นราธิวาส - ศอ.บต.ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดการประชุมผลักดันฟื้นฟูการเดินรถไฟ เส้นทางจากสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส สู่ประเทศมาเลเซีย หวังเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดน และพัฒนาเศรษฐกิจ
วันนี้ (18 เม.ย.) ที่จะบังติกอ โรงแรมซีเอส ปัตตานี พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นประธาน การประชุมฟื้นฟูการเดินรถไฟเส้นทางจากสุไหงโก-ลก-รันเตาปันยัง-ปาเสมัส-ตุมปัต โดยมี Mr.Mohd Afandi bin Abu Bakar กงสุลใหญ่มาเลเซีย ประจำจังหวัดสงขลา, นายมลคล สินสมบูรณ์ กงสุลใหญ่ ณ เมืองโกตาบารู รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ผู้แทนหน่วยงานด้านการรถไฟ ผู้แทนกระทรวงคมนาคมของประเทศมาเลเซีย ผู้แทนการรถไฟแห่งประเทศไทย หัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวว่า ดังที่ทุกคนทราบโดยทั่วกันว่า “ประเทศไทย และประเทศมาเลเซีย” มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นมาอย่างยาวนาน ในทุกมิติความร่วมมือการพัฒนา ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศล้วนไปมาหาสู่กันอย่างญาติมิตรสหาย ครอบครัวเดียวกัน ในขณะที่บทบาทของผู้นำทั้ง 2 ประเทศ ก็มีความใกล้ชิด และเด่นชัดมากที่สุดในปีปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากคำแถลงผลประชุมร่วมกันระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประเทศไทย และตุน ดร.มหาธีร์ บิน โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรี ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับรัฐมนตรีของมาเลเซีย ในโอกาสการเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 24-25 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา
โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะขับเคลื่อนความสัมพันธ์ให้มีพลวัตครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม เพื่อร่วมกันสร้าง “ทศวรรษใหม่แห่งความสัมพันธ์” ให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ในภูมิภาค และระหว่างประเทศที่มีความท้าทายมากขึ้น มุ่งเน้นความสำคัญใน 3 ประเด็น คือการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ และความร่วมมือด้านความมั่นคง การพัฒนาเศรษฐกิจ และความเชื่อมโยงตามแนวชายแดน และความร่วมมือในกรอบอาเซียน ทั้งนี้เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์การพัฒนาของไทย และมาเลเซีย ในฐานะ “ภาคีหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ต่อการบริหารจัดการความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่น และสร้างความเป็นแกนกลางของอาเซียนในการขับเคลื่อนความร่วมมือกับนานาประเทศ ให้มีสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรือง
พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวอีกว่า การประชุมในครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากการผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมในอนุภูมิภาค หลังการประชุมร่วมกันของผู้นำแผนความร่วมมือการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 ฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย ครั้งที่ 23 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา ณ ประเทศอินโดนีเซีย ต่อมาด้วยการประชุมสุดยอดผู้นำแผน IMT-GT ครั้งที่ 11 ณ ประเทศสิงคโปร์ โดยที่ประชุมได้ให้ความสำคัญต่อความร่วมมือระหว่างไทย และมาเลเซีย ประเด็นการจัดลำดับความสำคัญโครงการเชื่อมโยงทางกายภาพในแต่ละแนวระเบียงเศรษฐกิจ ตามมิติการเชื่อมโยงที่เหมาะสม และเพิ่มแนวระเบียงเศรษฐกิจใหม่ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนโครงการเชื่อมโยงทางกายภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ตามข้อเสนอโครงการที่เสนอต่อผู้นำ
