xs
xsm
sm
md
lg

ความจริงที่คนไทยควรรู้ “สัตว์มีกระดูกสันหลังทุกชนิดต้องการใช้สารที่มีอยู่ในกัญชา” / ประสาท มีแต้ม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
คอลัมน์ : โลกที่ซับซ้อน
โดย...ประสาท มีแต้ม
----------------------------------------------------------------------------------------------

ข่าวการตรวจค้นและจับกุมอาจารย์เดชา ศิริภัทร และทีมงานจากมูลนิธิข้าวขวัญ ที่ผลิตสารสกัดจากกัญชาเพื่อแจกฟรีให้แก่ผู้ป่วยจากโรคมะเร็งและโรคอื่นๆ ได้สร้างความรู้สึกสะเทือนใจให้แก่สังคมไทยเป็นอย่างมาก

“เราได้ข้อมูลมาจากฝรั่ง แล้วเราทดลองเองมา 6 ปีแล้ว ทดลองกับตัวเอง กับเพื่อนฝูง ลูกศิษย์ พบว่ามันจริงแฮะ และเรารู้มากกว่าที่ฝรั่งรู้หลายเท่า ...แล้วเราก็แจกให้ผู้ป่วยแบบมีการจดบันทึก เฉพาะวันเดียวที่เราแจกมีคนมารับ 2,500 คน ภายในเวลา 2 เดือน...เรารอกฎหมายไม่ได้มันช้า เราจะท้าทายกฎหมายก็ไม่ดี เราจึงเลี่ยงๆ เอา คนเจ็บคนป่วย คนตายเพิ่มขึ้นทุกวัน เราทำเพื่อให้กฎหมายมันเปลี่ยน ประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาเปลี่ยนกฎหมายกันแล้ว” (ส่วนหนึ่งของคำสัมภาษณ์ใน www.mgronline.com)

ผมเองมีประสบการณ์ตรงที่ลูกศิษย์คนหนึ่งที่เป็นมะเร็งในโพรงจมูกเมื่อปี 2554 เขาค้นข้อมูลเพื่อรักษาตนเอง (หลังจากปฏิเสธการฉายแสง) บางวันที่ไม่ได้รับสารสกัดจากกัญชา อาการที่เห็นจะมีอาการบวมแดงที่แก้ม น้ำมูกน้ำลายไหลเยอะมาก มีอาการเจ็บปวด ภาพที่ติดตาผมก็คือกระดาษทิชชูเต็มตะกร้า แต่วันที่ได้รับสารสกัดจากกัญชาอาการจะดีขึ้นมากอย่างชัดเจน แต่ในที่สุดเขาก็เสียชีวิต ส่วนหนึ่งเพราะอาการหนักมากแล้ว และกัญชาเป็นสิ่งหายากเพราะผิดกฎหมายครับ

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมก็ศึกษาค้นคว้าเรื่องกัญชา แต่ก็ต้องหยุดๆ หายๆ ไปเพราะบ้านเรามีปัญหาต้องศึกษา ตรวจสอบหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องพลังงานซึ่งผมกัดไม่ปล่อย เมื่อมาถึงการจับอาจารย์เดชาและทีมงานครั้งนี้ผมก็ต้องศึกษาและเขียนเพิ่มเติมอีกครั้ง

เท่าที่ผมติดตามข่าวเรื่องกัญชา ผมเห็นประเด็นสำคัญมากๆ ที่หายไปจากสื่อไม่ว่าจะเป็นสื่อกระแสหลักหรือสื่อสังคมออนไลน์ ประเด็นที่ว่าคือ “สัตว์มีกระดูกสันหลังทุกชนิดต้องการใช้สารที่มีอยู่ในกัญชา”

