xs
xsm
sm
md
lg

จับตา 2 คืนหมาหอน “วิชาเทพ-มาร” ถูกใช้ชิงชัย 50 ส.ส.สะตอที่จะไปเป็น “ตัวแปรหลัก” ชี้ชะตาชาติ / แค่โค้งสุดท้ายก็เกิดปรากฏการณ์ใหม่ “หัวคะแนนเร่ขายเสียงยกเข่ง” ตีคู่มากับกลโกงในวังวนเดิมๆ / แชมป์ ปชป.จะถูกตีแตกที่ชายแดนใต้

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 
รายงาน… เกาะติดสนามเลือกตั้ง’62  /  โดย… เมือง  ไม้ขม
 

 
เหลือเพียง 1 วันก็จะถึงวันชี้ชะตาของบรรดา “ผู้เสนอตัว” ลงสมัคร ส.ส. เพื่อขอโอกาสไปเป็นตัวแทนของประชาชนเข้าไปทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรว่าจะได้เป็น ส.ส.ตามที่คาดหวังหรือไม่ รวมทั้งยังเป็นการ “ชี้ชะตาประเทศไทย” พร้อมๆ กับ “ชี้ชะตาของคนไทย” และที่สำคัญการเลือกตั้งครั้งนี้ยังเป็นการชี้ชะตาว่า ระหว่าง “ประชาธิปไตย” กับ “การสืบทอดอำนาจเผด็จการ” ประชาชนไทยจะเลือกยืนฝั่งไหน
 
แน่นอนว่ากองเชียร์ของ บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเจ้าตัวเองก็ลุ้นด้วยใจระทึกว่า ทำมาขนาดนี้แล้วจะสามารถ “หักด่าน” พรรคการเมืองฟากฝั่งประชาธิปไตย เพื่อให้ตัวเองได้ “รีเทิร์น” สู่ทำเนียบไทยคู่ฟ้าเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นคำรบสองได้หรือไม่
 
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่า “การหยุดหาเสียง” ในช่วงเวลาก่อนวันสุดท้ายที่คนไทยจะต้องออกไปกาบัตรนับตั้งแต่ 6 โมงเย็นของวันเสาร์ที่ 23 มี.ค.2562 คือ เวลานี้การเมืองไทยก็ยังคงอยู่ใน “วังวนเดิมๆ” อย่างยากแปรเปลี่ยน นั่นคือ ห้วงเวลาแห้งการ “ซื้อเสียง” ได้โหมกระหน่ำขึ้นแล้ว ซึ่งนับตั้งแต่วันนี้(22 มี.ค.) ไปเลยน่าจะเรียกได้ว่าเป็นวัน “สุกดิบ” เนื่องจากจะเกิดปรากฏการณ์ของการซื้อเสียงจากหัวคะแนนนักการเมืองและพรรคการเมืองใหญ่ๆ ในทุกพื้นที่
 
แม้แต่ จ.สงขลา มีข่าวสะพัดแล้วว่า มีทั้งการ “เดินซื้อเสียง” และการ “บอกขายเสียง” จากหัวคะแนนบางพรรค เนื่องจากได้กว้านซื้อซื้อบัตรประชาชนผู้มีสิทธิ์ไว้ก่อนแล้ว แต่ปรากฏว่ามีการ “เบี้ยว” หรือ “กระสุนด้าน”เกิดขึ้นตอนนี้ ทำเอาหัวคะแนนต้อง “วิ่งพล่าน” นำเสียงที่ซื้อไว้ไปเร่ขายให้ผู้สมัครและพรรคการเมืองอื่นๆ ซึ่งว่ากันว่าการต่อรองกันเริ่มที่ตัวเลข 300 แล้วไปจบกันที่ 1,000 ต่อหัวเลยทีเดียว
 
