คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ / โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
“รอมฎอน” หรือเดือนแห่งการถือศีลอดของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม เป็นเดือนแห่งความ “ประเสริฐ” และ “ศักดิ์สิทธิ์” เป็นห้วงเวลาที่มุสลิมต้องปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีงาม
แต่สำหรับในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในห้วงเวลา 15 ปีที่มีเหตุแห่งความรุนแรงและความไม่สงบระลอกใหม่ โดยมีเงื่อนไขหลักเพื่อการแบ่งแยกดินแดน นำโดย “ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ” ช่วงรอมฎอนของทุกปีได้กลายเป็นเดือนที่มีการก่อเหตุร้ายเพิ่มมากกว่าทุกๆ เดือนในรอบปี
เหตุแห่งความรุนแรงเป็นผลมาจาก “อุซตาส” หรือ “ครูสอนศาสนา” ที่เป็นคนในขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ที่ได้ “บ่มเพาะ” ให้เยาวชนและผู้ติดอาวุธในขบวนการเชื่อว่า การก่อเหตุด้วยความรุนแรง การเข่นฆ่าปรปักษ์ ไม่ว่าเป็น “พุทธ” หรือ “มุสลิม” ผู้ปฏิบัติการจะได้บุญมากกว่าเดือนปกติถึง 10 เท่า
ดังนั้น นับตั้งปี 2547 เป็นต้นมาที่ไฟใต้ระลอกใหม่เริ่มปะทุ ในทุกปีของเดือนรอมฎอนพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา จึงกลายเป็นเดือนแห่ง “แผ่นดินเดือด” เพราะต้องมีทั้งคนตายและคนเจ็บจากการก่อเหตุของ “โจรใต้” หรือ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเป็นจำนวนมาก
ปีนี้ก็หนีไม่พ้น “วงจรอุบาทว์” เดิมๆ ที่เกิดจากการบ่มเพาะของอุซตาสให้กลุ่มติดอาวุธของบีอาร์เอ็นฯ ปฏิบัติการด้วยความรุนแรงนับตั้งแต่ก่อนเข้าสู่เดือนรอมฎอน 1 สัปดาห์ ซี่งก็มีเหตุความรุนแรงปรากฏโดยมีทั้งทหาร ตำรวจ กองกำลังท้องถิ่นและพลเรือน และทั้งพุทธและมุสลิมกลายเป็นเหยื่อสถานการณ์ไปแล้วจำนวนหนึ่ง และกว่าจะผ่านพ้นเดือนรอมฎอนก็ยังตอบไม่ได้ว่าสถานการณ์ของ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะเกิดอะไรขึ้นตามมาอีก
ทั้งนี้ ในการป้องกันเหตุนั้นก็คงจะเหมือนๆ กับช่วงเดือนรอมฎอนของทุกๆ ปีที่ผ่านมาที่ “แม่ทัพภาค 4” หรือ “ผอ.กอ.รมน.ภาค 4” ทุกท่านได้ทำมาแล้ว นั่นคือ การสั่งการให้กำลังพลในพื้นที่ปฏิบัติการต่อ “เป้าหมาย” ที่เป็นโจรใต้หรือแนวร่วมขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ด้วยความเข้มข้น อีกทั้งให้การดูแลความปลอดภัยแก่ประชาชนที่เป็นเป้าหมายอ่อนแออย่างเต็มความสามารถ
ต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี้ที่ต้องขอบอกตรงไปตรงมาว่า ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา คำสั่งหรือนโยบายในเรื่องนี้แค่เป็นเรื่องที่ “ดูดี” เท่านั้น แต่โดยข้อเท็จจริงยังไม่เคยมี “แม่ทัพ” หรือ “นายกอง” คนไหนที่สามารถ “หยุดความรุนแรง” ในห้วงของเดือนรอมฎอนได้อย่างสัมฤทธิผล
แต่เดือนรอมฎอนปีนี้อาจจะมีปรากฏการณ์ใหม่เกิดขึ้นก็ได้ เนื่องจาก “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ได้จัดตั้ง “ชป.จรยุทธ์” ซึ่งเปรียบเหมือนชุดปฏิบัติการพิเศษที่มีภารกิจในการ “หาข่าว” ที่ตั้งของฝ่ายตรงข้าม และเข้าปิดล้อม ตรวจค้น จับกุม รวมถึง “วิสามัญ” โจรใต้หรือแนวร่วมที่ซ่องสุมกำลังพลเพื่อปฏิบัติการต่อเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนในพื้นที่
