คอลัมน์ : จากนาบอนถึงริมฝั่งเจ้าพระยา
โดย : ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที ผู้ดำเนินรายการสภากาแฟช่อง NEWS1
เส้นทางรถไฟสายใต้เชื่อมต่อจากสถานีรถไฟธนบุรี สุดปลายทางที่สถานีสุไหงโกลก จ.นราธิวาส และสถานีปาดังเบซาร์ จ.สงขลา สร้างเสร็จในปี พ.ศ.2462 เส้นทางรถไฟสายใต้กลายเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญ ตัดผ่านป่าดงดิบ ผ่านที่ดินอันกว้างใหญ่ในภาคใต้เมื่อครั้งอดีต
“ชุมชมริมทางรถไฟ” ตามสถานีรถไฟในภาคใต้จึงเริ่มต้นขึ้น สถานีรถไฟหาดใหญ่ สถานีรถไฟทุ่งสง สถานีรถไฟนาบอน สถานีรถไฟเขาชุมทอง ฯลฯ คือตัวอย่าง
เมื่อการเดินทางคมนาคมทางรถไฟสะดวก การตั้งถิ่นฐานชุมชนริมทางรถไฟสายใต้มีการขยายตัว ภายหลังการสร้างทางรถสายใต้เสร็จเพียง 6 ปี หรือราวปี พ.ศ.2468 “คนจีนโพ้นทะเลฮกจิว” ส่วนใหญ่ก็ทยอยเดินทางจาก Sitiawan รัฐเปรัค ประเทศมาเลเซีย ไปตั้งรกรากกันที่สถานีรถไฟนาบอน อ.นาบอน จ.นครศรีธรรมราช
จากนักบุกเบิกชาวจีนโพ้นทะเลเพียงไม่กี่คนที่เดินทางมาจากชายแดนมาเลเซีย ผ่านสถานีรถไฟหาดใหญ่ มาลงที่สถานีรถไฟชุมชนทางทุ่งสง บ้างก็เดินเท้าประมาณ 10 กิโลเมตร เพื่อเข้าสู่ป่าดงดิบที่ปัจจุบันนี้กลายชุมชนริมทางรถไฟนาบอนไปแล้ว
เบื้องหน้าพวกเขาคือ “ยอดเขาเหมน” ซึ่งคนฮกจิวเป็นชาวจีนที่คุ้นเคยกับการตั้งถิ่นฐานอยู่บนเนินเขาในแผ่นดินใหญ่จีนอยู่แล้ว
เมื่อเริ่มมีคนจีนมาอยู่อาศัยจากราวสัก 4-5 ครอบครัว ไม่นานก็กลายเป็นชุมชนที่มีตลาดเรือนไม้ห้องแถว สำหรับเส้นทางรถไฟสายใต้ ไม้หมอน และการซ่อมบำรุงก็อาศัยไม้จากพื้นที่ใกล้เคียงของชุมชนนาบอน ก่อนที่จะยกระดับเป็นสถานีรถไฟนาบอนในปัจจุบัน ที่นี่เรียกกันว่า “สถานีหลักกิโลที่ 8”
คนฮกจิวบางครอบครัวก็ใช้การเดินทางจากรัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย นั่งเรือมาลงที่ท่าเรือกันตังใน จ.ตรัง แล้วใช้เส้นทางรถไฟจาก อ.กันตัง เพื่อเดินทางมาลงที่สถานีหลักกิโลที่ 8
การตั้งชุมชนเพื่อทำสวนยางในประเทศมาเลเซียที่ Sitiawan รัฐเปรัค เมื่อคนฮกจิวมาอยู่อาศัยกันมากขึ้น คนจีนโพ้นทะเลมีสิทธิการครอบครองที่ดินในยุคอาณานิคมของอังกฤษ จำกัดการถือครองที่ดินไม่เกิน 3 เอเคอร์หรือประมาณ 7.5 ไร่
ฉะนั้นเมื่อเส้นทางรถไฟสายใต้สร้างเสร็จ การไหลทะลักเข้าสู่แผ่นดินสยามจึงเกิดขึ้น “ข่าวจากปากต่อปาก” เล่าขานกันว่าประเทศไทยมีนโยบายเปิดป่าเสรี รัฐบาลไทยในยุคนั้นส่งเสริมให้มีการสร้างชุมชน เปลี่ยนป่าสองข้างทางรถไฟให้เป็นชุมชนเมือง
จากการส่งข่าวสารชักชวนกันในหมู่คนจีนฮกจิว บ้างก็ขายที่ ขายทรัพย์สินที่เคยมีสวนยาง 3 เอเคอร์ ได้เงินเป็นทุนรอนก็เดินทางมาจับจองแผ้วถางกันที่ อ.นาบอน เน้นรอบๆ รัศมีริมทางรถไฟไปจนถึงเนินเขาเหมน บ้างก็มีเอกสารใบเหยียบย่ำ บ้างก็ให้ภรรยาคนไทยถือครองที่ดิน การขยายพื้นที่การปลูกสวนยาง การจับจองแผ้วถางบุกเบิกจึงเริ่มต้นขึ้นตั่งแต่ปี 2468 เป็นต้นมา