ที่น่าสนใจคือผู้ทำหน้าที่ “กว้านซื้อ” กลับไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะล้วนแล้วแต่เป็น “ผู้นำท้องที่” หรือเอากันให้ชัดๆ คือ “กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน” นั่นแหละเป็นส่วนใหญ่ จึงเชื่อกันว่าหลังการเลือกตั้งผ่านไปจะเกิด “เศรษฐีใหม่”ในหลายๆ หมู่บ้านและหลายๆ ตำบล ในขณะที่ผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็น กกต. หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่างวางตัวเป็น “จ่าเฉย” ได้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว พวกเขาไม่เคยแม้แต่จะระแคะระคายในเรื่องของการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้
 
เป็นที่น่าสังเกตว่า ดูเหมือนจะยังมีการ “เปิดไฟเขียว” ให้พรรคการเมืองอย่างน้อย “2 พรรค” เปิดปฏิบัติการเยี่ยงนี้ได้อย่างไม่ต้องกลัวว่าจะใครมาจับผิดหรือจับกุม ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นๆ ถูกหน่วยงานด้าน “ความมั่นคง” สั่งจับตามองแทบไม่กระพริบ แถมยังส่งคนประกบหัวคะแนนแบบกระดิกตัวแทบไม่ได้ ซึ่งนั่นหากจะบอกว่าเป็นการ “ตัดคะแนนคู่แข่ง” ก็น่าจะได้
 
ดังนั้นช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียง หรือช่วงคืนหมาหอน บรรยากาศในแทบจะทุกพื้นที่บนแผ่นดินด้ามขวาน จึงต่าง “ตลบอบอวล” ไปด้วยกลิ่นไอของ “ธนบัตร” ชนิดที่ต้องบอกว่า “ฉุน” เอามากๆ เลยทีเดีย จนมีคนตั้งข้อสังเกตว่า การเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะเป็นการ “ใช้เงินซื้อประเทศ” ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นกับการเลือกตั้งในประเทศไทย
 
หรืออาจจะเป็นอย่างที่ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้อำนวยการเลือกตั้งภาคใต้ของพรรค กล่าวไว้ว่า ความยากจนของประชาชนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นั่นทำให้ “เงิน” กลับมามีความหมาย มีความสำคัญเหนือคำว่า “ประชาธิปไตย” จริงหรือไม่ที่เงินเพียง 300 บาท หรือ 500 บาท หรือกระทั่ง 1,000 บาท เวลานี้มีความสำคัญยิ่งต่อการต่อชีวิตของผู้คน
 
หากเป็นจริงก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกอะไรที่ช่วงเลือกตั้งครั้งนี้จะเงินมีสะพัดไปทั่วภาคใต้ สะพัดจนกระทั่งทำให้ “ผลโพล” ของแต่ละสำนักที่ดูจะเป็นกลาง หรือกระทั่งของแต่ละพรรคการเมืองต่างๆ เองมีความ “ผิดเพี้ยน” ไปจากหลักวิชาการ ก็ต่องจับตาดูกันว่าหลังวันที่ 24 มี.ค.2562 นี้ผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร หลายคนเชื่อว่าอาจจะไม่เป็นไปตามโพลเอาเลยด้วย นั่นเพราะมีปัจจัยการใช้เงินเข้าไปทำให้เกิดการผันแปร
 
ดังนั้นแม้จะช่วงโค้งสุดท้ายที่เคลื่อนคลายเข้าสู่คืนหมาหอนได้เพียง 2 คืนสุดท้ายแล้วเวลานี้ แต่หลายฝ่ายยังยากที่จะคาดการณ์กันได้ว่า พรรคไหนจะได้ ส.ส.เท่าไหร่ หรือใครบ้างที่จะได้ตำแหน่ง ส.ส. เนื่องจากการ “ซื้อ” และ “ขาย” ในตลาดเลือกตั้งในแต่ละพื้นที่ยังถือว่ามีเวลาเหลือมากพอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมาแม้แต่ “หน้าหน่วยเลือกตั้ง” ซึ่งนั่นก็น่าจะเป็นวินาทีสุดท้ายจริงๆ ยังเคยมีปรากฏการณ์ที่เขาสามารถซื้อและขายกันได้เลย ขอเพียงพรรคการเมืองนั้นได้รับ “ไฟเขียว” จากผู้ที่กุมบังเหียนอำนาจอยุ่เท่านั้น
 
