กระบี่ - กมธ.คมนาคม ดัน จ.กระบี่ ศูนย์กลางโลจิสติกส์ เชื่อมโยงอ่าวไทย อันดามัน ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ พร้อมประกาศให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางมารีนาของอาเซียน
วันนี้ (26 เม.ย.) พล.ท.จเรศักดิ์ อาณุภาพ ประธานคณะกรรมาธิการคมนาคม (กมธ.คมนาคม) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้นำคณะติดตามและดูงาน ตามโครงการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในพื้นที่ภาคใต้ และแนวทางการส่งเสริมประเทศไทย เป็นศูนย์กลางมารีนาของอาเซียน ระหว่างวันที่ 25-27 เมษายน 2562 ที่จังหวัดกระบี่ และภูเก็ต หลังพบว่าแนวโน้มการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและการพัฒนาเมืองในภาคใต้ฝั่งอันดามัน โดยเฉพาะกระบี่ ภูเก็ต พังงา เป็นไปอย่างรวดเร็ว พร้อมเข้าประชุมรับฟังข้อเสนอแนะจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี พ.ต.ท.หม่อมหลวงกิติบดี ประวิตร ผวจ.กระบี่ เข้าร่วม จัดขึ้นที่ห้องประชุมศาลากลาง จ.กระบี่
พล.ท.จเรศักดิ์ กล่าวว่า จังหวัดกระบี่ เป็นจังหวัดที่มีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ตั้งอยู่กึ่งกลางของจังหวัดฝั่งอันดามัน และฝั่งอ่าวไทย และกำลังมีความเจริญเติบโตทุกด้าน โดยปีที่ผ่านมา จ.กระบี่ มีรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 1.2 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปริมาณการเดินทางโดยรถยนต์ เครื่องบิน และเรือ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อพิจารณาแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า หน่วยงานต่างๆ ได้จัดทำแผนการพัฒนาประจำปีงบประมาณในระยะสั้นและระยะยาว แต่ยังคงมีอุปสรรคจากความล่าช้าของโครงการ ข้อจำกัดของงบประมาณ จึงทำให้ขาดความต่อเนื่องของการพัฒนา
สำหรับการพัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ ได้ดำเนินการตามแผนงานในการขยายอาคารผู้โดยสาร และหลุมจอดเครื่องบินขนาดใหญ่ จาก 7 หลุมในปัจจุบัน เพิ่มเป็น 20 หลุมในปี 2565 มีสายการบินใช้บริการอยู่ในขณะนี้ จำนวน 11 สายการบิน และมีผู้โดยสารปีละ 4 ล้านกว่าคน และจะรองรับได้เพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคนในปี 2565 นอกจากนี้ ได้ขยายพื้นที่คาร์โก เพื่อการขนส่งสินค้าแล้วกว่า 1 พันตารางเมตร ช่วยภาคธุรกิจในการลดต้นทุนในการกระจายสินค้าได้มหาศาล โดยสามารถใช้ท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ เป็นจุดรับ และกระจายสินค้าทดแทนการขนส่งไปสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วใช้รถยนต์ รถไฟ และเรือ กระจายสินค้าต่อไปยังประเทศอาเซียน และในประเทศไทยเอง ได้เร็วขึ้น
ปัญหาที่ จ.กระบี่ ยังขาดทางน้ำ ก็คือ ท่าเทียบเรือน้ำลึก ที่สามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ได้ และทางรถไฟ ซึ่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบได้ทำการศึกษาความเป็นไปได้แล้ว โดยเฉพาะการสร้างทางรถไฟที่ยังขาดการเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดสุราษฎร์ธานี มายังจังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ ซึ่งจะทำให้การเชื่อมต่อระหว่างฝั่งทะเลอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามันสะดวกมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ กมธ.คมนาคม ได้ย้ำให้ท่าอากาศยาน นำช่องทางตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (Auto Gate) มาใช้งานเต็มรูปแบบเพื่อบรรเทาปัญหาผู้โดยสารคับคั่ง และประสานงานกับกรมทางหลวง จัดทำแผนการพัฒนาร่วมกัน เช่น การสร้างทางเข้าออกท่าอากาศยาน และออกแบบเส้นทางที่ต่อเนื่องกัน ตอบสนองกับแนวทางการพัฒนาท่าอากาศยานไปในทางเดียวกันทางบก-ราง
พร้อมกันนี้ คณะกรรมาธิการฯ เสนอให้ผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเป็นกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการระหว่างจังหวัด และนำเสนอแนวคิดเชื่อม 2 ฝั่งทะเล เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งอันดามันและอ่าวไทยโดยทางรถไฟและทางน้ำเชื่อม และกรมทางหลวงต้องประสานกับกรมทางหลวงชนบท สร้างทางเชื่อมต่อให้สอดรับกัน ทำให้การเดินทางจากสุราษฎร์ฯ-พังงา-กระบี่-ภูเก็ต เชื่อมต่อได้ทั้งทางถนน ทางราง และทางน้ำ โดยใช้ทางน้ำเป็น Mainline และใช้ถนนเป็น feeder
อีกทั้ง กมธ.คมนาคม ไม่เห็นด้วยกับการสร้างสนามบินที่จังหวัดพังงา แต่การพัฒนาสนามบินที่ภูเก็ต และกระบี่เป็นจุดคุ้มทุนมากกว่า เพราะพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของพังงา ใกล้เคียงกับทั้ง 2 จังหวัดอย่างมาก อีกทั้งมีความเสี่ยงอันตรายในการจัดการจราจรทางอากาศด้วย จึงเห็นว่าจังหวัดกระบี่ มีความเหมาะสมมากที่สุดในการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และมารีนาอาเซียน