ระยะเวลาเพียง 16 ปี หรือจากปี พ.ศ.2468 ถึงราวปี พ.ศ.2484 การขยายพื้นที่การทำสวนยางจากชุมชนริมทางรถไฟถูกบุกเบิกแผ้วถางไปถึง “เนินตีนเขาเหมน” เนื้อที่ที่บุกเบิกการทำสวนยางขยายออกไปนับหมื่นๆ ไร่
แต่แล้วด้วยกระแส “นโยบายจีน” และ “รัฐนิยม” ในเดือนเมษายนปี พ.ศ.2484 มีการออกกฎหมายใน “ยุครัฐบาลจอมพลแปล พิบูลสงคราม” ให้ยึดที่ดินที่คนจีนฮกจิวบุกเบิกแผ้วทางทำสวนยางเอาไว้ รวมเนื้อที่ประมาณ 12,000 ไร่ หรือประมาณครึ่งหนึ่งของที่ดินที่อยู่ในการครอบครองทำมาหากินของชาวฮกจิวในชุมชนนาบอน
เรื่องนี้ ศ.ภูวดล ทรงประเสริฐ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์จากรั้วมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้มีพื้นเพเป็นชาว ต.จันดี อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช เคยได้ศึกษาเอาไว้ว่า กรณีดังกล่าวมีจดหมายเรื่องเอกอัครราชทูตจีน ณ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ลงวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ.2484 เพื่อทักท้วงนโยบายของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ในขณะนั้น แต่ก็ได้รับการเพิกเฉยจากรัฐบาลไทยในสมัยนั้น
“การยึดสวนยางพาราของชาวจีนครั้งนั้น รัฐบาลจีนคณะชาติได้ให้เอกอัครราชทูตที่กรุงวอชิงตันประท้วงรัฐบาลไทย โดยทางรัฐบาลจีนในยุคนั้นบอกทางรัฐบาลไทยว่า สวนยางเหล่านี้คนจีนได้เข้ามาบุกเบิกอยู่หลายปีแล้ว โดยได้รับอนุญาติจากรัฐบาลไทย การที่คนจีนถูกยึดสวนยาง บางครอบครัวผู้ที่อยู่อาศัยถูกขับไล่ออกจากบ้านเรือนของตน ถือว่าไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง”
ที่ดินที่รัฐบาลไทยยุคนั้นยึดจากชาวจีนฮกจิวชุมชนนาบอน ต่อมาพื้นที่เหล่านี้ได้จัดตั้งขึ้นเป็น “องค์การสวนยางนาบอน” รัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ระยะเวลาเพียงแค่ 16 ปีของการสร้างชุมชนคนจีนโพ้นทะเลขึ้นที่ อ.นาบอน มีการบุกเบิกแผ้วถางใช้ที่ดินจากผืนป่าเปลี่ยนเป็นสวนยางนับหมื่นไร่ เมื่อ “ชุมชนชาวจีนขยายตัวเป็นชุมชนใหญ่” ย่อมสร้างความหวั่นวิตกต่อรัฐบาลในยุคนั้น
จากคำบอกเล่าของคนในชุมชนนาบอน ซึ่งได้เล่าขานต่อๆ กันมาจนทุกวันนี้ถึงความปวดร้าวใน “แผ่นดินหนานหยาง” ในทำนองว่า
“มีคนจีนหลายคนเสียใจ กลัดกลุ้มใจ ด้วยเพราะหอบเสื่อผืนหมอนใบ แผ้วถางตรากตรำด้วยแรงกายพร้อมกับขวานและมีดพร้า หวังเก็บออม หนีความยากจนมาจากแผ่นดินใหญ่ เริ่มก่อร่างสร้างตัวได้ในแผ่นดินไทย เมื่อมีการยึดที่ดินทำกิน ยึดสวนยางของพวกเขาไป ลูกหลานบางครอบครัวยังจดจำคนรุ่นปู่ต้องผูกคอตายกับขื่อบ้านในสวนยาง เพราะทั้งบ้าน ทั้งสวน โดนยึดและถูกไล่รื้อออกจากที่ดินทำกินที่พวกเขาบุกเบิกแผ้วถางกันมากับมือ บ้างก็ตรอมใจกัดลิ้นจนเสียชีวิต”
