xs
xsm
sm
md
lg

“พาไทยพุทธกลับบ้าน” ฟังดูดี! แต่ทำไมหลายพื้นที่เป็น “แผ่นดินอิสลามพิสุทธิ์” ไปแล้ว?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้  /  โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
  
แฟ้มภาพ
 
การสาดน้ำเพื่อเล่นสงกรานต์ผ่านไปแล้ว ท่ามกลางความร้อนของอากาศของปี 2562 ที่ระอุอบอ้าวยิ่งกว่าปีก่อนๆ มากนัก นั่นคือ อุณหภูมิจากดินฟ้าอากาศที่มีผลกระทบต่ิคนทั่วประเทศ
 
แต่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังจากหมดหน้าสาดน้ำสงกรานต์ก็เปิดฉาก “สาดกระสุนปืน” และ “เศษเหล็กจากแรงระเบิด” ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับ “โจรใต้” หรือ “แนวร่วม” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน “บีอาร์เอ็นฯ” อันยิ่งทำให้เพิ่มความร้อนแรงจากดินฟ้าอากาศมากมายแบบทบเท่าทวีคูณ 
 
ในการสาดกระสุนใส่กันก็ไม่ผิดแผกกับสาดน้ำใส่กัน นั่นคือ เปียกปอนกันไปทั้ง 2 ฝ่าย เพียงแต่ฝ่ายไหนจะเปียกมากกว่ากันหรือเปียกน้อยกว่ากันเท่านั้น
 
ฝ่ายรัฐมีเจ้าหน้าที่ทหารพราน “พลีชีพ” เพื่อปกป้องแผ่นดิน ซึ่งได้เป็น “วีรบุรุษ” หลังจากหมดลมหายไปใจแล้วทุกสัปดาห์ หรือบางครั้งอาจจะสัปดาห์ละหลายๆ ชีวิตตามแต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าฝ่ายโจรใต้เป็นฝ่าย “ลอบกัด” ฝ่ายสูญเสียย่อมเป็น “เจ้าหน้าที่รัฐ” อย่างแน่นอน
 
ในขณะเดียวกัน ถ้าฝ่ายเจ้าหน้าที่เป็นฝ่าย “รุก” ก่อนเพื่อปิดล้อมและตรวจค้นเป้าหมายที่เป็นแหล่ง “ซ่องสุม” แหล่ง “หลบซ่อน” ของบรรดาโจรใต้หรือแนวร่วมขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ฝ่ายโจรก็จะเป็นผู้สูญเสียทั้งจากการ “จับเป็น” และ “จับตาย” นั่นเอง
 
โดยโจรที่ถูก “วิสามัญฆาตรกรรม” ก็จะถูกนำศพไปประกอบพิธีทางศาสนาเยี่ยง “วีรบุรุษ” ของโจรเช่นกัน ไม่มีอาบน้ำศพเหมือนกับศพของคนตายทั่วๆ ไป แต่มีการแห่ศพพร้อมตะโกนด้วยคำพูดที่สื่อภาษาให้รับรู้ว่า ผู้ตายคือ “นักรบของพระเจ้า” ซึ่งตลอดเวลาที่มีการจับตายเกิดขึ้น คนตายต่างถูกยกย่องจากคนในชุมชนเช่นนี้มาโดยตลอด
 
ถือเป็นเรื่องที่แปลกที่ผู้นำศาสนา ฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง และหน่วยงานอื่นๆ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบและสร้างความเข้าใจต่อประชาชนในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น กลับไม่เคยเข้าไปเพื่อสร้างความเข้าใจกับญาติพี่น้องของผู้ตายและคนในชุมชนถึงสาเหตุของการจับตาย
 
ที่สำคัญไม่เคยไปทำความเข้าใจว่าพฤติกรรมของผู้เสียชีวิตเหล่านั้นเป็น “คนร้าย” หรือ “อาชญากร” เป็น “มือฆ่าคน” หรือ “มือวางระเบิด” ที่สำคัญยิ่งคือเป็นสมาชิกขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งผิดกฎหมายในข้อหา “อั้งยี่ ซ่องโจร”
 
