xs
xsm
sm
md
lg

“ประสาท มีแต้ม” โพสต์รำลึกถึง “อาจารย์นิธิ” ก่อนจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ 12 พ.ค.นี้

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 
ศูนย์ข่าวภาคใต้ - “ประสาท มีแต้ม” โพสต์เฟซบุ๊กรำลึกถึง “อาจารย์นิธิ ฤทธิพรพันธุ์” ผู้ได้รับรางวัลระดับนานาชาติจากเมืองมินามาตะ ประเทศญี่ปุ่น ก่อนจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ ในวันอาทิตย์ที่ 12 พ.ค.นี้

จากหน้าเพจเฟซบุ๊กของ “ประสาท มีแต้ม” ได้โพสต์เรื่องราวรำลึกถึง “ผศ.นิธิ ฤทธิพรพันธุ์” ผู้ปฏิบัติหน้าที่อาจารย์ใหญ่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ ในวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม 2562 ณ วัดคลองเรียน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยระบุว่า...

ผมเชื่อว่าท่านที่ถือหนังสือเล่มนี้อยู่ในมือคงจะรู้จัก มีความคุ้นเคย รัก นับถือ และเคารพต่อ ผู้ช่วยศาสตราจารย์นิธิ ฤทธิพรพันธุ์ หรือ “อาจารย์นิธิ” กันดีพอสมควร ตามแต่สถานะของแต่ละคน

ผมเองได้รู้จักท่านตั้งแต่ปี 2515 ในสถานะที่ผมเป็นนักศึกษา ท่านเป็นอาจารย์ เมื่อผมเป็นอาจารย์จึงได้มีโอกาสสนิทชิดเชื้อกันเหมือนญาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ “พี่วรณ์” ภรรยาของท่าน

อาจารย์นิธินอกจากจะเป็นคนที่เรียบง่ายในการดำเนินชีวิตแบบชาวบ้านๆ แล้ว ท่านยังเป็นคนที่มีความคิดก้าวหน้า และลงมือปฏิบัติจริงด้วยตนเองอย่างกล้าหาญต่อสายตาของผู้อื่น ที่เห็นได้ชัดเจน เช่น (1) อาจารย์นิธิเป็นคนแรก (และคนเดียวอยู่นานหลายปี) ของวิทยาเขตหาดใหญ่ ที่ออกกำลังกายโดยการวิ่ง (2) อาจารย์เป็นคนแรกๆ ที่ชวนนักศึก และเพื่อนอาจารย์ลงชุมชนเพื่อเรียนรู้ปัญหาของชาวบ้านชนบท ทั้งในรูปของงานวิจัย และงานพัฒนา เช่น การสำรวจชุมชนทะเลน้อย อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ใครอยากรู้เรื่องนี้คงต้องถามคุณบรรจง นะแส และคุณถาวร ศิริพันธ์ (ปี 2525) และ (3) การมอบร่างที่ไร้วิญญาณของตนเองให้เป็นอาจารย์ใหญ่เพื่อประโยชน์ของในการศึกษาของมนุษยชาติ
 

 
ผมเองไม่ค่อยได้ลงชุมชนร่วมกับอาจารย์นิธิมากนัก แต่ในเรื่องกิจกรรมในวิทยาเขตเราได้คุยกันบ่อยๆ อาจารย์นิธิซึ่งมีอายุมากกว่าผม 7 ปี ได้ให้ข้อคิดที่ดี และมีคุณค่าอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเน้นความสำคัญของคนในการทำงานพัฒนา ท่านบอกว่า “การทำงานด้านสิ่งแวดล้อมต้องมีเพื่อนเยอะๆ” ซึ่งหากพิจารณาด้วยภาษาสมัยใหม่ ก็คือการให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายนั่นเอง

ข้อความในเครื่องหมายคำพูดในภาพข้างต้นคือแนวคิด ความเชื่อ และวิธีการทำงาน ซึ่งท่านอาจารย์ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง (ซึ่งผมไม่ทราบว่าเป็นฉบับใด) หลังจากได้รับรางวัล “Minamata Prize for the Environment” ซึ่งเป็นรางวัลระดับนานาชาติที่เทศบาลเมืองมินามาตะ เป็นผู้จัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2535 โดยที่เป็นปีแรกของการมอบรางวัล