“คุณตาติงเลืองงึก” ผู้บุกเบิกและสร้างศาลเจ้าใหญ่ของชุมชนนาบอน ท่านก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการถูกยึดที่ดินทำกินและสวนยางเมื่อปี พ.ศ.2484
พานให้คนจีนโพ้นทะเลบางคนคิดว่า ยุครัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ใช้นโยบายชาตินิยมบีบรัดคนจีนอย่างไรความเอื้ออาทร พวกเขาจึงเลือกที่จะเดินทางกลับไปประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ มีการแบ่งทรัพย์สมบัติให้ลูกสาวและลูกชายที่เกิดในตลาดนาบอนที่เลือกจะอยู่ต่อในแผ่นดินไทย
“คุณตาติงเลืองงึก” คืออีกคนหนึ่งที่เส้นทางชีวิตที่จะกลับไปยังแผ่นดินใหญ่ของจีนในปี พ.ศ.2488 หรือช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สเพิ่งงบลง
“คุณตาเฉินเอ่อคุ่น” เป็นอีกจีนโพ้นทะเลที่อพยพมาอาศัยอยู่ที่ชุมชนนาบอนที่เลือกเดินเส้นทางนี้ ภายหลังนโยบายชาตินิยมของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ส่งผลกระทบต่อคนจีนในประเทศไทย ซึ่งที่ดินทำกินและสวนยางที่เพิ่งบุกเบิกมาได้ไม่นานก็ถูกยึดเช่นกัน
ประจวบเหมาะกับหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการรวบรวม “ระดมหุ้น” จากคนจีนโพ้นทะเลของชุมชนนาบอน เพื่อนำกลับไปลงทุนทำสวนยางบนเกาะไหหลำของจีนแผ่นดินใหญ่
แน่นอนว่าเมื่อพวกเขาเลือกที่จะต้องกลับแผ่นดินใหญ่ของจีน แม้จะเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ยุคของ “เหมาเจ๋อตุง” ได้ไม่นาน การเมืองในประเทศจีนจึงยังมีภาวะความผันผวนในยุคการสร้างชาติจีนขึ้นมาใหม่
ตอนนั้นการเมืองในประเทศจีนกำลังมีการปะทะทางความคิดระหว่าง การปฏิวัติของเหมาเจ๋อตุง กับกลุ่มที่ต้องการเพียงปฏิรูป การต่อสู้ทางความคิดในประเทศจีนได้นำไปสู่การกวาดล้างพวกที่ถูกเรียกว่า “พวกปฏิปักษ์ปฏิวัติ”
เหมาเจ๋อตุงมีนโยบายปลุกระดมและต้องการสร้างแนวทางลัทธิสังคมนิยมอย่างเคร่งครัด พร้อมๆ กับให้มรการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์แบบเหมาเป็นไปอย่างแพร่หลาย คนรุ่นใหม่ของสังคมในยุคนั้นจึงถูกปลูกฝังให้ยึดมั่นในนโยบายการปฏิวัติวัฒนธรรมอย่างเคร่งครัด
มีการจัดตั้ง “กองทัพพิทักษ์แดง” หรือ “หน่วยเรดการ์ด(Red Guard)” มีกลุ่มเยาวชนถูกจัดตั้งขึ้นจากการเลี้ยงดูจากคอมมูนขึ้นมาด้วย
สำหรับกลุ่มจีนโพ้นทะเลที่เดินทางกลับสู่แผ่นดินใหญ่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่างหวังจะไปใช้ชีวิตปั้นปลายอย่างสงบในแผ่นดินจีนที่พวกเขาจากมา ทว่าพวกเขากลับถูกกล่าวหาว่าเป็น “พวกกฎุมพี” หรือพวกชนชั้นกลางจากโพ้นทะเล บางครั้งก็ถูกเรียกว่า “พวกทุนนิยมหนานหยาง”
“คนหนุ่มสาวฮกจิวจากฟุโจว” พวกเขาออกสู่ทะเลใต้หนานหยางก่อนการปฏิวัติสร้างชาติใหม่ของเหมาเจ๋อตุง