กล่าวให้ชัดๆ อีกครั้งว่า ร่างกายของสัตว์มีกระดูกสันหลังทุกชนิด ไม่ว่าปลา นก หมา แมว หรือคน ฯลฯ จะผลิตสารเคมีชนิดหนึ่งขึ้นมาใช้เอง สารชนิดนี้ที่ชื่อว่า Endogenous cannabinoids หรือเรียกอย่างสั้นๆ ว่า Endocannabinoids (คำว่า Endogenous หมายถึงการเกิดขึ้นเองภายในอวัยวะ, สหรัฐอเมริกาเรียกกัญชาว่า Cannabis และคำว่า Cannabinoid คือชื่อสารประกอบทางเคมีที่กระทำกับ Cannabinoid receptors ซึ่งกระจายอยู่ทั่วร่างกายของสัตว์มีกระดูกสันหลังเพื่อคอยรับสาร Endocannabinoids คล้ายกับ Docking station ในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเพื่อรับสัญญาณจากอุปกรณ์อื่นๆ)

สาร Endocannabinoids ทำหน้าที่อะไร

สาร Endocannabinoids หรือ Endocannabinoidssystem (เมื่อพูดให้ครบทั้งระบบ) ทำหน้าที่สำคัญมากคือ คอยปรับหรือควบคุม (regulate) ให้อวัยวะต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างสมดุล (Homeostasis) ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิร่างกายการทำงานของเหลวต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งการนอนหลับ อารมณ์ ความอยากอาหาร ภาวะเจริญพันธุ์ การสร้างภูมิคุ้มกัน การตอบสนองต่อความเครียด ฯลฯ

โดยปกติร่างกายมนุษย์ (ขอพูดเฉพาะมนุษย์) จะสร้างสาร Endocannabinoids ขึ้นมาเอง ตามกระบวนการทางชีววิทยาของอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย เพื่อกำกับการทำงานของระบบร่างกายตั้งแต่การเกิดจนถึงการเจ็บปวด

สาร Cannabinoids มีในอาหารไหม?

ทบทวนนิดหนึ่งครับ เราเรียกสาร Cannabinoids ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเองว่า Endocannabinoids แต่ในพืชหลายชนิดก็มีสารตัวนี้ด้วย เราเรียกว่า Phytocannabinoids (คำว่า phyto หมายถึงพืช)

จากบทความที่ผมอ้างถึงกล่าวว่า นอกจากพืชกัญชา (Cannabis) แล้ว พบว่าในพริกไทยดำ กานพลู (clove) เห็ดสีดำ (black truffles) ชาเขียว, Echinacea (ไม่มีคำแปล) และ Panax ginseng (พวกโสม) แต่ไม่ได้ระบุว่ามีมากน้อยแค่ไหน แต่ก็คงมีน้อยกว่ากัญชาอย่างเทียบกันไม่ได้ (เพราะคนไทยเรากินพริกไทยทุกวัน แต่ไม่มีอาการที่คล้ายกับการกินกัญชา)

ความรู้ส่วนใหญ่ที่ผมได้มานี้มาจากบทความซึ่งเขียนโดย Kathi Head ซึ่งจบปริญญาเอกด้าน Naturopathic Medicine จาก National College of Naturopathic Medicine สหรัฐอเมริกา (www.thorne.com/take-5-daily/article/endocannabinoid-system-101)

ผมไม่ได้อ่านบทความนี้เพียงอย่างเดียว ผมอ่านจากหลายแหล่งแล้วนำมาเปรียบเทียบกัน แต่ที่นำมาอ้างในที่นี้เพราะว่าเธอเขียนอ่านง่ายดีครับ

ประเด็นที่ผมอยากจะสรุปในตอนนี้ก็คือว่า มนุษย์กับกัญชาเป็นสิ่งที่ธรรมชาติได้จัดสรรมาให้อย่างลงตัวแล้ว เมื่อผลิตเองไม่พอ ก็สามารถกินจากอาหารได้ โดยให้กัญชาเป็นอาหารของมนุษย์ ซึ่งคนที่มีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไปคงจะเป็นพยานได้ว่า กัญชาเป็นสมุนไพรประจำบ้านแทบทุกครัวเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมชนบท ทั้งช่วยให้อาหารมีรสชาติ ช่วยให้คนนอนหลับ ลดความเจ็บปวด ลดอาการอักเสบ ความวิตกกังวล ฯลฯ แต่อยู่ๆ ก็ถูกรัฐบาลออกกฎหมายห้ามใช้เสียนี่