อย่างไรก็ตามเวลานี้ก็คงพอจะเห็นได้แล้วว่า ในเขตเลือกตั้งไหน ในจังหวัดไหน พรรคไหน ผู้สมัคร ส.ส.คนไหนมีโอกาสจะชนะหรือแพ้ โดยเฉพาะกับ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องใช้บริการ “อดีตเจ้าอาวาส” และบรรดา “รุ่นลายคราม” ตั้งแต่ ชวน หลีกภัย บัญญัติ บรรทัดฐาน และ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ฯลฯ ดันหลังขึ้นสู่เวทีปราศรัย และขึ้นรถแห่แหนกัน เพื่อให้ได้ใช้วาจาทั้ง “ออดอ้อน” หรือ “เชือดเฉือน” กระทั่ง “สาดโคลน” ใส่คู่แข่งทุกขบวนท่า
 
ไม่เพียงเท่านั้นหลายๆ พรรคการเมืองก็ถึงขั้นควักเอาทั้ง “วิชาเทพ” และ “วิชามาร” ออกมาใช้กันอย่างคึกคัก ซึ่งที่ผ่านมาก็เห็นฤทธิ์เดชกันไปแล้ว สำหรับคนใต้ที่มีความผูกพันกับพรรคการเมืองเก่าแก่ หลายเขตเวลานี้ก็ทำท่าอาจจะมี “เพลี่ยงพล้ำ” บางเขตก็ดู “กระเตื้อง” ขึ้น โดยเฉพาะหลายเขตที่ “สูสี” ก็พลิกกลับมาเป็นต่อได้บ้าง
 
ตัวย่างที่ จ.พัทลุง หลังการ “เหยียบซ้ำ” หลายๆ ครั้งของ ชวน หลีกภัย เขตเลือกตั้งที่ 2 จ.พัทลุงของ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ เองก็เริ่มพลิกขึ้นมาเป็นต่อผู้สมัคร ส.ส.ที่สวมเสื้อ พรรคภูมิใจไทย
 
ด้านเขตเลือกตั้งใน จ.สตูล ขณะที่ผู้สมัคร ปชป.เคยร้อนๆ หนาวๆ มาโดยตลอด พอเจออิทธิฤทธิ์อดีตเจ้าอาวาสเข้าก็กระเตื้องขึ้นทันตาเห็น แต่ก็ยังต้องจัดอยู่ใน “โซนอันตราย” ซึ่งก็ต้องดูว่าอดีตเจ้าอาวาสยังต้องกลับสำนัก เพื่อไปบริกรรมคาถาช่วยลูกพรรคให้ได้รับชัยชนะอีกหรือไม่ มีเฉพาะเขตเลือกตั้งที่ 1 จ.สตูล ที่ผู้สมัคร ส.ส.ปชป.ยังสู้ได้อยู่
 
สำหรับเขตเลือกตั้ง จ.ตรัง และ จ.สงขลา เชื่อว่าด้วยบารมีของ ชวน หลีกภัย โอกาสที่ พรรคประชาธิปัตย์ จะยกทัพเข้าวินทั้ง 8 เขตมีอยู่สูง เช่นเดียวกับที่ จ.นครศรีธรรมราช แม้กระแสอยากเปลี่ยนแปลงจะสูง แต่สุดท้ายด้วย “กลยุทธ์” และ “ยุทธศาสตร์” ของค่าย ปชป.ก็ทำให้เรี่ยวแรงของคู่แข่งแผ่วปลาย ดูเหมือนจะหมดแรงในยกที่ 5 ไปโดยปริยาย
 