วัตถุประสงค์ของรางวัลดังกล่าวก็เพื่อ “เป็นการยกย่องกลุ่มหรือบุคคลที่ได้ประสบผลสำเร็จในกิจกรรม หรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” ในการมอบรางวัลครั้งนั้นมี 15 กลุ่ม และ 3 ปัจเจกบุคคลที่ได้รับรางวัล ในจำนวนนี้เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าชายเลนในอินโดนีเซีย เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ผลงานวิจัยที่อาจารย์นิธิได้รับรางวัล ชื่อ “Social Forestry and Community Development in Thailand” โดยได้รับทุนจาก United Nations for Regional Development ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่นกับองค์การสหประชาชาติ เป็นการศึกษาชุมชนใน 7 ชุมชน ในอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง เมื่อปี 2533

ผมพยายามสืบค้นถึงแนวคิดของผู้ให้รางวัลนี้ ก็พบเอกสารยาว 9 หน้าที่ชื่อว่า “Case Study Vol.5-Minamata City” (ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้เกือบสุดของประเทศญี่ปุ่น มีประชากร 3.2 หมื่นคน) ทำให้ทราบว่า ผู้บริหารของเมืองนี้ได้เปลี่ยนนโยบายใหม่ จากเดิมที่เคยนำไปสู่ผลกระทบที่ทำให้ชาวบ้านจำนวนมากเป็นโรคทางระบบประสาท ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกว่า “โรคมินามาตะ” (ปี 1956-เกิดจากสารปรอทรั่วจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในอ่าว) ไปสู่เป้าหมายใหม่ที่ “มุ่งสร้างเมือง วัฒนธรรม และอุตสาหกรรม ซึ่งให้คุณค่ากับสิ่งแวดล้อม สุขภาพและสวัสดิการ”

“โรคมินามาตะ ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสุขภาพในระดับที่เกินจะจินตนาการได้ และเป็นการทำลายธรรมชาติแล้ว ยังเป็นการทำลายชุมชนท้องถิ่นอีกด้วย”
 

 
ในปี 1990 ทางเมืองมินามาตะ และจังหวัดได้เปิดโครงการ “Environmental Creation and Development Project” โดยจัดให้มีการเสวนาอย่างเข้มข้น ระหว่างผู้ตกเป็นเหยื่อ และพลเมือง และโรงงานที่ปล่อยมลพิษ แม้การอภิปรายถกเถียงในเบื้องต้นจะเต็มไปด้วยความสับสนและลังเล แต่ก็เป็นการเติมพลังใหม่ให้กับชุมชนท้องถิ่น “สุดท้ายแล้วความเข้าใจร่วมกัน และการสนทนาจึงกลายเป็นกิจกรรมร่วมกันของชุมชน”

นายกเทศมนตรีท่านหนึ่ง กล่าวว่า “ผมเชื่อว่าภาพลักษณ์ในอนาคตของเมืองมินามาตะ จะต้องเป็นเมืองที่ได้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในทุกๆ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของพลเมือง และกิจกรรมด้านอุตสาหกรรม แนวคิดดังกล่าวจะต้องไม่ใช่เป็นของผู้บริหารเมืองเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่ต้องอยู่ในทัศนะของพลเมืองมินามาตะด้วย”

ผมเข้าใจว่า แนวคิดที่เมืองมินามิตะกำลัง “ล้างบาป” ถึงขั้นที่นายกเทศมนตรี ต้องขอโทษอย่างเป็นทางการต่อพลเมืองกับสิ่งที่อาจารย์นิธิสอน และลงมือทำให้เราดูนั้นจึงเป็นสิ่งเดียวกัน

นับถึงวันนี้ ประเทศไทยของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคใต้ กำลังมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนเป็นเมืองอุตสาหกรรมแบบสกปรกที่คนจำนวนน้อยได้ประโยชน์ในหลายจังหวัด ด้วยเหตุนี้ ผมจึงได้กล่าวตั้งแต่ตอนเริ่มต้นแล้วว่า อาจารย์นิธิเป็นคนทันสมัย มีความคิดก้าวหน้า เพื่อชาวบ้าน โดยการเริ่มต้นที่ชาวบ้านในชุมชน ดังนั้น ความคิดของอาจารย์นิธิ จึงต้องมีการสานต่อและขยายผล และเน้นการสร้างเครือข่ายครับ
 



กำลังโหลดความคิดเห็น