การสาดกระสุนเข้าใส่กัน ถ้าฝ่ายที่เสียชีวิตหรือถูกจับกุมเป็นโจรหรือแนวร่วมขบวนการบีอาร์เอ็นฯ คนในพื้นที่โดยเฉพาะ “ไทยพุทธ” ส่วนหนึ่งก็จะแสดงออกถึงความสะใจ ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งกลับรู้สึกเป็นกังวลกับความตายของโจร เพราะซึมซับมานานแล้วว่าถ้าโจรถูกจับตายมากเท่าไหร่ “ผู้บริสุทธิ์” ที่เป็น “เป้าหมายอ่อนแอ” จะต้องกลายเป็นเหยื่อของสถานการณ์มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
 
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า คนไทยพุทธยังคงตกเป็นเหยื่อความแค้นของโจรใต้ มีการกราดยิงใส่บ้านเรือนประชาชนไทยพุทธ 2 ครั้งใน 2 อำเภอของ จ.ปัตตานี แม้จะไม่มีใครเสียชีวิต แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่า คนไทยพุทธยังไม่มีความปลอดภัย และพร้อมที่จะกลายเป็นเหยื่อ หรือเป็นที่ระบายแค้นของโจรใต้ตลอด 24 ชั่วโมง
 
แฟ้มภาพ
 
เห็นด้วยนะกับการที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มีการจัด “หน่วยจรยุทธ์” เพื่อทำหน้าที่กดดันและควบคุมพื้นที่เป้าหมายสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมา สามารถจับตายโจรใต้ที่หลบซ่อนในชุมชนได้จำนวนหลายราย รวมทั้งมีการปะทะในพื้นที่เชิงเขาและเทือกเขาต่างๆ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่มีประสิทธิภาพ สามารถเข้าถึงแหล่งหลบซ่อน แหล่งพักพิง ซึ่งเป็นการสร้างผลงานที่ก่อความมั่นใจให้แก่คนในพื้นที่ได้มากขึ้น
 
เมื่อ “การพูดคุย” ด้วย “สันติวิธี” ทั้งกับกลุ่มติดอาวุธในพื้นที่ รวมถึงกับแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ที่ฝังตัวอยู่ในประเทศมาเลเซียยังไม่ได้ผล นั่นจึงจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีการปิดล้อม ตรวจค้น จับกุมและจับตายกับเหล่าโจรใต้ที่ต่อสู้ขัดขวางการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ
 
เมื่อการ “สาดอาวุธ” เข้าหากันย่อมสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย แต่ฝ่ายขบวนการดูจะเสียเปรียบกว่า เพราะมีจำนวนคนที่ไม่มาก เมื่อสูญเสียบ่อยๆ ย่อมจะสะเทือนถึงการปฏิบัติการ ยิ่งหากผู้ที่ถูกจับเป็นและจับตายเป็นระดับ “หัวหน้าปฏิบัติการ” ยิ่งจะมีผลกระทบมากขึ้นไปอีก เพราะการที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนจะสร้างคนระดับนี้ขึ้นมาได้ต้องใช้เวลา เมื่อบีอาร์เอ็นฯ สร้างคนมาทดแทนไม่ทัน สถานการณ์ไฟใต้ย่อมจะลดความรุนแรงลงแน่นอน
 
บีอาร์เอ็นฯ เองวันนี้มี “จุดอ่อน” มากมายถ้าจะนำมาวิเคราะห์กันอย่างจริงจัง เพราะแม้แต่ในระดับ “ผู้นำ” ที่สั่งการอยู่ในประเทศมาเลเซียก็ยังปรากฏจุดอ่อนให้เห็น นั่นคือเวลานี้ขาด “ผู้นำจิตวิญญาณ” ที่สั่งการแล้วทุกฝ่ายต้องเชื่อแบบไม่ต้องมีการ “ฟัตวา”
 
เนื่องเพราะหลังการสูญเสีย “สะแปอิง บาซอ” ซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณตัวจริง วันนี้ “ดุลเลาะ แวมะนอ” ผู้นำคนใหม่ของบีอาร์เอ็นฯ แม้จะมีความเข้มแข็งในด้านการทหาร แต่ยังไม่มีบารมีพอที่จะเป็นผู้นำจิตวิญญาณที่แท้จริง บ่อยครั้งที่คำสั่งของเขาไม่ได้รับการยอมรับในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จนต้องมีการ “ทบทวน” กันมาแล้ว
 
