xs
xsm
sm
md
lg

ปรากฏการณ์ “อนาคตใหม่” และ “ธนาธรฟีเวอร์” กับขบวนแห่บ้า (หัวจุก) ทางการเมือง..?!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู  / โดย… จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย นักวิชาการอิสระ
  
แฟ้มภาพ
 
สังคมไทยปัจจุบันเป็นสังคมที่ถูกขับเคลื่อนด้วย “ความรู้สึก” หรือ “ตามกระแส” มากกว่าจะเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้หรือสังคมที่ใช้ “ความรู้” และ “ข้อมูล” การวิเคราะห์ สังเคราะห์ แล้วตัดสินใจในการขับเคลื่อนกิจกรรมในสังคม 
 
ยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง เราโหยหาคนเก่ง คนดีมีวิสัยทัศน์ ก้าวหน้าและรู้เท่าทันโลก ทันเหตุการณ์ โดยเฉพาะความเก่งกล้าสามารถด้านโครงการเกี่ยวกับ “ประชานิยม” เพื่อแก้ปัญหาความยากจนในระดับพื้นฐานของสังคม
 
เราก็พากันแห่แหน “ทักษิณ” เทพเจ้า “ตาดูดาว เท้าติดดิน” เจ้าพ่อดาวเทียม ฝ่าข้ามคดีซุกหุ้นด้วยความมั่นใจว่า “รวยแล้วไม่โกง”
 
แต่อยู่มาไม่นานคนที่ “บกพร่องโดยสุจริต” ก็ถูกคนที่เคยร่วมใน “ขบวนแห่บ้า” ก็ต้องออกมาร่วมในขบวนขับไล่ระบอบทักษิณออกไปจากแผ่นดินครั้งแล้วครั้งเล่า “ทักษิณออกไป” ดังกระหึ่มอยู่เป็นระยะๆ จนจางหายไปในปัจจุบัน
 
ก่อนหน้านี้ในช่วงหลังพฤษภาทมิฬ สังคมการเมืองไทยก็อยู่ในยุค “จำลองฟีเวอร์” ด้วยกระแสพรรคพลังธรรมของพลตรีจำลอง ศรีเมือง ที่เป็นแกนนำในการขับไข่การสืบทอดอำนาจของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ทายาท รสช.
 
การเลือกตั้งหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ กระแสพรรคพลังธรรมมาแรงจนเป็นที่หวาดหวั่นของคู่แข่ง จนผู้นำพรรคเก่าแก่พระแม่ธรณีบีบมวยผมต้องออกมาปล่อยหมัดเด็ดว่า “จำลองพาคนไปตาย” กระแสการเมืองพลิกกลับถล่มทลายอย่างน่าอัศจรรย์
 
ก่อนการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมาก็เกิดปรากฏการณ์ “อนาคตใหม่” หรือ “ธนาธรฟีเวอร์” ขึ้นในทุกวงการทั่วประเทศ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) คนรุ่นใหม่ และคนที่เบื่อหน่ายการเมืองแบบเก่าและนักการเมืองพรรคการเมืองรุ่นเก่า
 
ด้วยคำประกาศ “ไม่เอาเผด็จการ” ก้าวสู่ประชาธิปไตยแบบล้มล้างความคิดเก่าๆ ยกเลิกจารีตเดิมๆ ความภาคภูมิใจในความเป็นไทยแบบ “ยิ้มสยาม” ที่ถูกมองว่า “เป็นคนไม่มีจุดยืน” ปฏิรูปกองทัพ ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร และเอาทหารออกจากการเมือง แก้กฎหมายรัฐธรรมนูญทุกหมวด โดยเฉพาะหมวดที่ว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ ฯลฯ
 
ผลของการออกแบบวาทกรรมและการสร้างภาพ พฤติกรรมต่างๆ ให้น่าเชื่อถือ และเป็นที่พึงหวังของประชาชนผู้แสวงหาทางออกให้แก่การเมืองแบบมีส่วนร่วม ที่จะมาแทนการเมืองแบบตัวแทนที่คิดแทน ทำแทนแบบเดิมๆ ทำให้พรรคอนาคตใหม่กลายเป็นพรรคอันดับ 3 ของประเทศ มีคะแนนเสียงสนับสนุน 6 ล้านกว่าคะแนน มี ส.ส.บัญชีรายชื่อมากอันดับ 1 ของประเทศ
 .
ตามกฎหมายที่พวกเขาขยะแขยงว่า มาจาก “กลุ่มอำนาจเผด็จการ”
 .
ทั้งๆ ที่เป็นพรรคเกิดใหม่อายุแค่ปีกว่าๆ แต่สามารถเอาชนะ ปชป.ที่มีอายุเก่าแก่ค่อนศตวรรษได้อย่าน่าอัศจรรย์ยิ่ง โดยคนส่วนใหญ่รู้จักแค่หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และแกนนำพรรคเพียงไม่กี่คน ส่วนผู้สมัครส่วนใหญ่แทบไม่มีใครรู้จัก แต่ได้คะแนนมาอันดับ 1 ก็ 2, 3, 4 เกือบทุกเขตเลือกตั้ง
 
