปมากกว่านี้ และน่าจะเป็นบทเรียนทั้งของกรมฯ และขององค์กรชาวบ้านที่ทำงานร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และอาจจะรวมถึงหน่วยงานรัฐอื่นด้วย เพราะเรื่องนี้มีข้อบกพร่องที่น่าจะนำมาเป็นบทเรียนร่วมกันคือ

1.วิธีการ กระบวนการ และกลไกที่ทำงานร่วมกันในระดับพื้นที่ยังไร้ประสิทธิภาพ ทั้งที่มีกลไกตามกฎหมายอยู่บ้างแล้ว อย่างเช่น คณะกรรมการจังหวัด แต่ก็ไม่ถูกนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์
2.ความไม่เคารพกันในฐานะกัลยาณมิตร ที่ทำงานเพื่อส่วนรวม ทั้งที่ทำงานร่วมกันมานานหลายปี ซึ่งอาจจะเป็นท่าทีส่วนบุคคล หากแต่เรื่องนี้จะเป็นเรื่องปกติ ถ้าบังเดียคือชาวบ้านทั่วไป แต่เขาคือคนที่ทำงาน และสร้างผลงานจนเป็นที่ประจักษ์ต่อคนทั่วไปว่าได้ทำงานส่วนรวมอย่างจริงจัง และตรงไปตรงมา
3.ความชะล่าใจของชาวบ้านเอง ที่คิดว่าการทำความดีเพียงอย่างเดียวน่าจะเพียงพอ จึงไม่ได้สนใจต่อระเบียบกฎหมาย และท่าทีของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
4.นิยามความหมายของคำว่า “เจ้าของทรัพยากร” ระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่รัฐยังมีความรู้สึกที่แตกต่างกัน
5.คดีอาญายอมความไม่ได้ ซึ่งคือชะตากรรมที่บังเดียจะต้องประสบต่อไปตามกระบวนการยุติธรรม หรือจนกว่าจะมีการสั่งไม่ฟ้อง นี่คือสิ่งที่กรมฯ ควรจะต้องระมัดระวังการใช้กฎหมายกับประชาชน

เรื่องนี้คงไม่จบแค่การลงดูพื้นที่ของรองอธิบดีกรมทรัพย์ฯ แล้วออกมาบอกว่าเคลียร์จบแล้ว แต่น่าจะเป็นโอกาสที่กรมฯ จะได้ทบทวนวิธีการทำงานของตนเอง ในขณะเดียวกัน เครือข่ายองค์กรชุมชนที่ทำงานร่วมกับกรมฯ หรือกับหน่วยงานราชการอื่นๆ ก็น่าจะได้นำบทเรียนดังกล่าวนี้ไปสรุปร่วมกัน เพื่อปรับท่าทีการทำงานเป็นอาสาสมัครในการปกป้องทรัพยากรชุมชนท้องถิ่นตัวเองด้วยเช่นกัน และถ้าหากทำได้คนทั้งสองกลุ่มนี้จะต้องมีการตั้งโต๊ะหารืออย่างจริงจัง เพื่อค้นหารูปแบบวิธีการทำงานที่ดีกว่า และสอดคล้องต่อสภาพข้อเท็จจริงของการทำงานในพื้นที่ บนพื้นฐานของกระบวนการมีส่วนร่วมของหลายภาคส่วนอย่างแท้จริง

นี่คือข้อเสนอที่ตั้งอยู่บนฐานเจตนาอันบริสุทธิ์ ซึ่งเสนอไว้ให้ท่านทั้งหลายได้เปิดใจรับฟัง และนำสู่การแก้ไขอย่างจริงจังครับ

เรื่องนี้จึงยังไม่จบ ด้วยเพราะกรมฯ ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องคดีความของบังเดียว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป และเชื่อว่าน่าจะอยู่นอกเหนืออำนาจของกรมฯ ไปแล้วในตอนนี้ หากแต่นั่นก็แค่ส่วนหนึ่ง เพราะเรื่องนี้จะยังไม่จบ ถ้ากรมฯ ยังไม่ยอมรับ และปรับท่าทีการทำงานเสียใหม่ ดังข้อเสนอที่ได้เกริ่นไว้เบื้องต้นบ้างแล้ว
 



กำลังโหลดความคิดเห็น