ประเด็นสำคัญที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เองก็ต้องทบทวนด้วยคือ “การพูดคุยในพื้นที่” เป็นเพียงทำความเข้าใจกับมวลชนเท่านั้น แต่ยังไม่มีผลใดๆ กับโจรใต้หรือกองกำลังติดอาวุธ เรื่องนี้สังเกตได้จากโจรใต้หรือแนวร่วมส่วนใหญ่ยังใช้วิธีการสู้ตายกับเจ้าหน้าที่ และแม้จะมีการยอมจำนนบ้าง แต่ก็เป็นการจำยอมแบบ “ไม่ยินยอมพร้อมใจ”
 
แกนนำและกองกำลังปฏิบัติการในพื้นที่ของบีอาร์เอ็นฯ เองยังไม่มีแนวคิดในการที่จะ “ยุติการก่อการร้าย” ด้วยการติดต่อเพื่อ “ขอมอบตัว” แต่กลับยังเชื่อฟังคำสั่งของขบวนการ ยังมีการปลูกฝังและปลุกระดมคนเข้าสู่ขบวนการเพิ่มขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นนั่นคือ “คนเก่า” ตายหรือถูกจับกุม แต่ก็มี “คนใหม่” ที่เป็น “เซลล์รุ่นใหม่” เกิดขึ้นตลอดเวลา
 
สิ่งที่ต้องกังวลให้มากคือ “สงคราม” ที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับขบวนการแบ่งแยกดินแดน ไม่ใช่แค่ปัญหาอาชญากรรมทั่วไป แต่เป็นความขัดแย้งทาง “การเมือง” และพวกเขาต้องการ “เอกราช” ดังนั้น การตายของโจรใต้หรือแนวร่วมของบีอาร์เอ็นฯ อาจจะนำไปสู่การ “ตาย 1 เกิด 10” ก็เป็นได้
 
เพราะคนตายย่อมมีทั้งพ่อแม่ พี่น้อง ญาติสนิท มิตรสหาย โดยเฉพาะครูสอนศาสนาย่อมมีลูกศิษย์ ซึ่งคนที่ยังอยู่ย่อมต้องมี “ผู้คับแค้นใจ” จากการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั่นก็คือ คนตายที่เป็นคนร้ายหรือเป็นอาชญากร กลับยังถูกยกย่องให้เป็น “วีรบุรุษ” เป็น “นักรบของพระเจ้า” ประเด็นนี้ต้องคิดกันให้มากว่าจะแก้อย่างไร
 
ถ้า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ใช้นโยบายให้หน่วยจรยุทธ์ปฏิบัติการในเชิงรุก ต้องมีการกำหนด “แผน” และต้องมี “ห้วงเวลาปฏิบัติการ” ที่ชัดเจนว่า จะต้องใช้เวลาสักเท่าไหร่จึงจะ “กวาดล้าง” หรือ “กดดัน” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ได้จริง
 
ที่สำคัญต้องมี “แผนคุ้มครอง” ชาวไทยพุทธในห้วงระยะเวลาดังกล่าวด้วย เพราะหากไม่มีการกำหนดห้วงเวลาของการ “สาดกระสุนและระเบิดเข้าใส่กัน” ผู้ที่จะได้รับผลกระทบคือ “ประชาชนผู้บริสุทธิ์” โดยเฉพาะชาวไทยพุทธที่เหลืออยู่ในชายแดนใต้น้อยนิดแล้ว ต่อจากนี้อาจจะต้องค่อยๆ หมดไปก็เป็นได้
 
เนื่องเพราะโครงการ “เติมไทยพุทธในพื้นที่” หรือ “พาไทยพุทธกลับบ้าน” รวมทั้ง “นโยบายพหุวัฒนธรรม” เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ วันนี้ดูดีแต่เพียงชื่อ แต่โดยข้อเท็จจริงหลายพื้นที่กลายเป็นแผ่นดิน “อิสลามพิสุทธิ์” ไปแล้ว
 


กำลังโหลดความคิดเห็น