“ขบวนแห่บ้าทางการเมือง” ขบวนใหม่เกิดขึ้นทันทีที่ผลการเลือกตั้งออกมาอย่างไม่เป็นทางการว่า พรรคอนาคตใหม่ได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 3 และกลายเป็นพรรคแกนนำ “ฝ่ายประชาธิปไตย” ในการจัดตั้งรัฐบาลแข่งขันกับ “ฝ่ายเผด็จการ” และพรรคสนับสนุนเผด็จการ (ตามวาทกรรมของพวกเขาที่ใช้มาตลอดในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง)
 
ก่อนหน้านี้ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เคยลั่นวาจาว่า “นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส.” เพราะเขาเชื่อว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จากพรรคเพื่อไทย ที่ลงสมัครในบัญชีรายชื่อของพรรคคนแรกๆ คงได้เป็น ส.ส.อย่างแน่นอน แต่ผลกลับกลายเป็นว่าพรรคเพื่อไทยไม่มี ส.ส.บัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว เพราะได้ ส.ส.เขตเกินจำนวน ส.ส.ที่พึงมี
 .
แต่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ก็ยังยืนยันให้ คุณหญิงสุดารัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีในฝักฝ่ายของอยู่เหมือนเดิม
 .
ในระหว่างที่รอ กกต.ประกาศและรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และเลขาธิการพรรคก็โดนกล่าวหาในหลายคดี ทั้งที่เป็นคดีใหม่และคดีเก่าปี 2558 เช่น การแจ้งโอนการครอบครองหุ้นที่ขัดต่อคุณสมบัติของผู้ที่จะสมัคร ส.ส. การถูกกล่าวหาว่าพาผู้ต้องหาหลบหนีการจับกุมในคดีปลุกระดมสร้างความวุ่นวาย การมีพฤติกรรมเข้าข่ายหมิ่นศาล หมิ่นสถาบันฯ เป็นต้น
 
ในการถูกกล่าวหาต่างๆ เหล่านี้ แทนที่หัวหน้าพรรคและเลขาธิการอนาคตใหม่จะดำเนินการต่อสู้ เพื่อแก้ข้อกล่าวหาเช่นสามัญปุถุชนทั่วไปเขาทำกัน แต่กลับสร้างกระแสว่า ถูกกลั่นแกล้งจากผู้ใช้อำนาจรัฐ เช่นเดียวกับตอนหาเสียงเลือกตั้ง และใช้วิธีการอ้างเอามวลมหาประชาชนที่ลงคะแนนเสียงสนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ จำนวน 6 ล้านกว่าคนมาปกป้องตนเองและพรรคพวก
 
มีการใช้เจ้าหน้าที่จาก “สถานทูต” และ “องค์กรระหว่างประเทศ” เจ้าเดิมๆ ประมาณ 12 หน่วยงานมากดดันกระบวนการยุติธรรมไทย อย่างไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีของชาติบ้านเมือง รวมทั้งการใช้นักวิชาการทั้งในและนอกสถาบันอุดมศึกษากลุ่มเดิมๆ มาออกแถลงการณ์กดดันรัฐบาลและกระบวนการยุติธรรมไทยต่างๆ นานา
 
แม้ว่าผมจะไม่ได้เห็นด้วยกับกระบวนการยุติธรรมไทย และผู้ใช้อำนาจรัฐไทยในหลายกรณี แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับ “ขบวนแห่บ้า” ทางการเมืองที่เลยเถิด โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมและผลเสียที่จะเกิดกับชาติบ้านเมือง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
 
เพราะในความเป็นจริงแล้ว “เรามีอิสระได้โดยไม่ต้องยิ่งใหญ่ จนใครแตะต้องไม่ได้ แต่เราจะยิ่งใหญ่ไม่ได้ถ้าไม่มีอิสระ” ผมเชื่อว่าเบื้องหลังปรากฏการณ์นี้ มี “ธาตุแท้” ที่ไม่สง่างามอย่างที่หลายคนในขบวนคาดหวัง.
 



กำลังโหลดความคิดเห็น