ถือว่าเป็นการตัดวงจรความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติที่ได้วิวัฒนาการมานับแสนนับล้านปี กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็ถือเป็นอาชญากรรมทำลายเผ่าพันธุ์ของมนุษย์นั่นเอง

เรามาดูกันสิครับว่า เขามีกระบวนการทำให้กัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งหลายๆ ประเทศรวมทั้งไทยเราด้วยที่ต้องเดินตามรอยประเทศมหาอำนาจ

จากข้อมูลในเว็บไซต์ www.countable.us พบว่า สหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายให้กัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 1937 ซึ่งใช้บังคับทั่วทุกรัฐ โดยใช้เวลาในการอภิปรายเพียง 90 วินาทีเท่านั้น (https://www.countable.us/articles/849-date-fdr-made-marijuana-illegal-81-years-ago)

ผู้ใดฝ่าฝืนกฎหมายฉบับนี้ (ซึ่งเรียกว่า The Marihuana Tax Act) จะถูกจำคุกถึง 5 ปี หรือถูกปรับ $2,000 (มูลค่าปัจจุบัน $34,490)

ก่อนที่กฎหมายฉบับนี้จะออก ในปี 1936 ได้มีภาพยนตร์โฆษณาชวนเชื่อเรื่อง Reefer Madness (เดิมชื่อ Tell Your Children) โดยมีเนื้อหาให้ผู้ปกครองระวังพิษภัยของกัญชาว่าจะเป็นต้นเหตุของอาชญากรรม ข่มขืน ประสาทหลอน และการฆ่าตัวตายโดยไม่มีการอ้างอิงผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์แม้แต่น้อย

ผู้สนับสนุนการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้คือกลุ่มศาสนากลุ่มหนึ่ง และต่อมาได้ขายต่อให้แก่นักสร้างภาพยนตร์ชื่อ Dwain Esper ซึ่งเป็นทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ผมมีโปสเตอร์ภาพยนตร์ดังกล่าวและระบบการทำงานของร่างกายมนุษย์ที่ต้องใช้สาร Endocannabinoids มาให้ดูในภาพเดียวกันครับ
 

 
ในปี 1961 องค์การสหประชาชาติได้เข้ามามีบทบาท โดย United Nations Conference to Consider Amendments to the SingleConvention on Narcotic Drugs, 1961 ส่งผลให้หลายประเทศถือว่ากัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย

สำหรับประเทศไทยเรา “กัญชา” ถูกควบคุมตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 (หรือ ค.ศ.1979) ซึ่งกำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เช่นเดียวกับพืชกระท่อม พืชฝิ่น

ปัจจุบันการเคลื่อนไหวให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายกำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศ ปัจจุบันประเทศแคนาดาถือว่าเป็นสิ่งถูกกฎหมายทั้งทางแพทย์และทางสันทนาการ

การกระทำของอาจารย์เดชา ศิริภัทร และทีมงานที่ทำการวิจัย ผลิตสารสกัดกัญชาออกมาช่วยรักษาผู้ป่วยโดยเป็นการแจกฟรีนั้น ถือเป็นการต่อวงจรของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติที่ได้ขาดไปเพราะความโลภของกลุ่มผลประโยชน์ให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ถือเป็นการกระทำที่เสียสละและน่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง

เท่าที่ผมติดตามงานของอาจารย์เดชา ท่านไม่ได้เพิ่งมาทำความดีในช่วง 5-6 ปีนี้ แต่ท่านได้วิจัยและรวบรวมเมล็ดพันธุ์ข้าวไทย (ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะถูกรวบและผูกขาดโดยกลุ่มทุน) ภายใต้มูลนิธิข้าวขวัญมานานกว่า 30 ปีแล้ว

สังคมไทยต้องช่วยกันรักษาคนที่เสียสละเพื่อส่วนรวม และเพื่อความสมดุลของระบบธรรมชาติ เช่น อาจารย์เดชา ศิริภัทร และทีมงานครับ
 


กำลังโหลดความคิดเห็น