พวกเขาเรียนรู้และมีประสบการณ์จากการดิ้นรนนอกแผ่นดินใหญ่ กัดฟันต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อเก็บหอมรอมริบ สะสมทุนแล้วกลับมีทรัพย์สินติดตัวจากแผ่นดินหนานหยางกลับไปไม่มากนัก เมื่อกลับไปยังมาตุภูมิแผ่นดินใหญ่ของจีนพวกเขาก็หวังจะสุขสบายยามแก่เฒ่า
คนหนุ่มสาวฮกจิวจากฟุโจวที่ไปใช้ชีวิตเป็นชาวจีนโพนทะเล เพื่อเดินทางกลับแผ่นดินเกิดเปรียบเทียบฐานะก็เพียงถือว่ามีความมั่งคั่งพอประมาณ มีเงินเก็บออมจากการขายทรัพย์ที่ดินไปจากหนานหยาง พวกเขาอาจจะถูกเรียกขานว่าเป็น “นายทุนน้อย” ชนชั้นกลางจากโพ้นทะเล
จากคนหนุ่มสาวฮกจิวจากฟุโจวที่กลายมาเป็นจีนโพนทะเล เมื่อต้องการกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดยังจีนแผ่นดินใหญ่ พวกเขามีอายุมากขึ้นที่ไม่ได้เป็นคนหนุ่มคนสาวอีกแล้ว และประจวบกับเป็นทศวรรษของการปฏิวัติวัฒนธรรมที่เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2509-2519
เมื่อกลับไปถึงบ้านเกิด “คุณตาติงเลืองงึก” จึงถูกเจ้าหน้าที่ของทางราชการและกองกำลังเรดการ์ดของหมู่บ้านนำตัวไปสอบสวนถึง 4 วัน 4 คืนชนิดไม่ได้หลับนอน สุดท้ายท่านก็ล้มป่วยและเสียชีวิตในช่วงของการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีนนั่นเอง
“คุณตาเฉินเออคุ่ง” ก็เช่นกัน เมื่อกลับไปยังแผ่นดินใหญ่ของจีนหวังจะจัดตั้ง “บริษัท หัวเฉียวชิงหมิงยางพารา จำกัด” เพื่อลงทุนปลูกยางในจีน แต่เมื่อบ้านเกิดเข้าสู่ทศวรรษแห่งการปฏิวัติวัฒนธรรม ท่านถูกนำเข้าสู่การสอบสวนภายใต้นโยบายคอมมิวนิสต์แบบเคร่งครัด สุดท้ายถูกกล่าวหามีกลิ่นอายวัฒนธรรมทุนนิยม เป็นพวกกฎุมพี ถูกบังคับให้คุกเข่าเพื่อทำการสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่กองกำลังเรดการ์ด จนเข่าเปื่อยเน่าเป็นบาดแผลใหญ่
เรื่องราวชีวิตของคนจีนโพนทะเลฮกจิวจาก “ชุมชนนาบอน” บนแผ่นดินด้ามขวานทอง ซึ่งตัดสินใจ “หนีเสือ” กลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนบนแผ่นดินใหญ่ของจีน แต่เมื่อไปถึงกลับต้องไป “เจอจระเข้” เรื่องราวเหล่านี้ยังถูกบอกเล่าถ่ายทอดให้รับรู้กันรุ่นต่อรุ่น
ยิ่งเมื่อภายหลังที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนถูกสถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ.2518 การสื่อสารจากญาติพี่น้องฝั่งแผ่นดินใหญ่ของจีนก็ถูกถ่ายทอดอย่างพรั่งพรูสู่ญาติที่ชุมชนนาบอน
คนหนุ่มสาวชาวฮกจิวจากฟุโจวที่ตัดสินใจ “หนีความแร้นแค้น” ไปตามหาความฝันบนแผ่นดินหนานหยาง เมื่อได้มาตั้งรกรากในชุมชนนาบอนที่ภาคใต้ของไทย แต่กลับถูก “นโยบายชาตินิยม” ของ จอมพล ป. ยึดที่ดินทำกินและสวนยาง บางส่วนของพวกเขาจำใจโบยบินกลับสู่มาตุภูมิ แต่ก็ต้องพบเจอกับ “ทศวรรษการปฏิวัติวัฒนธรรม” ที่สุดแสนจะปวดร้าว
เรื่องราวชีวิตที่มากมายสีสันของชุมชนคนไทยเชื้อสายจีนแห่งนาบอน บนแผ่นดินด้ามขวานยังน่าติดตามกันต่อไป!!