ที่ผ่านมา ชป.จรยุทธ์ในพื้นที่ จ.ปัตตานี ก็ได้แสดงความสามารถในการปิดล้อม ตรวจค้น จับเป็นและจับตายแนวร่วมหรือกำลังพลของบีอาร์เอ็นฯ ไปได้หลายราย รวมทั้งสามารถทำลายแหล่งหลบซ่อนของแนวร่วมในพื้นที่เชิงเขาอย่างได้ผล
แต่อย่างไรก็ดี ทุกครั้งที่โจรใต้สูญเสีย สิ่งที่จะติดตามมาคือการ “เอาคืน” ต่อเจ้าหน้าที่รัฐ และหากทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐไม่สำเร็จก็อาจจะเบนเป้าไปเป็น “ไทยพุทธ” ที่เป็นเป้าหมายอ่อนแอ ซึ่งถ้าติดตามความเคลื่อนไหว จะพบว่า นี่เป็นวิธีการของแนวร่วมที่ใช้ในการ “ตอบโต้” เจ้าหน้าที่รัฐมาโดยตลอดแบบไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เช่นล่าสุดเมื่อเจ้าหน้าที่วิสามัญแนวร่วมระดับปฏิบัติการที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ก็มีการเอาคืนทันทีด้วยการ “ยิงบ้าน ผรส.” ที่ ต.ท่าม่วง อ.เทพา จ.สงขลา เพื่อล่อให้ ตชด.เข้าพื้นที่แล้ววางระเบิดรถยนต์หุ้มเกราะซ้ำ จนทำให้ ตชด.บาดเจ็บไปทั้งคันรถ
นั่นแสดงให้เห็นว่าวิธีการของโจรใต้หรือแนวร่วมตลอด 15 ปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรเปลี่ยน เช่นเดียวกับการบ่มเพาะสมาชิกในขบวนการด้วยการบิดเบือนหลักศาสนาให้เชื่อว่า การฆ่าฝ่ายตรงข้ามในเดือนรอมฎอนจะได้บุญ 10 เท่า
ที่สำคัญคือ “คำสั่งบิดเบือนหลักการศาสนา” ยังใช้ได้ผลมาอย่างต่อเนื่อง เพราะยังมีคนรุ่นต่อรุ่นที่ถูกนำเข้าขบวนการ แล้วถูกปลูกฝังความเชื่อและปฏิบัติตามคำสอนบิดเบือนนั้น โดยฝีมือของครูสอนศาสนาทั้งที่เรียกกันว่า “บาบอ” หรือ “โต๊ะครู” รวมทั้ง “อุซตาส” ที่อยู่ในขบวนการบีอาร์เอ็นฯ
เมื่อยุทธวิธีที่ใช้อยู่ยังได้ผลดี บีอาร์เอ็นฯ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแผน เพราะวิธีการสร้าง “เซลล์ใหม่” ยังมีประสิทธิภาพ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงหรือโฆษณาชวนเชื่อ เมื่อทำแล้วยังได้ผล นั่นย่อมไม่จำเป็นที่จะต้อง เปลี่ยนแปลงมิใช่หรือ
“เรา” อันหมายถึงหน่วยงานความมั่นคง โดยเฉพาะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต่างหากที่ต้องหันมาทบทวนวิธีการในการต่อสู้กับขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ว่าทำไม 15 ปีแล้ว เรายังไม่สามารถที่จะ “ทำลายคำสอนบิดเบือนหลักศาสนา” นี้ได้ผล ทำไมการบ่มเพาะให้แนวร่วมเชื่อมั่นและเข้าใจผิดว่า “การฆ่าคน” ในเดือนรอมฎอนยังเป็นสิ่ง “ดีงาม” ทำแล้วได้บุญถึง 10 เท่า
“เรา” อันหมายถึงหน่วยงานความมั่นคง โดยเฉพาะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ผ่านมาได้ทุ่มเท “งบประมาณ” มาแล้วจำนวนมหาศาลให้แก่ผู้นำศาสนาในพื้นที่ ทั้งในรูปแบบการให้ตรงแก่ตัวบุคคล และให้แก่หมู่คณะ เพื่อให้ช่วยเหลือหน่วยงานความมั่นคงในการสร้างความเข้าใจในเรื่อง “การฆ่าคนในเดือนรอมฎอน” แล้วได้บุญ 10 เท่าว่าเป็นเรื่องไม่จริง เป็นการหลอกลวง เป็นการที่ผู้นำศาสนาของบีอาร์เอ็นฯ บิดเบือนหลักศาสนาเพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้แก่แนวร่วมหรือสมาชิกของขบวนการ
ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่คนร้ายที่ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญเพราะต่อสู้ ไม่ยอมให้จับกุมและไม่ยอมมอบตัว ทำไมเราปล่อยให้คนในครอบครัวคนร้ายได้ปฏิบัติต่อศพเยี่ยง “นักรบผู้พลีชีพ” เหมือนกับผ่านสนามรบอันเป็น “สงครามศาสนา” อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งนี่เป็นการปลูกฝังทัศนคติที่เป็นภัยต่อประเทศชาติและประชาชน ที่สำคัญไม่เป็นผลดีต่อการดับไฟใต้ด้วย
แค่ 2 ประเด็นที่ยกตัวอย่างให้เห็นนี้ เพื่อที่จะถามว่าระยะเวลา 15 ปียังไม่ถือว่ามากพอหรือไร แล้วประเด็นอื่นๆ ที่เป็นเรื่องใหญ่กว่านี้อีกพะเรอเกวียน ซึ่งวนเวียนเกิดขึ้นบนแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้ นั่นไม่ต้องใช้เวลานานถึง “ชาติหน้า” หรือชาติไหนๆ จึงจะทำได้แล้วเสร็จเล่า
ยังมีประเด็นที่ตั้งเป็นข้อสังเกตกับสถานการณ์ความรุนแรงในเดือนรอมฎอนอีกคือ การที่แนวร่วมใช้แผนก่อกวนด้วยการ “ยิงถล่มบ้านเรือนไทยพุทธ” ในหลายพื้นที่แบบไม่หวังผล หรือเพียงแค่เจ็บก็ได้ ตายก็ดี หรือนี่อาจจะต้องการให้เจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะชุด ชป.จรยุทธ์เข้าไปปิดล้อม ตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องสงสัยในห้วงของเดือนรอมฎอนแบบชนิดที่ยิ่งมากเท่าไหร่ ยิ่งดี เพื่อที่บีอาร์เอ็นฯ จะได้นำไป “ขยายผล” ในช่องทางไอโอและการโฆษณาชวนเชื่อใส่ร้ายเจ้าหน้าที่รัฐว่า เป็นการทำลายความสงบสุขพี่น้องมุสลิมในเดือนรอมฎอน
อย่างไรก็ตาม เห็นด้วยว่าในยามที่ไม่มีความหวังอะไรจากการ “พูดคุยสันติสุข” กับบีอาร์เอ็นฯ ที่ประเทศมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก การแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยให้มีชุด “ปช.จรยุทธ์” เป็นหัวหอกในการลิดรอนเสี้ยนหนามของแผ่นดิน เรื่องนี้ยังจำเป็นที่จะต้องทำ
เพียงแต่ต้องปฏิบัติการด้วยความระมัดระวัง ที่สำคัญต้องไม่กลายเป็นการเดินไปสู่ “กับดัก” ของบีอาร์เอ็นฯ ที่นำไปขยายผลขยายมวลชนให้เป็นปรปักษ์ต่อรัฐไทยมากขึ้น และต้องไม่ลืมที่จะต้องรักษาชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยพุทธในพื้นที่ อะไรก็ตามถ้าทำแล้ว “ได้ไม่คุ้มเสีย” นั่นก็ไม่สมควรที่จะทำ
มาตรการ IO ของฝ่ายความมั่นคง หรือการประชาสัมพันธ์ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ถูกจัดว่าทำได้ “เจ๋งมาก” โดยเฉพาะในการแถลงข่าวที่ผ่านมา แต่นั่นก็ยังเข้าไม่ถึงมวลชนเป้าหมาย
ขณะที่มาตรการ IO ของบีอาร์เอ็นฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “เท็จ” หรือ “หลอกลวง” เช่นไร พี่น้องมุสลิมทั้งในและนอกพื้นที่กลับยังให้การเชื่อถือมาตลอด
ตรงนี้ต่างหากที่ต้องนำไป “ขบคิด” เพื่อหาทางแก้ไขปัญหากัน เพราะนี่คือ “เรื่องจริง” ที่เกิดขึ้นมานานนม ซึ่งไม่ได้ต้องการเขียนขึ้นเพื่อให้เครดิตโจรแต่อย่างใด