ศูนย์ข่าวภูเก็ต - กรมการพัฒนาชุมชน จัดงาน OTOP ภูมิภาค ประจำปี 2562 ครั้งที่ 4 ที่จังหวัดภูเก็ต สร้างรายได้และช่องทางการตลาดแก่สินค้า OTOP ระหว่างวันที่ 13-19 มี.ค.นี้ ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท เผยตลอดปี 62 ยอดขายไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท
นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เป็นประธานเปิดงาน “OTOP ภูมิภาค ประจำปี 2562 ที่จังหวัดภูเก็ต” ซึ่งจัดขึ้นที่บริเวณเวทีกลางสะพานหิน โดยมีนายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ให้การต้อนรับ ร่วมด้วย นายกิติพล เวชกุล พัฒนาการจังหวัดภูเก็ต ,หัวหน้าส่วนราชการ,หน่วยงานภาครัฐ,เอกชน,ประชาชน ,และนักท่องเที่ยวเข้าร่วมจำนวนมาก เมื่อวันที่ 14 มี.ค.2562
นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่า กรมการพัฒนาชุมชนได้รับมอบหมายจากกระทรวงมหาดไทย และรัฐบาล ให้ดำเนินการโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์หรือ OTOP มาตั้งแต่ปี 2544 โดยมีกิจกรรมหลักประกอบด้วย การส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชนนำภูมิปัญญาและทุนที่มีอยู่มาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างอาชีพสร้างรายได้, การลงทะเบียนผู้ผลิตผู้ประกอบการOTOP,การเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการธุรกิจการพัฒนาผลิตภัณฑ์ภาพและมาตรฐานตลอดจนการส่งเสริมช่องทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยผลการดำเนินงานประสบความสำเร็จเป็นอย่างดียิ่ง มีประชาชนมาลงทะเบียนเป็นผู้ผลิตผู้ประกอบการOTOP มากถึง 80,141 ราย 167,403 ผลิตภัณฑ์ได้รับการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานให้สูงขึ้นมีการผลิตภัณฑ์ตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น การสร้างกลุ่มOTOP การพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์จักสานย่านลิเภา,ใบไม้สีทอง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีการดำเนินงานโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ได้แก่ การพัฒนากระเป๋าแบรนด์เนมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP เพื่อจำหน่ายบนสายการบิน (OTOP on Board ) โดยผลจากการพัฒนาทำให้ยอดจำหน่ายในปี 2561 มีมากกว่า 193,000 ล้านบาท และจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คาดว่าในปี 2562 นี้ ยอดขายสินค้าโอทอปไม่น่าจะต่ำกว่า 230,000 ล้านบาท
สำหรับการส่งเสริมและสนับสนุนโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ในระยะต่อไปรัฐบาลได้มอบหมายให้กรมการพัฒนาชุมชนส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดทำโครงการOTOP นวัตวิถีโครงการหมู่บ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยวในพื้นที่ ที่มีสินค้าOTOP และมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปซื้อสินค้า OTOP ยังแหล่งผลิตทำให้ผู้ประกอบการไม่ต้องเดินทางออกมาจำหน่ายสินค้านอกพื้นที่เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆเพิ่มขึ้นในหมู่บ้าน นอกจากนั้นยังจะมีโครงการสร้างเยาวชนให้มีความสามารถในการเป็นผู้ผลิตผู้ประกอบการ OTOP เช่น โครงการ OTOP จูเนียร์, Young OTOP เป็นต้น
ทั้งนี้ได้ตั้งเป้าหมายยอดจำหน่ายในปี 2562 จำนวน 200,000 ล้านบาท ซึ่งการจัดงาน OTOP ภูมิภาคในครั้งนี้ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งที่จะทำให้ยอดจำหน่ายสินค้า OTOP เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด
สำหรับการจัดงาน OTOP ภูมิภาค ประจำปี 2562 กรมการพัฒนาชุมชนกำหนดจัดงานขึ้นทั่วประเทศ รวม 5 ครั้ง ในพื้นที่ 5 จังหวัด คือ ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 7-13 ธ.ค.61 ที่ลานเอนกประสงค์ บริเวณถนนพุทธภูมิ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 7-13 ธ.ค.61 ที่ จังหวัดนครราชสีมา ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 26 ม.ค.-1 ก.พ.62 ที่จังหวัดขอนแก่น ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 13-19 มี.ค. 62 ที่จังหวัดภูเก็ต และครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 14-20 มี.ค.62 ที่ สนามหน้าศาลากลางจังหวัดกำแพงเพชร
โดยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 เป็นความร่วมมือระหว่างกรมการพัฒนาชุมชน และจังหวัดภูเก็ต กำหนดจัดงาน“OTOP ภูมิภาค ประจำปี 2562 จังหวัดภูเก็ต ” ระหว่างวันที่ 13-19 มีนาคม 2562 ณ เวทีกลางสะพานหิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต ภายใต้แนวคิด OTOP ทั่วไทยรวมไว้ในที่เดียว “ OTOP One Stop Shopping Market ตลาดโอทอปช็อปฟิน อิน ครบวงจร” โดยเป็นการนำเอาสินค้า OTOP ที่คัดสรรอย่างดีจากทั่วประเทศ มาจัดแสดงและจำหน่าย
โดยมีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านการพัฒนาสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ส่งเสริมช่องทางการตลาดให้กับสินค้า OTOP และเป็นแหล่งเรียนรู้ในการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP มีผู้ผลิตผู้ประกอบการ OTOP เข้าร่วมจำหน่ายสินค้าจำนวน 312 บูธ จากทั่วประเทศ ร่วมแสดงและจำหน่ายสินค้ากิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP ระดับ 3-5 ดาวจำนวน 270 บูท และอาหารชวนชิม 38 บูท ตลอดทั้งการจัดจำหน่ายอาหารอร่อยจาก 4 ภูมิภาค ,มีการสาธิตกระบวนการนำทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาพัฒนาเป็นสินค้า OTOP จำนวน 4 ราย,มีกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนมาร่วมการอุดหนุนสินค้าOTOP ตลอดจนประชาสัมพันธ์การจัดงาน OTOP พื้นบ้านให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น และ มีการแสดง ศิลปวัฒนธรรมไทย และคอนเสิร์ตจากศิลปินที่มีชื่อเสียง และคาดว่าการจัดงานในครั้งนี้ที่จังหวัดภูเก็ตจะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 50 – 60 ล้านบาท