ในส่วนของเขตเลือกตั้ง จ.สุราษฎร์ธานี จะอย่างไรเสีย พรรคประชาธิปัตย์ แม้จะแค้น ลุงกำนัน-สุเทพ เทือกสุบรรณ แบบ “กระอักเลือด” แต่สุดท้ายก็น่าจะยอมยกที่นั่งให้ลุงกำนันไป 1-2 ที่นั่ง เช่นเดียวกับเขตเลือกตั้งใน จ.ชุมพร ที่ ปชป.ก็ยังต้องหาทางป้องกันเขตเลือกตั้งที่ 3 จ.ชุมพร ไว้ให้ได้จนถึงวินาทีสุดท้าย เพื่อสกัดมิให้ผู้สมัครพรรคของลุงกำนันได้เข้าวิน
 
สำหรับ พรรคประชาธิปัตย์ แล้วพื้นที่หนักใจในการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนี้น่าอยู่ที่ “11 เขตเลือกตั้ง” ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งน่าจะต้องถูกแบ่งเก้าอี้ ส.ส.ที่เคยมีอยู่เดิมไปอีกไม่น้อย จนคาดการณ์กันว่าน่าจะเหลือเพียงประมาณ 3 ตำแหน่ง ที่เหลือกระจายไปให้กับ พรรคประชาชาติ น่าจะได้ที่นั่ง ส.ส.ไปถึง 6 ตำแหน่ง ขณะที่ พรรคพลังประชารัฐ มีลุ้นได้ 1 ตำแหน่ง ใกล้เคียงกับ พรรคอนาคตใหม่ ที่น่าจะได้ 1 เช่นกัน
 
หากประมวลภาพรวมของ 14 จังหวัดภาคใต้ ที่จะมีที่นั่งของ ส.ส.เขตได้รวม 50 ตำแหน่ง เป็นที่คาดหมายกันว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะได้จำนวน ส.ส. 40-42 ตำแหน่ง ถือว่ายังรักษาพื้นที่ส่วนใหญ่ไว้ได้ ส่วนกระแสเปลี่ยนก็น่าจะยังไม่แรงพอที่จะคว่ำพรรคเก่าแก่พรรคนี้ในพื้นที่ภาคใต้ได้ แต่การที่ต้องสูญเสียที่นั่งถึงราว 8-10 ที่นั่ง นั่นก็ถือว่าสร้างความกระทบกระเทือนเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาจจะทำให้ได้ ส.ส.ในภาพรวมไม่ถึง “100 ตำแหน่ง” นั่นหมายถึงชะตากรรมของ เดอะมาร์ค-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นั่งเป็นหัวหน้าพรรคมายาวนาน ทำให้มีอันจะต้อง “สละเก้าอี้” ตามที่ได้มี “สัญญาประชาคม” เอาไว้
 
ช่วงโค้งสุดท้ายที่กำลังเคลื่อนคลายเข้าสู้คืนหมาหอนสุดท้าย สิ่งที่ต้องตั้งข้อสังเกตไว้ ณ ที่นี้ด้วยคือ มีบางพรรคการเมืองที่รู้ว่า “แพ้” แต่กลับ “ไม่ยอมแพ้” ได้ทำการ “ข่มขู่ประชาชน” ทั้งประเทศว่า ถ้าพรรคฝ่ายประชาธิปไตยได้ชัยชนะก็จะมีการ “เป่านกหวีด” ระดมพลลงท้องถนนเพื่อ “ชัตดาวน์” ประเทศอีกคราครั้ง นี่คือการหาเสียงโดยเอา “ประเทศชาติ” และ “ประชาชน “เป็นตัวประกัน” หรือไม่
 
ดังนั้น 24 มี.ค.2562 ซึ่งจะต้องถือเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทยในอนาคตอย่างแน่นอน ก่อนเข้าคูหากาบัตรเลือกตั้งให้ใครหรือพรรคไหน ประชาชนตาดำๆ อย่างเราๆ ท่านๆ ควรต้องคิดให้ดี คิดให้ถูก อย่ากลัวคำขู่ อย่ากลัวว่าหลังเลือกตั้งจะเกิดอะไรขึ้น เพราะสุดท้ายแล้ว “ความถูกต้อง” จะนำประเทศชาติออกจาก “วิกฤต” ที่ถูกสร้างขึ้นโดยกลุ่มคนเพียงหยิบมือเดียว
 


กำลังโหลดความคิดเห็น