พร้อมทั้งคำนึงถึงผลกระทบจากการพัฒนาที่มีดุลยภาพทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคง และโอกาสการเชื่อมโยงกับการพัฒนาของพื้นที่เป้าหมายของรัฐบาล เช่น การเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย กับโครงการพัฒนาเส้นทางรถไฟสายภาคตะวันออก (East Coast Rail Line: ECRL) ของประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีโอกาสเชื่อมโยงการพัฒนาระดับภูมิภาคตามทางสายไหมใหม่ของจีน (Belt and Road Initiative) โดยเปิดแนวระเบียงเศรษฐกิจใหม่ ประกอบด้วย ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส-เประ-กลันตัน เป็นยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงใหม่ หรือที่เรียกว่า “Economic Corridor ที่ 6” และการหารือถึงโอกาสการเชื่อมโยงเขตเสรีทางโทรคมนาคม รองรับการค้าอิเล็กทรอนิกส์ผ่านแดนเชื่อมโยงระดับสากล เป็นต้น
สำหรับการประชุมในวันนี้ เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่หลายฝ่ายล้วนต้องการพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากปัญหา และอุปสรรคบางประการ ทำให้โครงการดังกล่าวติดขัด และไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ส่งผลเสียต่อความร่วมมือของทั้ง 2 ประเทศที่จะร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาไปสู่การเป็น “ศูนย์กลางของอาเซียนที่แท้จริง” ซึ่งเป็นการสูญเสียโอกาสการพัฒนาความร่วมมือที่ผ่านมา ประกอบกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงในพื้นที่ และโลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก เช่น สภาวการณ์การค้าขาย และสภาพเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศที่ดีขึ้นตามลำดับ ดังเช่นอัตราตัวเลขการค้าชายแดนระหว่างประเทศไทย และมาเลเซีย เมื่อปี พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 6 แสนล้านกว่าบาทไทย หากมีการเปิดเส้นทางดังกล่าว จะเป็นการเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดน และการพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวมได้ดีมากยิ่งขึ้นไป
รวมทั้งเป็นการเปิดพื้นที่เส้นทางการท่องเที่ยว และการไปมาหาสู่กันของพี่น้องไทย และมาเลเซียในแถบตะวันออก ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย และทางตะวันออกของประเทศไทยได้จำนวนมหาศาล ที่จะนำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ และเศรษฐกิจที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังหมายรวมไปถึงการผลักดันพื้นที่ร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศ ในการพัฒนาให้เกิดศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาล เพื่อรองรับการขยายตัวของมุสลิมทั่วโลกในปี ค.ศ. 2020 โดยคาดว่าจะมีมากถึง 2.2 พันล้านคน ในโอกาสนี้ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ความร่วมมือในเรื่องหนึ่งจะสามารถขยายผลไปยังความร่วมมืออีกหลายๆ เรื่อง เพื่อมุ่งเป้าหมายการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน การสร้างสภาวะเศรษฐกิจ และสังคมที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนของทั้ง 2 ประเทศสืบไป
อย่างไรก็ตาม ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทย เช่น ศอ.บต. การรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้บริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งในส่วนของราชการ เอกชน และประชาชน พิจารณาแล้วเห็นสมควรนำประเด็นการเปิดบริการเส้นทางรถไฟเดิม จากสถานีสุไหงโก-ลก (จ.นราธิวาส) ถึงสถานีรถไฟปาเสมัส ประเทศมาเลเซีย หยิบยกขึ้นหารือร่วมกันทั้งในระดับจังหวัด การรถไฟของทั้ง 2 ประเทศ และระดับนโยบายของรัฐบาล เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการพัฒนาในอีกหลายมิติ เชื่อมโยงกันในอนาคตตามที่กล่าวถึง ขณะเดียวกันหากความร่วมมือนี้ประสบความสำเร็จ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็พร้อมจะนำข้อมูลสรุปกราบเรียนนายกรัฐมนตรีไทย เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางการรถไฟเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ประเทศไทย กำหนดเส้นทางหาดใหญ่-กัวลาลัมเปอร์ โดยเพิ่มเส้นทางกลันตัน-สุไหงโก-ลก-หาดใหญ่ เชื่อมโยงกันทั้งระบบ ซึ่งจะต้องมีการหารือให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เป็นรูปธรรมโดยเร็ว และจะได้มีการมอบหมายจัดตั้งกลไกความร่วมมือการทำงานร่วมกันในระยะต่อไป